ก่อนหน้านี้อยู่ในศาลเทพแห่งผืนดิน จากนั้นเดินเล่นจนมาถึงที่นี่
ในเมืองมีกลิ่นอายไพศาลอยู่เสี้ยวหนึ่ง
ถึงได้ทำให้วิญญาณหยินมากมายสามารถรักษาสติสัมปชัญญะที่แจ่มใสเอาไว้ได้ ไม่ถึงกับตกกลายไปเป็นผีร้าย
น่าจะเป็นฝีมือตระกูลเซียนของเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น
เจ้าอ้วนคว้าเมล็ดถั่วเหลืองหนึ่งกำมือยัดใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ จากนั้นกรอกเหล้าหนึ่งอึก เงยหน้ากระดกดื่มอึกๆๆ แล้วกลืนลงไปรวดเดียวคล้ายกับมันเป็นน้ำเปล่าที่ใช้บ้วนปาก “จงขุย ทำไมถึงไม่บอกกับพี่น้องเฉินไปตามตรง พูดกันอย่างตรงไปตรงมา ขอให้เขาช่วยก็ได้แล้ว”
จงขุยหยิบกล่องไม้ใบนั้นออกจากชายแขนเสื้อมาวางไว้บนหัวเข่า เปิดกล่องไม้ออกเบาๆ ด้านในบรรจุเงินเทียนซือพิฆาตผีไว้หนึ่งชุด “แค่พบหน้ากันก็จะขอให้คนเขาช่วยเลยได้อย่างไร ในใจรู้สึกไม่ดีหรอก”
จงขุยหยิบเหรียญหนึ่งในนั้นขึ้นมา เป่าลมใส่ ใช้ชายแขนเสื้อเช็ด “แล้วนับประสาอะไรกับที่การสร้างสำนักเบื้องล่างคือเรื่องน่ายินดีที่ใหญ่เทียมฟ้า เรื่องที่ข้าจะทำ หากลองเปลี่ยนเป็นเจ้าที่ได้ยินจะไม่รู้สึกอัปมงคลหรอกหรือ?”
เจ้าอ้วนหัวเราะฮ่าๆ “คงกลัวว่าจะถูกปฏิเสธแล้วจะขายหน้ามากกว่ากระมัง?”
เห็นว่าจงขุยเคลื่อนสายตามามอง เจ้าอ้วนก็รีบเอ่ยแก้ไขทันที “ทำตัวห่างเหินเกินไปแล้ว พวกเราสองคนคือใครกับใคร คนที่ต่อให้ตายก็ยังต้องการศักดิ์ศรีอย่างข้า อยู่กับเขาก็ยังเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาไม่ใช่หรือ”
จงขุยเอ่ย “อันที่จริงก็เพราะรู้ว่าเขาจะต้องตอบตกลง อีกทั้งยังไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ข้าถึงได้ลำบากใจ คิดไม่ตกว่าควรจะเปิดปากหรือไม่ หรือจะเปิดปากเมื่อไหร่”
เจ้าอ้วนทอดถอนใจ “เข้าใจๆ ก็เหมือนข้าตอนที่ได้พบพี่น้องเฉินก็ไม่ได้เปิดปากขอตำแหน่งเค่อชิงผู้ถวายงานอะไรจากเขา พวกเราสองพี่น้องต่างก็หน้าบาง อันที่จริงออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ทำตัวแบบนี้จะเสียเปรียบอย่างมาก”
จงขุยขมวดคิ้วน้อยๆ “คนกลุ่มนี้ถึงกับกล้ามาค้างคืนในเมือง ไม่ต้องการชีวิตกันแล้วหรือไร?”
