เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่างแรกยังไงก็ได้ เจ้ากับเฉาฉิงหล่างลองปรึกษากันดู แต่อย่างหลังต้องทำตามที่พูด ห้ามผิดสัญญา”
เดินไปถึงบนยอดเขา เมฆหมอกล้อมวนอยู่รอบกาย ชุยตงซานดีดนิ้วหนึ่งที ทันใดนั้นเมฆหมอกพลันสลายหายไป การมองเห็นพลันเปิดกว้าง ประตูใหญ่สีชาดเปิดออกช้าๆ ผนังบังตาด้านในกำแพงถึงกับเป็นศิลาหินใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่ง เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูไปแล้วก็แหงนหน้ามองไปยังตัวอักษรเก่าแก่โบราณเหล่านั้น พอจะเข้าใจประวัติความเป็นมาของภูเขาลูกนี้ได้อย่างคร่าวๆ เพียงแต่ว่าเนื้อหาของตัวอักษรค่อนข้างจะคลุมเครือ พูดง่ายๆ ก็คือตัวอักษรทุกตัวเขาอ่านออก แต่ไม่ค่อยเข้าใจความหมายเท่าใดนัก
ภูเขาเต๋าจวนแดง นครเซียนหมื่นลี้ตรวนสาวงาม…มหามรรคาชิงข้ามฝั่ง คมมีดหัวศรอยู่ตรงหน้า หยกหินพังภินท์ จิตวิญญาณเสื่อมโทรมพร้อมเปลือกนอก ดื่มน้ำพุเหลืองเคืองแค้น...ละลายคมมีดเชื่อมหัวลูกศรหลอมร่างทอง ไยมิใช่ทำให้ใต้หล้าอ่อนแอโลกมนุษย์เปราะบาง…
หลังจากเดินอ้อมก้อนหินมาก็เป็นตำหนักใหญ่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง มีเทวรูปร่างทองยี่สิบรูปตั้งตระหง่าน ทว่าใบหน้าล้วนพร่าเลือนไม่ชัดเจน
เสี่ยวโม่เปิดปากเอ่ย “คืออดีตเทพชั้นสูงสิบสองท่านที่อยู่สูงส่งบนสวรรค์”
จิตของเฉินผิงเกิดการขานรับ ลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ยังหยิบดาบแคบ ‘ลงทัณฑ์’ เล่มนั้นออกมา สองมือดันปลายดาบ ใช้ดาบแคบยันพื้น ชั่วพริบตานั้นเมฆหมอกที่โอบล้อมเทวรูปรูปหนึ่งก็พลันจางหายสิ้น เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง เทวรูปลืมตาขึ้นช้าๆ คล้ายกำลังมองสบตาเฉินผิงอัน
ฝ่ามือเฉินผิงอันยันดาบแคบเล่มนี้เอาไว้ เป็นดาบของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาผู้ครองกระบี่หนึ่งในห้าเทพสูงสุดในอดีต ถูกคนรุ่นหลังขนานนามว่า ‘ผู้ลงทัณฑ์’
ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ พวกเราถอยออกไปเถอะ”
เสี่ยวโม่พยักหน้า ติดตามเด็กหนุ่มชุดขาวย้อนกลับไปทางเดิม เมื่อพวกเขากลับไปยืนอยู่นอกประตูกันอีกครั้ง ประตูบานใหญ่ก็ปิดลงดังโครม
เว้นเสียจาก ‘ผู้ลงทัณฑ์’ ที่หลับสนิทอยู่ใกล้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้นแล้ว
ยังมี ‘ผู้มีตาเดียว’ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงตนหนึ่งที่จำศีลอยู่ในใต้หล้าห้าสีมานานนับหมื่นปี ถูกหนิงเหยาใช้กระบี่สังหาร ในอดีตรับหน้าที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้สวมเสื้อเกราะ คอยผลัดเปลี่ยนกันเข้าเวรกลางวันกับกลางคืน เวลานี้เทวรูปของเทพตนนี้ก็ยืนตระหง่านอยู่ในตำหนักใหญ่เช่นเดียวกัน
เทพชั้นสูงที่ปรากฏตัวที่นอกฟ้าของใบถงทวีปเคยเดินทางผ่านขุนเขาแม่น้ำใหญ่ ข้ามมหาสมุทรมุ่งหน้าไปยังนครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีป ผลคือถูกศิษย์พี่สองคนของเฉินผิงอันขัดขวางการขึ้นฝั่ง อีกฝ่ายมีชื่อว่า ‘ผู้ส่งเสียงสะท้อน’
