เผยเฉียนเริ่มพลิกค้นความทรงจำ จากนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อ น่าจะถือว่าใช่กระมัง ตอนเด็กเหมือนจะเคยฝัน ได้เจอกับคนประหลาดที่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร พาข้า…ไม่ได้พาข้าขึ้นเขาไปด้วยกัน แต่ลงจากภูเขา อีกฝ่ายถามข้าว่าเรียนหมัดไปทำไม ตอนนั้นข้ายังเด็ก ไม่รู้ความจึงตอบความคิดในใจของตัวเองตอนนั้นไปโดยตรง”
เห็นได้ชัดว่าเริ่มทำการปูพื้นมาแล้ว
ตอนนั้นยังอายุน้อยไม่รู้ประสา ชอบพูดจาเหลวไหล อาจารย์พ่อท่านอย่าได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง ห้ามคิดบัญชีย้อนหลังเชียวนะ
เฉินผิงอันเงียบรอฟังประโยคถัดไป
เผยเฉียนยิ่งรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ แต่ก็ไม่กล้าปิดบังอะไร เล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้อาจารย์พ่อฟังอย่างละเอียด
ที่แท้ตอนนั้นเผยเฉียนรู้สึกว่าถึงอย่างไรตนก็กำลังฝันอยู่ ยังต้องกลัวกะผีอะไรเล่า ด้านหนึ่งก็พูดอย่างใจลอยว่าเรียนหมัดกะผีอะไร ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของอาจารย์พ่อก็ต้องเรียนอะไรดีๆ จากอาจารย์พ่อมาบ้าง ไม่อย่างนั้นฝึกหมัดน่าอนาถขนาดนั้น ไยต้องหาเรื่องลำบากใส่ตัวด้วย ตอนนั้นระหว่างที่ลงจากภูเขา ถ่านดำน้อยกระโดดโลดเต้นร้องฮื่อฮ่าเลียนแบบห่านขาวใหญ่ พลางปล่อยหมัดใส่เจ้าคนที่ตัวสูงมากข้างกายไปด้วย ถามอีกฝ่ายว่ากลัวหรือไม่ กลัวหรือไม่
เฉินผิงอันฟังมาถึงตรงนี้ก็อดยกมือนวดคลึงหว่างคิ้วไม่ได้
ก็ไม่แปลก นี่เป็นคำพูดที่ถ่านดำน้อยจะพูด และเป็นเรื่องที่นางทำได้จริงๆ
จากนั้นประโยคถัดมาของเผยเฉียนก็ทำให้เฉินผิงอันทั้งขำทั้งฉุน อดไม่ไหวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที
‘ไม่กลัวใช่ไหม งั้นเจ้ารอดูไปเถอะ รอให้อาจารย์พ่อของข้ามา เจ้าต้องคุกเข่าโขกหัวดังตึงๆ แล้ว เชื่อหรือไม่ เจ้าเชื่อหรือไม่?’
