เป็นผีเซียนเหมือนกับอูถีแห่งนครเซียนจาน อวี่จิ่นเคยได้ยินเรื่องหนึ่งจากจงขุยมาก่อน คราวก่อนที่อูถีปรากฏตัวในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ร่วมมือกับฉงโอวผู้เป็นอาจารย์ต่อสู้กับจูเยี่ยนบรรพบุรุษย้ายภูเขาหนึ่งในบัลลังก์ราชาเก่าของเปลี่ยวร้าง ต้องจ่ายเงินชดใช้ให้จบเรื่องกันไป แล้วยังต้องยกบรรพบุรุษเปิดขุนเขาออกหน้ามาขอร้องจูเยี่ยน ถึงจะรักษานครเซียนจานเอาไว้ได้
เพียงแต่ว่าไม่ว่าอย่างไรอวี่จิ่นก็คิดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าที่ชื่อเสี่ยวโม่ผู้นี้กลับเคยไล่ฆ่าหย่างจื่อซึ่งเป็นหนึ่งในอดีตราชาบนบัลลังก์ จากนั้นจูเยี่ยนที่ได้ยินข่าวก็รีบรุดมาให้ความช่วยเหลือหย่างจื่อ เสี่ยวโม่ถึงได้เก็บกระบี่ถอยออกมา
เสี่ยวโม่ยื่นมือไปจับแขนของเจ้าอ้วน ยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโสกูซู ไม่สู้พวกเราสองคนหาที่เงียบๆ มาประลองฝีมือกันหน่อยไหม?”
เจ้าอ้วนแค่นเสียงหยันในลำคอ หัวเราะพรืดเข้าใส่ “รอเดี๋ยวแล้วกัน”
จากนั้นหันไปมองทางจงขุย กระแอมสองสามที ใช้ความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูส่งเสียงร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือด ตะโกนดังสนั่นฟ้าคุยกับจงขุย “พี่จงช่วยข้าด้วย!”
เสี่ยวโม่จึงได้แต่ปล่อยมือ ล้มเลิกความคิดที่จะเชิญผีตนนี้เข้าไปในฟ้าดินของกระบี่บิน ‘จุ้ยเซียง’ (บ้านเกิดแห่งความเมามาย)
คุยกันแล้วว่าจะประลองฝีมือ กลับกลายเป็นว่าพูดไม่เข้าหูคำเดียวอีกฝ่ายก็ลงไปนอนบนพื้น รอให้พื้นรองเท้าเหยียบลงมาบนหน้าเสียแล้ว
สำหรับการรับมือคนหน้าไม่อายประเภทนี้ ประสบการณ์ในยุทธภพของเสี่ยวโม่ยังไม่มากพอจริงๆ
เจ้าอ้วนนวดแขน สายตาฉายแววไม่พอใจ “อาจารย์เสี่ยวโม่แรงเยอะจริง”
ลูกผู้ชายยืดได้หดได้ หนังหน้าจะนับเป็นอะไรได้
เผยเฉียนนวดคลึงหว่างคิ้ว รู้สึกว่าต้องมองเจ้าอ้วนผู้นี้เสียใหม่แล้ว แค่มองก็รู้แล้วว่าท่องอยู่ในยุทธภพไม่มีทางอดตาย
ชุยตงซานเริ่มถูกชะตากับเจ้าอ้วนขึ้นอีกหลายส่วน เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง
ตนต้องหาโอกาสโน้มน้าวให้อวี่จิ่นไปอาละวาดที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางให้ได้ ให้เขาร้องไห้ร่ำร้องจะแขวนคอตายทุกๆ สามวันห้าวัน จะดีจะชั่วก็ให้ศาลบุ๋นคืนสถานที่ฝึกตนแห่งนั้นมา จากนั้นค่อยให้อวี่จิ่นเอาสถานที่แห่งนั้นมาไว้ที่ภูเขาเซียนตู ภูเขาเซียนตูสามารถช่วยดูแลให้ได้ อวี่จิ่นแค่ต้องคอยมอบเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งให้กับสำนักกระบี่ชิงผิงเป็นระยะเท่านั้น ทุกเรื่องล้วนปรึกษากันได้
เพียงแต่ว่าจงขุยไม่ได้สนใจอวี่จิ่นแม้แต่น้อย เอาแต่ตั้งใจตรวจสอบจิตวิญญาณของเฉินผิงอัน ครู่หนึ่งผ่านไปก็ขมวดคิ้วถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงไม่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไปตลอด?”
