เรือข้ามฟากหลากสี
เรือลอยพลิ้วลงน้ำ ขณะเดียวกันก็หดเล็กลงมีขนาดใหญ่เท่าเรืออูเผิง ที่แท้ก็มาถึงสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ภูเขาและสายน้ำมาบรรจบกัน หน้าผาสูงชันอันตรายเหมือนถูกมีดปาด ยังพอจะมองเห็นร่องรอยของการเจาะทะลวงได้ เรือล่องจากสายน้ำตอนบนเข้ามาในหุบเขา แสงสว่างพลันวูบสลัวลงคล้ายผ่านด่านประตูผีเข้ามา มองเห็นก้อนหินใหญ่สีดำก้อนหนึ่งโผล่ขึ้นมากลางน้ำในฉับพลัน ประหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาบรรพกาลที่สวมเสื้อเกราะเดินลุยน้ำมาหยุดพักยังที่แห่งนี้ ใช้เรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารผ่าสายน้ำจากหนึ่งออกเป็นสอง เป็นเหตุให้คนขับเรือในท้องถิ่นมองว่าเป็นเส้นทางอันตราย
เซวียไหวยิ้มพูดอธิบาย “หากเป็นช่วงใบไม้ร่วงที่อากาศเย็นและน้ำเริ่มแห้งนับว่าดีหน่อย แต่หากเป็นช่วงฤดูร้อนที่น้ำหลากแล้วล่ะก็ กระแสน้ำจะซัดรุนแรง เรือพุ่งทะยานตามน้ำไปอย่างรวดเร็วราวลูกธนูที่หลุดออกจากแล่ง ง่ายที่จะเป็นดั่งไข่กระทบหิน เรือถูกทำลายคนตายดับ ไม่อย่างนั้นก็คือกระแทกชนกับเรือที่ล่องทวนกระแสน้ำขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อน้ำท่วม น้ำในแม่น้ำจะเชี่ยวกรากตรงดิ่งเข้าหาก้อนหินใหญ่ใจกลางน้ำก้อนนี้จนเกิดเป็นสายรุ้งได้เลย คนเรือที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ยังไม่กล้าล่องเรือผ่าน”
เซวียไหวชอบท่องเที่ยวไปตามขุนเขาสายน้ำที่มีชื่อเสียง ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ได้ตั้งใจเลือกคืนที่แสงจันทร์กระจ่างน้ำไหลเชี่ยวรุนแรง อาจารย์ผู้เฒ่ายืนเหยียบบนเรือแจวลำน้อย ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เข้าใจผิดคิดว่าเขาคือเซียน
เย่อวิ๋นอวิ๋นถาม “มีหินยักษ์ก้อนนี้ตั้งตระหง่านขวางกลางลำน้ำ คือสิ่งกีดขวางใหญ่ของโชคชะตาน้ำ ราชสำนักในท้องถิ่นไม่ได้แต่งตั้งพ่อปู่ลำคลองหรือเทพวารีให้มาสร้างศาลอยู่แถวนี้ ช่วยสยบกำราบชะตาน้ำ ทำให้สายน้ำสงบนิ่งบ้างเลยหรือ?”
เซวียไหวส่ายหน้า “อย่าว่าแต่นับแต่โบราณมาไม่มีศาลเทพวารีที่ราชสำนักแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเลย แม้แต่คนในท้องถิ่นก็ยังไม่กล้าสร้างศาลเถื่อนที่ไม่ถูกกฎขึ้นมาโดยพลการ บอกว่าเทพภูเขาและเทพวารีของที่นี่จะต้องตีกัน หากสร้างศาลขึ้นมา ไม่ว่าจะหนึ่งหรือสองแห่ง ไม่ว่าจะตั้งบูชาเทพภูเขาหรือเทพวารีก็ดูเหมือนจะไม่เหมาะสมสักทาง แต่ขุนนางในอำเภอและเขตการปกครองท้องถิ่น ช่วงแรกๆ ที่มารับตำแหน่งล้วนจะต้องมา ‘บูชาน้ำ’ ด้วยการโยนวัวม้าพร้อมเอกสารราชการลงน้ำไปพร้อมๆ กันเพื่อขอพรให้ได้รับการปกป้องคุ้มครอง”
เย่อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยอย่างกังขา “ทำไมถึงมองดูเหมือนเนินเยี่ยนอวี้ในประวัติศาสตร์ก้อนนั้นเลย?”
