ปีนั้นเขากับเกาเฉิงวิญญาณวีรบุรุษแห่งนครจิงกวานชายหาดโครงกระดูกได้รับคำสั่งให้ไปที่ดินแดนพุทธะสุขาวดีด้วยกัน จงขุยเคยถามคำถามกับมังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธที่มีชื่อเสียงคุณธรรมสูงส่งท่านหนึ่ง ถามสองคำถาม จุติกลับชาติมาเกิดใหม่ ข้ายังคงเป็นข้าอยู่อีกไหม? ต่อให้สติปัญญาเปิดออก ฟื้นคืนความทรงจำเดิม จดจำเรื่องราวของชาติก่อนได้ ถ้าอย่างนั้นใครใหญ่ใครเล็ก ใครคือใคร?
เฉินผิงอันพอจะเดาปมปัญหาในใจของจงขุยได้คร่าวๆ แล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาค่อนข้างลำบากใจ ไม่ใช่เพราะว่าคนที่อยู่ในสถานการณ์เลอะเลือน คนที่อยู่นอกสถานการณ์มองเห็นได้ชัดเจนไปเสียหมด แต่บางทีอาจเป็นเพราะคนที่อยู่ในสถานการณ์คิดอย่างกระจ่างแจ้งทะลุปรุโปร่งเกินไป
จงขุยเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อาศัยใบบุญของเจ้าทำให้ข้าได้พบกับอูถีแห่งนครเซียนจาน เขากับฉงโอวอาจารย์ของเขาเก็บหัวเก็บหางอยู่บนเส้นทางไปเยือนปรโลกอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากผีขอบเขตบินทะยานสองตนนี้อยู่ที่นั่นแล้วระมัดระวังตัวอย่างมาก น่าจะเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนอิสระของฝ่ายพวกเรากระมัง ล้วนเป็นขอบเขตบินทะยานกันแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้แตกกิ่งก้านสาขา ใหตายก็ไม่ยอมรวบรวมกองทัพหยิน ทำเรื่องอย่างการแบ่งอาณาเขตตั้งตนปกครองเอง ทั้งยังมีวิธีเฉพาะตัวที่ช่วยอำพรางลมปราณ เพียงแค่ค่อยๆ กลืนกินปราณที่ใสสะอาดเป็นอาหารเท่านั้น ดังนั้นทางฝั่งนครผีจึงค่อนข้างปวดหัวกันมาก ไม่ถึงกับว่าเป็นหนามตำตาอะไร แต่หากปล่อยไว้อย่างนี้ไม่สนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่สมควร อาจตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าบกพร่องต่อหน้าที่”
“ดังนั้นตอนนั้นที่ได้พบอูถี ข้าจึงใช้อารมณ์ทำให้หวั่นไหว ใช้เหตุผลทำให้เขาใจ เรียกเขาว่าผู้อาวุโสทุกคำ กว่าจะโน้มน้าวให้เขาเชื่อได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังช่วยหาตำแหน่งขุนนางมาให้เขาก่อนจะจากกันด้วย”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานได้ยินมาว่าอีกเดี๋ยวผู้อาวุโสอูถีก็จะดึงหัวไชเท้าออกจากดินแล้ว ได้ผลเก็บเกี่ยวมาเล็กน้อย หากไม่ผิดไปจากที่คาด เวลานี้ผู้อาวุโสอูถีน่าจะง่วนอยู่กับการตามหาอาจารย์คนนั้นกระมัง”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถามว่า “ทุกวันนี้กุยหลิงเซียงบรรพจารย์เปิดขุนเขาของนครเซียนจาน...?”