เจ้าอ้วนยิ้มเอ่ย “พวกเขาจะรู้เรื่องวงในได้อย่างไร เพราะการดำรงอยู่ของสิ่งนี้ จึงรู้สึกแค่ว่าสถานที่แห่งนี้ปลอดภัย ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้เดินไปบนเส้นทางน้ำพุเหลืองแล้ว”
ในนครผีแห่งนี้ คงเป็นเพราะปราณดุร้ายเข้มข้นเกินไป ไม่ทันระวังจึงบ่มเพาะให้เกิดผีที่กินผีตนหนึ่งขึ้นมา เมื่อเทียบกับพวกผีร้ายในเรือนมืด ราชาผีตามซากปรักทั่วไปแล้วดุร้ายกว่ามากนัก ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดยังเป็นเพราะผีตนนี้คล้ายกับตัวอ่อนด้านการฝึกตนที่คุณสมบัติโดดเด่นคนหนึ่ง ไม่ถึงสิบปีก็อาศัยการกลืนกินพวกเดียวกันแอบสร้างโอสถทองได้สำเร็จแล้ว อีกทั้งยังทำอะไรระมัดระวัง จึงไม่เคยถูกผู้ฝึกตนหาตัวเจอ หากว่าวันนี้มันได้กินคนบนโลกมนุษย์กลุ่มใหญ่ไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณที่หล่อเลี้ยงบำรุงจิตวิญญาณและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เลือดลมโชติช่วง แล้วปล่อยให้มันได้ตำราลับวิถีผีไปอีกสักสองสามบท หึ คาดว่าไม่ถึงสามสิบห้าสิบปีก็คงทำสำเร็จได้แล้ว จากนั้นค่อยหลอมเมืองผีแห่งหนึ่งเป็นฟ้าดินเล็กร่างกายตนเอง ก็เท่ากับว่ามันจะสามารถเดินทางตอนกลางวันได้อย่างไร้อุปสรรค เปลี่ยนเนื้อหนังมังสาของมนุษย์เสียใหม่ คิดจะตามหาร่องรอยมันให้พบก็ยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว
ไม่อย่างนั้นจงขุยก็คงไม่มีทางพานายท่านใหญ่กูซูมาหยุดอยู่ที่นี่
กำจัดปีศาจปราบมาร เป็นความรับผิดชอบที่มิอาจเลี่ยงได้
จงขุยดื่มเหล้าไปหนึ่งกา บอกให้เจ้าอ้วนเก็บจานกับแกล้มแล้วกระโดดลงไปเบาๆ เหมือนนกที่บินโฉบออกจากห้องโถง กระโดดพลิ้วไปบนสันหลังคาของสิ่งปลูกสร้าง จากนั้นพลันทิ้งตัวลงไป นั่งลงบนระเบียงคนงามที่อยู่นอกห้องหอส่วนตัวของสตรี มองไกลๆ ไปเห็นว่าในลานเรือนของหอหนังสือแห่งหนึ่งมีพวกคนที่มาเก็บตกของดี มีจำนวนรวมหลายสิบคน ครึ่งหนึ่งกำลังขุดดินของที่แห่งนี้ลงลึกสามฉื่อ คนอื่นๆ ต่างก็กำลังค้นห้องใต้ดิน บ่อน้ำแห้งขอดและห้องลับที่แทรกอยู่ตามกำแพง ทุกคนยุ่งวุ่นวายกันอย่างมาก ในบรรดาคนเหล่านี้มีทั้งผู้ฝึกลมปราณครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็มีทั้งผู้ฝึกยุทธในยุทธภพ ฝ่ายหลังส่วนใหญ่ล้วนสวมเสื้อเกราะ ล้วนมีอาวุธอยู่ติดตัว บ้างก็เป็นธนูสะพายหลัง หน้าไม้ หรือไม่ก็พกกระบี่เหรียญทองแดง และยังมีคนที่สะพายถุงข้าวเหนียวกับเลือดหมาดำไว้ด้วย มีผู้ฝึกตนผูกกระดิ่งไว้ที่เอว ในมือถือกระจกส่องมาร เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาดี
ด้านนอกยังมีรถเข็นล้อเดียวจอดไว้อยู่หลายคัน เนื่องจากไม่ว่าจะตีให้ตายอย่างไร ลาและม้าก็ไม่กล้าเข้ามาในเมืองแห่งนี้
ขุดเจอเงินเจ็ดแปดไหก็ส่งเสียงไชโยโห่ร้องดังปานเสียงฟ้าผ่า
คนหนุ่มคนหนึ่งใบหน้าเหลืองแห้งตอบพลันเอ่ยว่า “สามารถลองขุดให้ลึกลงไปอีกสักจั้งสองจั้งได้”
และพอขุดลึกลงไปหนึ่งจั้งก็เจอไหที่ฝังอยู่ใต้ดินมากกว่าเดิมจริงดังคาด พอเปิดออกก็มีแต่ไข่มุกอัญมณีที่มีค่ามากยิ่งกว่า