เซวียไหวเอ่ยชื่นชม “ยังคงเป็นอาจารย์ที่ความรู้กว้างขวาง หากอาจารย์ไม่ได้พูดถึง ข้าก็คงไม่คิดไปถึงเนินเยี่ยนอวี้นั่นหรอก”
ในอดีตใต้หล้าไพศาลมี ‘เสาหินกลางกระแสน้ำ’ ใหญ่อยู่สี่ก้อน เนินเยี่ยนอวี้ก็คือหนึ่งในนั้น นอกจากนี้ที่นครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็มีอยู่แห่งหนึ่ง ใช้สีชาดทาทับอักษรแกะสลักตัวใหญ่สองคำว่า ‘ประตูมังกร’
เย่อวิ๋นอวิ๋นเอ่ย “หากอยู่ในอาณาเขตของผูซานก็สามารถเจาะพื้นที่เล็กๆ ไว้ทางเหนือของก้อนหินใหญ่ได้ ให้ผู้ฝึกยุทธพอได้หยัดยืน จากนั้นยามที่น้ำท่วมมาก็ให้พวกเขายืนปล่อยหมัดอยู่ที่นั่นโดยเฉพาะ เพื่อขัดเกลาเส้นเอ็นและกระดูก”
เซวียไหวถามหยั่งเชิง “ให้ข้าไปคุยกับราชสำนักในพื้นที่ไหม?”
จ่ายเงินซื้อ
ถึงอย่างไรอาจารย์ของตนท่านนี้ก็สวมชุดสีเหลืองตลอดทั้งปี ไม่แต่งหน้าแต่งตาอยู่แล้ว ไม่เคยแต่งกายงดงามหรูหรา เรื่องของการใช้เงินจึงมักจะไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป
เย่อวิ๋นอวิ๋นหันหน้าไปมองหญิงชรา “ฉิวหมัวมัว ในน้ำมีอะไรแปลกประหลาดหรือ?”
หญิงชราส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “อันที่จริงไม่ได้มีเผ่าน้ำออกอาละวาดอะไรหรอก ก็แค่หินก้อนหนึ่งที่บินมาจากนอกฟ้า บังเอิญหล่นลงในแม่น้ำแล้วหยั่งรากอยู่ที่นี่พอดี แต่ว่าดูเหมือนตรงรากหินก้นแม่น้ำจะมียอดฝีมือใช้โซ่ตรวนหลายเส้นตรึงเอาไว้อย่างแน่นหนา คงเป็นเพราะตัวเองขนย้ายไปไม่ได้แล้วก็ไม่ยินดีจะให้เซียนซือคนอื่นได้รับผลประโยชน์ แต่หินยักษ์ก้อนนี้ระดับขั้นไม่สูง ไม่อาจสร้างสิ่งดีๆ อะไรออกมาได้ เพียงแต่ว่าเพราะมีคุณสมบัติพิเศษ หนักมาก เวทคาถาและอาวุธทั่วไปยากจะเจาะหินนี้ได้ เพราะจะทำให้คมอาวุธม้วนงอ อีกทั้งอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นยังมีมูลค่าธรรมดา ไม่คุ้มค่า”
ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์สกุลอวี๋เก่าก็มีตี้ซือของกองโหราศาสตร์ที่ทำหน้าที่สำรวจภูมิศาสตร์รับคำสั่งให้มาตรวจสอบที่นี่เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็พอๆ กับที่ฉิวหมัวมัวพูด
ศาสตราวุธที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ในยุทธภพ ส่วนใหญ่ล้วนทำมาจากหินที่บินมาจากนอกโลกประเภทนี้ มีความต่างกันแค่ว่าหลอมร้อยรอบหรือพันรอบเท่านั้น