จงขุยส่ายหน้า “เจอกับอูถีแล้ว ข้าก็ได้ตรวจสอบคดีสองสถานที่ แต่กลับไม่ได้เบาะแสใดๆ ยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่ข้ายังไม่เคยไป วันหน้าค่อยหาโอกาสดูว่าจะสามารถไปเปิดหาบันทึกของที่นั่นได้หรือไม่”
เฉินผิงอันจึงถามเกี่ยวกับเรื่อง ‘ตำราเขียว’ ชื่อติดตำราเขียวก็เท่ากับว่าได้ติดอันดับเซียนอย่างที่นิยายในโลกยุคหลังกล่าวถึง
เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เจ้าอารามผู้เฒ่าติดตามมรรคาจารย์เต๋าไปท่องเที่ยวเมืองเล็ก เป็นฝ่ายไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เจ้าอารามผู้เฒ่ามอบภาพเต๋าหายากแผ่นนั้นมาให้ ในยุคบรรพกาลถือว่า ‘หากไม่ได้มีชื่ออยู่ในตำราเขียวก็มิอาจถ่ายทอดให้ได้’
อันที่จริงเส้นทางของมืดและสว่างมีความต่าง นี่ต่างหากจึงจะเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองตามความหมายที่แท้จริง
ก็เหมือนอย่างเฉินผิงอันที่เคยท่องเที่ยวผ่านภูเขาสายน้ำของสามทวีป ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกับผู้ฝึกตนลมปราณ เซียนซือทำเนียบกับผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา ความสัมพันธ์ระหว่างกันสลับซับซ้อน มีการช่วงชิงกันอย่างต่อเนื่อง แต่น้อยครั้งนักที่จะมีคดีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ฝึกลมปราณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศาลเทพอภิบาลเมือง
ส่วนคดีที่เกี่ยวกับนครผี คฤหาสน์หลบร้อนก็มีบันทึกถึงอยู่น้อยนิด มีเพียงเนื้อหาไม่ปะติดปะต่อที่กระจัดกระจาย ที่ศาลเทพอัคคีเมืองหลวงต้าหลี เหล้าหมักจากพื้นที่มงคลร้อยบุปผาในมือเฟิงอี๋ที่ใช้ดินหมื่นปีปิดผนึก ทุกๆ ร้อยปีเคยเป็นของบรรณาการที่ต้องส่งมอบให้กองกำลังสามฝ่ายของโลกมืด แต่ตอนนั้นเฟิงอี๋คล้ายจะจงใจไม่พูดถึงกองกำลังบางแห่ง แค่พูดถึงหกตำหนักของจวนผีนครเฟิงตู ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีหน้าที่บนพื้นดินกับชิงจวินภูเขาฟางจู้ที่ดูแลทะเบียนทั้งหมดของเซียนดินให้เฉินผิงอันฟังเท่านั้น ตามคำกล่าวของเฟิงอี๋ ภูเขาฟางจู้ที่ชิงจวินปกครอง ในฐานะจวนของซือมิ่งที่ดูแลเรื่องการยกเลิกทะเบียนตาย ดูแลชื่อของผู้ที่ถือกำเนิด ฐานะสูงกว่าห้ามหาบรรพตในยุคโบราณเสียอีก กฎเกณฑ์เข้มงวด พิธีการซับซ้อน แต่เป็นระเบียบขั้นตอน เหมือนกับวงการขุนนางของโลกมนุษย์
จากนั้นเฉินผิงอันก็เล่าเรื่องบางอย่างของเซียนเว่ย หวังว่าภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ผิดกฎ ไม่ละเมิดข้อห้าม จงขุยจะช่วยตรวจสอบประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้ในชาติก่อนให้
จงขุยพยักหน้าตอบตกลง จดจำชื่อของผู้ฝึกตนแห่งแจกันสมบัติทวีปที่สวมรอยเป็นนักพรต ชื่อว่าเหนียนจิ่ง นามว่าเซียนเว่ย ฉายานักพรตซวีเสวียน รวมไปถึงภูมิลำเนาและอักษรเกิดแปดตัวของเขาเอาไว้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีคนอยู่ในราชสำนักก็สะดวกอย่างนี้เอง”
จงขุยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “มีสหายอย่างข้าคือความสามารถของเจ้า สามารถลำพองใจในตัวเองได้เลย”
เฉินผิงอันกระดกเหล้าดื่มหนึ่งอึก ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก “ได้เรียนรู้แล้ว ได้เรียนรู้แล้ว”
เฉินผิงอันเหลือบตามองเจ้าอ้วน ใช้เสียงในใจถาม “อวี่จิ่นผู้นี้มาอยู่ข้างกายเจ้าได้อย่างไร?”