สามจิตเจ็ดวิญญาณของเฉินผิงอันมีปัญหาใหญ่จริงเสียด้วย
เป็นเหตุให้พอเฉินผิงอันออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาผสานมรรคาด้วยก็ต้องถูกเผาผลาญจิงชี่เสินอยู่ตลอดเวลา คล้ายการทำการค้าอย่างหนึ่ง
ก็โชคดีที่เรือนกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง เลือดลมเปี่ยมล้นสมบูรณ์ เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแรง สามารถบำรุงหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณได้ บวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงร่างกายและจิตวิญญาณได้ตามธรรมชาติ หากเฉินผิงอันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง ป่านนี้เรือนกายคงผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกไปนานแล้ว
จงขุยเคยเห็นภาพเหมือนที่ศาลบุ๋นมาก่อน บนหัวกำแพงเมืองมีคนผู้หนึ่งสวมชุดคลุมอาคมสีแดงสด มือค้ำยันอยู่บนด้ามดาบ เรือนกายพร่าเลือน ไม่ใช่เรือนกายที่มีเลือดเนื้ออะไรอีกต่อไป แต่คล้ายประกอบขึ้นมาจากเส้นด้ายนับพันนับหมื่นที่ตัดสลับกัน ในสายตาของจงขุยแล้ว นั่นเรียกว่า…อเนจอนาถจนแทบมิอาจทนมองได้
เดิมทีเมื่อเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินก็สามารถสร้างความมั่นคงให้กับจิตวิญญาณได้ ผลกลายเป็นว่าไปเยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้างและภูเขาทัวเยว่มารอบเดียว ขอบเขตก็ถดถอยอีกครั้ง
“หากอยู่ที่นั่นกลับกลายเป็นว่ามิอาจสงบใจฝึกตนดีๆ ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แล้วนับประสาอะไรกับที่ นี่ก็เป็นการค้าที่ไม่ถือว่าขาดทุน เพราะถึงอย่างไรก็สามารถขัดเกลาจิตวิญญาณ การที่ข้าสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาไท่ผิงทั้งที่เพิ่งกลับไพศาลมาได้แค่ไม่กี่วัน ในระดับใหญ่แล้วก็มาจากการถามหมัดระหว่างตัวเองกับตัวเองนี่แหละ”
จงขุยหัวเราะอย่างขันๆ ปนฉุน “ก็แค่ว่าค่อนข้างจะทรมานใช่ไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ฝึกหมัดจะไม่ลำบากเลยได้อย่างไร แค่ชินไปแล้วก็ดีเอง”
เห็นว่าจงขุยไม่มีท่าทีจะเก็บมือไป เฉินผิงอันจึงได้แต่เอ่ยเตือนเสียงเบา “พอแล้วล่ะ อย่าอวดเก่งเลย”
จงขุยสีหน้าเคร่งเครียด เงียบงันไม่พูดคำใด
เฉินผิงอันจึงเตรียมจะยกมือขึ้นผลักสองนิ้วที่ ‘จับชีพจร’ ของจงขุยออกไป
ตอนนี้ในร่างกายของตนคล้ายจานสำหรับขัดกลึงหินหยกใบหนึ่ง
คอยขัดกลึงสามจิตเจ็ดวิญญาณอยู่ตลอดเวลา เศษหยกแตกกระเซ็น ส่วนจงขุยก็พยายามที่จะใช้มือไปหยุดความเร็วในการหมุนของจานใบนั้น
เท่ากับเป็นการถามกระบี่ครั้งหนึ่งแล้ว
จงขุยถลึงตาใส่เฉินผิงอันอย่างดุดัน “ดูถูกข้าหรือ? เป็นครึ่งคนครึ่งผีแบบนี้ สนุกนักหรือ?”