บรรพบุรุษแห่งเซียนดินชาย หยางเหล่าโถวที่อยู่ในเรือนด้านหลังของร้านยา มีฐานะเป็นชิงถงเทียนจวิน
บรรพบุรุษแห่งเซียนดินหญิง มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์เช่นเดียวกัน และนางก็ยิ่งเป็นผู้ครองดวงจันทร์บนฟ้าของสรวงสวรรค์บรรพกาล
ทั้งสองฝ่ายแยกกันดูแลหอบินทะยานที่ชักนำเซียนดินให้เดินขึ้นสู่ที่สูงกลายเป็นเซียนกันคนละแห่ง
และทั้งสองท่านนี้ก็มีเจตนาที่ดีต่อผืนแผ่นดินของโลกมนุษย์อันเป็นมาตุภูมิมาโดยตลอด
พวกเขาถือว่าเป็นผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกับเจ้าของปิ่นเต๋านครเซียนจานคนแรกสุด รวมไปถึงเจ้าอารามผู้เฒ่าเจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวหาดลั่วเป่าในอดีตด้วย
เสี่ยวโม่ฝึกตนช้ากว่าคนเหล่านี้หลายปี อายุก็น้อยกว่าเล็กน้อย
‘ผู้หลับฝัน’ คือเจ้าแห่งดินแดนความฝัน ทำให้สรรพชีวิตทั้งหมดที่เว้นจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนที่เริ่มเดินขึ้นเขาพลัดหลงเข้าไปในความฝันที่พลิกกลับหัวกลับหาง จากนั้นก็ก่อให้เกิดจิตมารได้อย่างง่ายดาย
‘ผู้ไร้คำพูด’ ได้ครอบครองวิชาอภินิหาร ‘หยุดวจี’ จึงเป็นเหตุให้มีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ผู้มีเสียงในใจ’ ข้อความเสียงในใจของผู้ฝึกตน การรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวล้วนมีต้นกำเนิดมาจากนี้ทั้งสิ้น
‘ผู้พิมพ์ซ้ำ’ สร้างดวงตะวันจันทราและพื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำฉบับคัดลอกไว้นับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงมีอีกชื่อว่า ‘นักจินตนาการ’ หรือ ‘ผู้หล่อหลอม’
เจ้าแห่งกองงานทั้งหลายในกรมสายฟ้า
‘นักวางเค้าโครง’ อยู่ใต้อาณัติของเทพอัคคี รับผิดชอบจัดวางตำแหน่งให้กับโครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด
‘นักขจัดความวุ่นวาย’ อยู่ในอาณัติของเทพวารี รับผิดชอบจัดการกระแสน้ำไหลของแม่น้ำแห่งกาลเวลาให้มีระเบียบ
สุดท้ายยังมีเทพชั้นสูงอีกองค์หนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ดินแดนพุทธะสุขาวดี ป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัวหรือคฤหาสน์หลบร้อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ โลกยุคหลังล้วนไม่มีบันทึกใดๆ ระบุไว้ แล้วก็ไม่มีคำเรียกขานใดๆ ราวกับว่าเป็นการแสดงความเคารพไกลๆ อย่างหนึ่ง
ห้าเทพสูงสุดยุคบรรพกาล
ผู้ครองสรวงสวรรค์ ผู้ครองกระบี่ ผู้สวมเสื้อเกราะ เทพอัคคี เทพวารี
หลังจากนั้นจึงเป็นสิบสองตำแหน่งสูง
หากไม่นับรวมผู้ที่ ‘ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ’ หนึ่งเดียวนั้นแล้ว ก็แบ่งออกเป็นผู้ลงทัณฑ์ ผู้มีตาเดียว ผู้หลับฝัน ผู้มีเสียงในใจ ผู้พิมพ์ซ้ำ ผู้ส่งเสียงสะท้อน เจ้าแห่งกองงานกรมสายฟ้า ผู้วางเค้าโครง ผู้ขจัดความวุ่นวาย บวกกับบรรพบุรุษเซียนดินชายและหญิงอีกสองคน
นอกจากนี้
เฟิงอี๋ คือหนึ่งในเทพวาโยบรรพกาล
เทพพิรุณ ช่างเตาเผาของบ้านเกิดท่านนั้น