จงขุยเขย่ากาเหล้า “เป็นความต้องการของหลี่เซิ่ง ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร แต่อยู่ด้วยกันนานเข้า อันที่จริงก็นับว่าพอใช้ได้ แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คืออวี่จิ่นยอมอยู่ในการควบคุม ไม่อย่างนั้นข้าคงถูกเจ้าอ้วนที่นิสัยยากจะคาดเดาผู้นี้เล่นงานจนตายไปหลายร้อยรอบแล้ว”
เจ้าอ้วนที่เรียกตัวเองว่าซูกู ฉายาว่ากูซูผู้นี้ ชื่อจริงคืออวี่จิ่น ตอนที่มีชีวิตอยู่ถูกขนานนามว่าจักรพรรดิที่พันปีก็ยากจะพานพบ ทว่าหลังจากตายไปกลับโดนคนด่าประณามนับไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะอย่างไร คนผู้หนึ่งที่เป็นฮ่องเต้ อีกนิดเดียวก็จะเกือบสร้างวีรกรรม ‘หนึ่งแคว้นคือหนึ่งทวีป’ ได้เร็วกว่าสกุลซ่งต้าหลี ในตำราประวัติศาสตร์ของโลกยุคหลังด่าว่าเขาโหดเหี้ยมป่าเถื่อนแค่ไหนก็คงไม่เกินกว่าเหตุ เพียงแต่ว่าหากเอาแต่ด่าว่าเขาหูหนวกตาบอด กลับไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไรแล้ว
จงขุยยกกาเหล้าขึ้นชนกับเฉินผิงอันเบาๆ “โอ้โห ข่าวสารของเจ้าว่องไวมากเลยนะ รู้ชื่อจริงของเจ้าอ้วนด้วย?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าก็แค่กลัวว่าอวี่จิ่นจะมาแก้แค้นข้าไม่ใช่หรือ รู้เขารู้เรา เตรียมพร้อมไว้ก่อนย่อมไร้อันตราย”
ในความเป็นจริงแล้ว หากไม่พูดถึงเรื่องลับๆ ในวังบางอย่าง ทุกวันนี้เฉินผิงอันอาจจะเป็นคนที่เข้าใจอวี่จิ่นมากกว่าอวี่จิ่นอีกก็เป็นได้
ชื่อแคว้น รวมไปถึงศักราชในแต่ละปี พระราชโองการสำคัญที่ป่าวประกาศ กลยุทธ์ในการปกครองแคว้น ประวัติส่วนตัว สมญานามที่แต่งตั้งให้ย้อนหลังของขุนนางใหญ่ทั้งบุ๋นและบู๊ในราชสำนัก ขอแค่มีบันทึกอยู่ในสวนกงเต๋อของศาลบุ๋น เฉินผิงอันก็ล้วนคัดลอกเอาไว้โดยไม่ปล่อยให้ตกหล่นแม้แต่ตัวอักษรเดียว นอกจากนี้ยังตั้งใจถามถึงข่าวลือบางอย่างที่ไม่สะดวกจะจดลงในบันทึกของศาลบุ๋นกับจิงเซิงซีผิงอย่างละเอียดด้วย
ดังนั้นในหอหนังสือที่ทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันจึงมีเอกสารลับฉบับหนึ่งเพิ่มมานานแล้ว เป็นเอกสารที่จดบันทึกเรื่องของผีอวี่จิ่นโดยเฉพาะ อีกทั้งยังมองอวี่จิ่นเป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่งอีกด้วย
เวทห้าอสนี ฉากสายฟ้าของภูเขามังกรพยัคฆ์ พูดถึงแค่ใน ‘มหัศจรรย์แท้จริงตำราสีชาด’ ที่บันทึกยันต์หลายชนิดซึ่งเอาไว้ใช้กำราบภูตผีโดยเฉพาะ เฉินผิงอันยังตั้งใจสร้างยันต์เหลืองเจ็ดแปดร้อยแผ่นเพราะเหตุนี้ นี่ก็เพื่อว่า ‘สักวันหนึ่งจะโชคดีได้พบเจอกัน มีโอกาสได้รับรองแขกผู้สูงศักดิ์’
ผู้ฝึกตนที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ยกตัวอย่างเช่นอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่หนึ่งในสามสุดยอดของไพศาล
เอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย หากเฉินผิงอันไม่ได้ขอบเขตถดถอย ยังคงเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบและผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคืนความจริง เขาคนเดียวไม่จำเป็นต้องอาศัยกำลังภายนอกก็สามารถงัดข้อกับผีขอบเขตเซียนเหรินตนหนึ่งได้แล้ว ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าจะไม่เคยต่อสู้กับเซียนเหรินมาก่อน อวิ๋นเหมี่ยวแห่งหอเซียนจิ่วเจิน หันอวี้ซู่แห่งสำนักว่านเหยาล้วนเคยผ่านมาก่อนทั้งนั้น
หากอวี่จิ่นไม่ได้ติดตามอยู่ข้างกายจงขุย แต่แค่พบเจอกันบนทางแคบ ต่อให้ข้างกายไม่มีเสี่ยวโม่เป็นผู้ติดตาม เฉินผิงอันก็ไม่ต้องหวาดกลัวผีที่ขอบเขตถดถอยเป็นเซียนเหรินตนหนึ่ง
จงขุยจุ๊ปากไม่หยุด “คำพูดประโยคนี้ช่างน่าเตะยิ่งนัก”
มีหนิงเหยาเป็นคนรัก ใครจะกล้ามาหาเรื่องเฉินผิงอันง่ายๆ
บางทีการเล่นงานลับหลังอาจจะมีอยู่บ้าง แต่หากจะพูดถึงการท้าทายภายนอกที่ชัดเจนกลับไม่ค่อยเป็นไปได้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!