เฉินผิงอันยังคงยิ้มบางๆ กระดิกฝ่ามือ “มานี่ อาจารย์พ่อรับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างเจ้ามา ช่างโชคดีจริงๆ”
มา มากินให้อิ่ม รับรองว่ามีมะเหงกเพียงพอ
เผยเฉียนยิ้มกระอักกระอ่วน เอ่ยประโยคหนึ่งว่าอาจารย์พ่อข้าเก็บถ้วยกับตะเกียบก่อนล่ะ แล้วก็เผ่นหนีเพื่อความปลอดภัย
ในวันที่อากาศมีฝนและหิมะตกลงมาพร้อมกัน เฉินผิงอันถือร่มเดินเล่นอยู่เพียงลำพัง เดินเลียบไปตามเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยว มุ่งหน้าไปยังกระท่อมเรียบง่ายของชุยตงซาน ปรึกษาเรื่องตัวเลือกคนที่จะให้มาเข้าร่วมงานพิธี
น่าเสียดายที่ยังไม่อาจขัดกลึงหน้าผาแกะสลักตัวอักษรได้ อันที่จริงหากว่าสำนักเบื้องล่างตัดใจทำหน้าหนาได้จริงๆ ยินดีให้จูเหลี่ยนหยิบมีดขึ้นมา ก็มากพอที่จะใช้ของปลอมสวมรอยเป็นของจริง คาดว่าเวลาแค่ไม่กี่วันก็จะมีตัวอักษรแกะสลักบนหน้าผาจากฝีมือผู้มีชื่อเสียงนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา แน่นอนว่าตัวชุยตงซานเองก็ทำได้เหมือนกัน
คนชุดเขียวหมุนด้ามร่มเบาๆ ท่ามกลางฝนเม็ดเล็กขมุกขมัว
ในเมื่อกำหนดวันที่แน่นอนแล้ว งานพิธีเฉลิมฉลองการก่อตั้งสำนักเบื้องล่างคือวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า ถ้าอย่างนั้นภูเขาลั่วพั่วที่เป็นสำนักเบื้องบน รวมไปถึงห้องกระบี่ที่สร้างขึ้นใหม่บนภูเขาเซียนตูก็ต้องเริ่มทำงานหนัก ส่งกระบี่บินไปเชิญแขกจากฝ่ายต่างๆ ที่จะมาร่วมงานพิธีมาได้แล้ว
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับงานพิธีเฉลิมฉลองก่อตั้งภูเขาลั่วพั่วเป็นสำนักแล้ว คนที่มาร่วมงานจะน้อยกว่าเล็กน้อย ถึงขั้นที่ว่าทางฝั่งภูเขาลั่วพั่วเองก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมาร่วมงาน
ยกตัวอย่างเช่นทางฝ่ายของเฉินผิงอันจะเชิญแค่หลิวจิ่งหลง จงขุยและหวงถิงที่หนึ่งคนเท่ากับสองสำนัก
ในใต้หล้าห้าสีของทุกวันนี้ ผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งสามารถก่อสำนักตั้งพรรคได้แล้ว ถึงอย่างไรศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก็ไม่คิดจะไปควบคุมอะไร
นอกจากนี้ยังจะเชิญลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียว เย่อวิ๋นอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน หลิ่วโหรวเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอแห่งตำหนักปี้โหยวราชวงศ์ต้าเฉวียน รวมไปถึงคู่รักสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ เจิ้งซู่เทพภูเขาจวนจินหวงกับหลิ่วโย่วหรงสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบซงเจิน
ไม่ว่าจำนวนคนที่มาเข้าร่วมพิธีหรือขนาดของการเฉลิมฉลอง บางทีอาจยังสู้พิธีเปิดยอดเขาของโอสถทองคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันไปถึงหน้าประตูกระท่อมแล้วก็หุบร่มกระดาษน้ำมัน วางพิงไว้ที่ผนังนอกประตู เดินเข้าไปข้างใน โต๊ะหนังสือใหญ่ตัวหนึ่งวางกระดาษภาพร่างคร่าวๆ ที่ชุยตงซานเขียนด้วยมือตัวเองไว้จนเต็ม
ชุยตงซานวางพู่กันลง ถอยไปหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะอาจารย์โดยมีโต๊ะกั้นขวาง เฉินผิงอันโบกมือ บอกเป็นนัยให้เขาทำธุระของตัวเองต่อไป ส่วนตัวเองนั่งลงบนม้านั่งยาว หยิบร่างต้นฉบับที่เขียนถึงงานการก่อสร้างที่ยังมีกลิ่นหมึกจางๆ แผ่นหนึ่งขึ้นมาจากบนโต๊ะ
สี่สมบัติในห้องหนังสือที่อยู่บนโต๊ะล้วนเรียบง่ายสามัญ กระบอกใส่พู่กันที่ตัดมาจากปล้องไผ่เขียวในภูเขาบ้านตน วางพู่กันจีจวี้ของราชวงศ์ต้าเฉวียนไว้ปึกใหญ่ ส่วนของอื่นๆ อย่างกระดาษเซวียนจื่อและหมึกสนรมควัน ล้วนเป็นของที่หาซื้อมาจากตลาด
เฉินผิงอันวางกระดาษแผ่นนั้นลง เงยหน้าถามว่า “แม้ว่าจะให้หลินโส่วอียืมเงินฝนธัญพืชไปร้อยเหรียญ ทว่าในคลังเก็บสมบัติของภูเขาลั่วพั่วก็ยังมีกำไรเหลือเป็นเงินเทพเซียนอีกไม่น้อย เงินฝนธัญพืชห้าหกร้อยเหรียญ ไม่ว่าอย่างไรก็เอาออกมาได้ จะไม่ใช้จริงๆ หรือ?”