เฉินผิงอันพูดหยอก “ในเมื่อเป็นสหายก็ต้องมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้านไม่ใช่หรือ?”
จงขุยเอ่ยเสียงหนัก “แบมือมา”
เฉินผิงอันสองจิตสองใจ
จงขุยกลับไม่เปิดโอกาสให้เฉินผิงอันได้ปฏิเสธ เขากระทืบเท้าหนึ่งที ประหนึ่งหินก้อนหนึ่งที่ถูกโยนลงไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา ใต้ฝ่าเท้าจึงเกิดทัศนียภาพที่มีริ้วน้ำแผ่กระเพื่อม ลายน้ำทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ สุดท้ายเกิดลางว่าจะซัดโหมย้อนกลับ จงขุยที่กั้นขวางมืดและสว่างเป็นฟ้าดินสองแห่งเรียบร้อยแล้วเผยร่างกายธรรม สวมชุดคลุมขุนนางสีแดงสด พ่นลมออกมาเบาๆ รวบรวมก้อนหยกสีชาดที่สามารถเอาไว้ตรวจเอกสารทางการก้อนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นจงขุยก็ประกบสองนิ้ว ปาดลงไปบนก้อนหมึก ใช้มือต่างพู่กัน ปากท่องคาถา ล้วนเป็นภาษาโบราณที่ความหมายคลุมเครือยากเข้าใจ ช่วยวาดยันต์กักร่างบนฝ่ามือของเฉินผิงอัน
เมื่อทำสำเร็จ จงขุยก็แค่นเสียงหึในลำคอหนึ่งที “เป็นยันต์ผีวาดจริงๆ”
เฉินผิงอันสะบัดมือ ร่างทั้งร่างคล้ายลดความรู้สึกอืดอาดยืดยาดออกไปได้หลายส่วน
ราวกับว่ามือและเท้าทั้งสองต่างก็ปลดยันต์ปราณแท้จริงครึ่งจินแปดตำลึงของร้านยาตระกูลหยางออกไปได้ด้วยตัวเอง
เวลานี้ต่อให้จะนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมก็ยังมีความรู้สึกเหมือนได้ยกหินออกจากอกและรู้สึกเหมือนได้ทะยานลม
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที บิดหมุนข้อมือ ยิ้มเจิดจ้ากล่าวว่า “ขอบคุณนะ”
จงขุยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำตัวห่างเหินขนาดนี้เชียว”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ไม่พูดจาตามมารยาทกับเจ้าคำสองคำต้องถูกนินทาในใจว่าข้าไม่รู้จักวางตัวเป็นคนแน่นอน นักบัญชีในใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่ไม่ใจแคบเป็นไส้ไก่?”
ด่าคนอื่นต้องด่าตัวเองก่อน ย่อมอยู่ในสถานะไร้พ่าย
เอ่ยประโยคด้วยความโมโหเพิ่มมาประโยคหนึ่ง มักจะก่อให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน ทุกสิ่งที่ทำมาล้วนสูญเปล่า หลักการเหตุผลนับร้อยที่พูดด้วยความหวังดีล้วนหมดประโยชน์
เอ่ยประโยคไร้สาระน้อยลงไปประโยคหนึ่ง มักจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทุกหนทุกแห่งในใจคนมีพืชหญ้ารกชัฏมากมาย การคาดเดา ความผิดหวัง ความไม่พอใจ ปรากฏขึ้นๆ ลงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!