เจ้าอ้วนหัวเราะหึหึ “ดูจากรูปร่างของจวนหลังนี้ ก่อนจะลาออกจากราชการกลับบ้านเกิด ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเป็นขุนนางขั้นสามในเมืองหลวงที่อยู่ในศูนย์กลางของราชสำนัก ช่างเป็นนายท่านขุนนางที่สูงศักดิ์จริงๆ หากโชคดีได้เป็นขุนนางที่รักของกว่าเหริน ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะได้รับสมญานามตามหลังด้วยอักษรคำว่าเหวินเลยทีเดียว”
ทางฝั่งของลานในบ้านหลังนั้น สตรีหน้าตางดงามอายุประมาณสามสิบปีคนหนึ่งเรือนกายค่อนข้างเตี้ย แต่รูปโฉมกลับงามชวนตะลึง ผิวพรรณขาวสะอาด แล้วก็เพราะนางสวมชุดรัดรูปเอวสั้น จึงยิ่งทำให้เห็นทรวดทรงองค์เอวได้อย่างชัดเจน ผิวของนางขาวยิ่งกว่าหิมะ เห็นเพียงว่าดวงตาของนางฉ่ำน้ำแวววาว พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “กู่ชิว เจ้าเก่งจริงๆ ผลเก็บเกี่ยวในวันนี้เจ้าจะได้เพิ่มเติมไปอีกหนึ่งส่วน”
คนหนุ่มประสานมือคารวะขอบคุณสตรีผู้นั้น
เจ้าอ้วนนอนฟุบอยู่บนราวระเบียงของเก้าอี้คนงาม ยืดคอยาวออกไป สองตาเปล่งประกาย พึมพำเบาๆ ว่า “พี่สาวคนนี้ ทั้งหน้าตาและบุคลิกล้วนโดดเด่นเหนือผู้ใดจริงๆ ทำให้กว่าเหรินเห็นแล้วลืมความธรรมดาสามัญไปเลย”
คนอื่นๆ ในจวนก็พากันมาที่ลานบ้านแห่งนี้ มีคนหนึ่งกอดน้ำเต้าลูกใหญ่ยักษ์วาดเป็นรูปเปลวเพลิงไว้ใบหนึ่ง ประเด็นสำคัญคือยังมีก้านจับด้วย ระดับขั้นดีเยี่ยม เขายิ้มถามสตรีผู้นั้นว่า “ฮูหยิน ของเล่นชิ้นนี้ใช่วัตถุวิเศษที่เทพเซียนอย่างพวกท่านใช้กันหรือไม่?”
สตรีเหลือบตามองมา ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีวัตถุวิเศษบนภูเขามากมายขนาดนี้ จึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มีเพียงพวกคนรวยที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเท่านั้นแหละถึงจะเห็นมันเป็นสมบัติ มีค่ากี่อีแปะ เจ้าก็ต้องถามกู่ชิวดู เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้”
คนหนุ่มเอ่ย “หาปัญญาชนที่มองของออกสักคนหนึ่ง บางทีอาจมีค่าสักสามสี่ร้อยตำลึงเงิน แต่หากเป็นที่ท่าเรือตระกูลเซียน ราคานี้ย่อมขายไม่ออก”
คนผู้นั้นจึงมองสตรี ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา หัวเราะร่าลูบไล้ไปตามน้ำเต้า แล้วถึงได้ขว้างน้ำเต้าออกไปจนมันลอยไปกระแทกผนังอย่างแรง
สตรีตวัดตามองค้อน “คนบ้า”
ในใจของคนหนุ่มรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งยวด แต่กลับไม่กล้าพูดมากแม้แต่ครึ่งคำ
สีหน้าของสตรีฉายแววลำพองใจ ตนเก็บสมบัติกลางทางมาได้เปล่าๆ จริงเสียด้วย ไม่เสียแรงที่คนหนุ่มเป็นลูกหลานในตระกูลของหน่วยทอผ้าในหนึ่งแคว้น สายตาดีเยี่ยม ไม่อย่างนั้นพวกเขาเข้าเมืองมาครั้งนี้ก็มีแต่จะเป็นแมลงวันไร้หัวที่พุ่งชนไปทั่ว คาดว่าผลเก็บเกี่ยวที่ได้อย่างน้อยที่สุดก็ต้องลดลงครึ่งหนึ่ง
มีคนถือถุงป่านขนาดใหญ่นั่งยองอยู่บนบันไดขั้นล่างสุด ค้นๆ พลิกๆ อยู่พักหนึ่ง ให้กู่ชิวตรวจสอบราคา ถ้ามีค่าก็เก็บไว้ ไม่มีค่าก็โยนให้แตก
เขาหยิบเครื่องกระเบื้องปากกว้างชิ้นหนึ่งออกมา วาดเป็นลวดลายดอกบัวสีชมพูกับนกกระยาง ไม่รู้ว่าเอาไว้ใช้ทำอะไร เพียงแต่ว่ามองดูแล้วคล้ายจะมีค่า จึงถามคนหนึ่งว่า “คือแจกันดอกไม้หรือ?”