ในเมื่อผลผลิตทุกอย่างในถ้ำสวรรค์ฉางชุนยังมิอาจแลกเปลี่ยนมาเป็นเงินเทพเซียนได้ชั่วคราว ก็ต้องหาหนทางอย่างอื่น
ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วมีเส้นทางเดินเรือการค้าของสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูกและสวนน้ำค้างวสันต์ของอุตรกุรุทวีป ซึ่งแทบจะครอบคลุมสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินแถบเลียบมหาสมุทรตะวันตกเฉียงใต้ของทั้งทวีปมาไว้แล้ว ภายหลังยังรวมนครเหนือเมฆ ราชวงศ์ต้าหยวน และสำนักกระบี่ฝูผิงเข้าไปอีก จึงทำให้ตลอดหลายปีมานี้ภูเขาลั่วพั่วมีเงินไหลมาเทมา
ชุยตงซานส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “อาจารย์ ไม่ต้องสิ้นเปลืองจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ บอกถึงรายชื่อแขกกลุ่มที่ตัวเองจะเชิญมาร่วมงานพิธี ชุยตงซานอ่อนใจเล็กน้อย “ต่อให้อาจารย์จะไม่สนใจกิจธุระของสำนักเบื้องล่างแค่ไหน แต่ท่านก็ยังเป็นอาจารย์ของข้า ยิ่งเป็นเจ้าสำนักเบื้องบน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ต้องมาปรึกษาข้าทำไม”
เฉินผิงอันค้นพบว่าบนโต๊ะยังมีตราประทับส่วนตัวอยู่อีกชิ้นหนึ่งจึงหยิบขึ้นมาดู ตัวอักษรที่แกะสลักไว้ริมขอบมีค่อนข้างเยอะ
ยามที่อากาศเยียบเย็น น้ำในบ่อแห้งขอด ใบบัวเหี่ยวร่วงโรย กิ่งก้านเหลืองเอนหัก ไม่มีใบบัวบานรองรับน้ำฝน ปลาจึงแหวกว่ายหายไปสิ้น…
เฉินผิงอันวางตราประทับกลับลงไปที่เดิมเบาๆ รู้ว่าชุยตงซานพูดถึงเหตุเปลี่ยนแปลงของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต
ตัวอักษรสีชาดด้านล่างแปดคำเป็นตัวอักษรฉงเหนี่ยว (ตัวอักษรที่เหมือนรูปนกรูปแมลง อ่านเข้าใจยาก) เหมือนอักษรสวรรค์ แกะสลักเป็นคำว่า ‘สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน กล่าวคำอธิบายอักษร’ (หรือซัวเหวินเจี่ยจื่อ เป็นพจนานุกรมจีนในสมัยโบราณ อธิบายที่มาของตัวอักษร)
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ปีนั้นไปเป็นแขกที่ภูเขาไฉ่จือภูเขาทายาทของขุนเขาใต้ ข้ากับฉุนชิงแห่งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ รู้สึกงุ่นง่านเลยเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา ความจำดีไม่สู้น้ำหมึกที่ซีดจาง จึงแกะสลักเอาไว้เอาอย่างอาจารย์ หากอาจารย์ชอบก็เอาไปเถอะ พอจะเอาไปทำเป็นตราประทับหนังสือได้อย่างถูไถ”
เฉินผิงอันส่ายหน้าปฏิเสธเรื่องนี้อย่างละมุนละม่อม “เรื่องของการย้ายภูเขาที่เหลืออีกสองลูก ต้องการให้ช่วยหรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!