ส่วนคนที่เป็นสารถีเฒ่าอยู่ในเมืองหลวงต้าหลี ตำแหน่งเทพจะต่ำกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับฝ่ายแรกแล้วมีความต่างเหมือนตำแหน่งขุนนางซือหลางกับหลางกวาน (ชื่อตำแหน่งขุนนางซึ่งหากเรียงลำดับจากสูงไปต่ำก็คืออี้หลาง จงหลาง ซือหลางและหลางกวานหรือหลางจง) ของหกกรม แต่ถึงแม้ว่า ‘ตำแหน่งขุนนาง’ ของฝ่ายหลังจะค่อนข้างต่ำ ทว่าหน้าที่ค่อนข้างจะโดดเด่น มีอำนาจสูงมาก เนื่องจากสารถีเฒ่าคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนนางหลักของหนึ่งในกองงานมากมายกรมสายฟ้าสรวงสวรรค์เก่า
เฉินผิงอันทยอยคีบธูปออกมาสองครั้ง ครั้งและสามดอก จุดธูปคารวะเทวรูปสององค์นั้น
องค์หนึ่งในนั้นมีคุณูปการใหญ่หลวงต่อสรรพชีวิตในฟ้าดิน ส่วนอีกองค์หนึ่งมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อตัวเฉินผิงอันเอง
คำพูดโบราณกล่าวไว้ว่าเสียเปรียบคือโชค เป็นการสอนให้คนเป็นคนดี
ลำบากก็คือลำบาก ยิ่งลำบากก็ยิ่งขมขื่น
ความทุกข์ยากลำบากบางอย่างมิอาจเอ่ยเอื้อนออกมาเป็นคำพูดได้ เมื่อคนคนหนึ่งกว่าจะอดทนผ่านพ้นมันไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็เพียงแค่ต้องยอมรับมันไปเงียบๆ เท่านั้นเอง อย่าได้พูดจาง่ายๆ สบายๆ กับคนข้างกายที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากอยู่ นั่นคือก่อกรรมทำชั่ว
เดินออกมาจากตำหนักใหญ่ อ้อมก้อนหินออกมา เปิดประตูใหญ่ออก
สองตาสุกสกาวสว่างไสว การมองเห็นเปิดกว้าง ฟ้าดินสว่างเปิดโล่ง
ใบถงทวีปในเวลานี้อยู่ในช่วงหิมะน้อย แต่กลับมีหิมะใหญ่เท่าขนห่านตกลงมาหลายครั้งแล้ว อากาศหนาวเย็นผิดปกติ จวนเซียนแต่ละตระกูลบนภูเขาเปิดประตูออกมาก็จะได้เห็นหิมะเต็มภูเขา ทุกหนทุกแห่งบนโลกมนุษย์มีแต่หิมะหนาชั้นที่กดทับกิ่งไม้ เสียงเหมือนหยกปริแตกดังขึ้นๆ ลงๆ คิดไม่ถึงว่ารอกระทั่งเป็นช่วงหิมะใหญ่อย่างแท้จริงกลับกลายเป็นว่ามีแค่ฝนโปรยลงมาพร้อมหิมะอย่างลวกๆ ครั้งเดียวเท่านั้น
สองยอดเขาอย่างชิงผิงและเจ๋อเซียนของภูเขาเซียนตูตั้งขนาบกัน ยอดเขาชิงผิงเป็นภูเขาบรรพบุรุษและเป็นยอดเขาหลัก ที่ราบฝูเหยาบนยอดเขาก็คือที่ตั้งของศาลบรรพจารย์สำนักเบื้องล่าง
ส่วนยอดเขาเจ๋อเซียนที่เป็นยอดเขารอง ตรงตีนเขามีลำคลองชิงอี บนฝั่งมีหาดลั่วเป่า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับหาดลั่วเป่าถ้ำปี้เซียวของเจ้าอารามผู้เฒ่า ชุยตงซานก็แค่หวังให้เป็นนิมิตหมายที่ดี หวังว่าผู้ฝึกตนสำนักเบื้องล่างในอนาคต ไม่ว่าจะขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียนก็ดี ลงเขาไปฝึกประสบการณ์ก็ช่าง สมบัติและโชควาสนาจะเป็นดั่งเม็ดฝนที่พร่างพรมลงมา พากันหล่นมาอยู่ในกระเป๋าให้สบายใจ
หอซ่าวฮวาบนยอดเขากลับถูกสุยโย่วเปียนหมายตา นางจึงบุกเบิกที่แห่งนี้เป็นสถานที่ฝึกตน
นอกจากนี้ภูเขาเซียนตูยังมีภูเขาที่เป็นสาขาแยกซึ่งค่อนข้างเตี้ยอีกลูกหนึ่ง ยื่นเด่นออกไปด้านข้าง ชุยตงซานตั้งชื่อให้ว่ายอดเขามี่เซวี่ย (หิมะหนาแน่น) มีส่วนที่เป็นหน้าผาเปิดเปลือยออกมาเยอะมาก ล้วนเป็นหยกขาว จะมีการสร้างจวนเซียนห้าสิบหกสิบแห่งลดหลั่นเรียงรายกันไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!