“กระโถน”
“หมายถึงอะไร?”
“ไม่มีค่า”
บันไดขั้นบนสุดมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำสวมเสื้อเกราะคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ฮวาหลี สองมือค้ำยันด้ามดาบ บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นลากยาว รูปโฉมจึงดูดุร้าย เท้าเหยียบอยู่บนกลอนคู่ไม้หนานมู่ที่เหลืออยู่แค่อันเดียว ก่อนหน้านี้กู่ชิวบอกว่าของสิ่งนี้มีค่ามาก เป็นลายมือของปรมาจารย์ในวงการประพันธ์ท่านหนึ่งในรัชสมัยก่อนของราชวงศ์สกุลอวี๋ หากอยู่ครบเป็นคู่ อย่างน้อยก็ขายได้ห้าหกร้อยตำลึงเงิน ชายฉกรรจ์ทนรับการส่งสายตาไปมาให้แก่กันระหว่างสตรีบ้านตนกับเจ้าเด็กหน้าขาวผู้นี้ไม่ได้มากที่สุด จึงยกเท้ากระทืบมันจนแตกยับ
ชายฉกรรจ์มองสีท้องฟ้า เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “กลับกันได้แล้ว”
กลุ่มของพวกเขามาถึงเขตการปกครองเก่าแห่งนี้ตอนเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของปีนี้ ตามหาของเหลือที่หล่นออกจากปากของพวกเซียนซือทำเนียบหลายกลุ่ม เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน ราบรื่นอย่างมาก เมื่อเทียบกับคนร่วมอาชีพที่เจอกับเรื่องไม่คาดฝันมากมายในเมืองผีแห่งอื่น มีคนตายไปแล้วไม่น้อย พวกเขากลับยังไม่มีความเสียหายใหญ่อะไร ในนครมีเพียงแค่ผีเร่ร่อนที่ป้วนเปี้ยนไปมายามค่ำคืนเท่านั้น พวกเขาเลือกศาลเทพอภิบาลแห่งหนึ่งในเขตการปกครองเป็นที่พักพิง ตอนกลางคืนพวกผีก็ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้
แต่ผ่านไปแล้วครึ่งปี หากหักลบทุกอย่างออกเป็นเงินเทพเซียนแล้วล่ะก็ เท่ากับว่าได้เงินฝนธัญพืชมาเหรียญหนึ่งแล้ว
จงขุยเหลือบมองบ้านเล็กหลังหนึ่งที่อยู่ในเมือง มีเด็กสาวคนหนึ่งยืนเอนกายพิงต้นท้อเพียงลำพัง ใบหน้าของนางงดงามดุจดอกท้อ
ช่วงปลายฤดูหนาวเช่นนี้ ดอกท้อกลับผลิบานเต็มกิ่งก้าน แน่นอนว่าไม่สมเหตุสมผล ดูเหมือนเด็กสาวจะสัมผัสได้ถึงสายตาของจงขุย ด้วยเขินอายจึงเดินนวยนาดจากไป ตอนที่นางเลิกผ้าม่านขึ้นได้หันกลับมาแสยะยิ้มให้เขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!