เหมือนอย่างดาบวิเศษพิทักษ์แคว้นของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่ามีคุณภาพสูงกว่ามากนัก
“ดังนั้นประโยชน์เพียงหนึ่งเดียวก็คือดึงมันออกมาทั้งรากทั้งโคนแล้วย้ายไป เอาไปทำเป็นหินฮวงจุ้ย เพียงแต่ว่าผู้ฝึกลมปราณจำพวกเซียนดิน หากไม่มีภูตจำพวกเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาหรือยันต์มัลละคอยช่วยเหลือ ก็ยากจะที่จะย้ายภูเขาเล็กลูกนี้ได้ ได้ยินมาว่าฮ่องเต้แต่ละยุคของสกุลอวี๋ต่างก็มัธยัสถ์กันอย่างมาก ไม่ยินดีจะระดมกำลังใหญ่โตย้ายมันไปยังเมืองหลวง”
เรือนกายสูงเพรียวเรือนกายหนึ่งพลิ้วกายลงบนยอดสูงสุดของหน้าผา เมื่อหญิงสาวคนนั้นมองไกลๆ ไปเห็นกลุ่มของหวงอีอวิ๋น นางก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย รีบทะยานลมพลิ้วกายลงบนฝั่ง ขยับเท้าเบาๆ ‘เดินเคียงบ่า’ ไปพร้อมกับเรือหลากสีลำนั้น
เผยเฉียนคำนวณเวลา เย่อวิ๋นอวิ๋นก็น่าจะไปถึงท่าเรือเฮยเซี่ยนแล้ว ก่อนที่ศิษย์พี่เล็กชุยตงซานจะออกทะเลไปได้บอกให้นางมารอรับแขกอยู่ที่นี่ หากรอแล้วไม่เจอก็ไม่เป็นไร บอกว่าเขาได้หมายตาก้อนหินในแม่น้ำก้อนหนึ่ง หากศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ถือสาก็สามารถย้ายมันไปไว้ในอาณาเขตของภูเขาเซียนตูได้ เขาได้ตกลงราคากับคนที่อยู่แถบนี้เรียบร้อยแล้ว
ไปรอที่ท่าเรือแห่งนั้น แต่เผยเฉียนก็ไม่ได้พบหวงอีอวิ๋น คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันที่นี่โดยบังเอิญ
เผยเฉียนกุมหมัดทักทายแล้วถามว่า “เจ้าขุนเขาเย่หมายตาหินยักษ์ก้อนนี้ อยากจะย้ายกลับผูซานหรือ?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มถาม “ภูเขาเซียนตูก็ต้องการเหมือนกันหรือ?”
เผยเฉียนยิ้มอย่างเขินอาย
“ห่างจากผูซานมาไกลเกินไป ไม่มีความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น”
เย่อวิ๋นอวิ๋นเอ่ย “เจ้าจะย้ายมันไปอย่างไร?”
สถานที่แห่งนี้ห่างจากภูเขาเซียนตูเป็นระยะทางที่ไม่สั้น เรื่องของการย้ายภูเขามีธรณีประตูสูงอย่างมาก เว้นเสียจากว่าจะเป็นพวกภูตภูเขาที่เคลื่อนย้ายภูเขา ขับไล่ภูเขาได้ ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกตนต้องมีขอบเขตสูง จำเป็นต้องสะบั้นรากภูเขาเสียก่อน นอกจากนี้ยังต้องคุ้นชินกับวิถีแห่งยันต์ ค่ายกล ระยะทางยาวไกลนับพันลี้ ย้ายภูเขาจากไป ลากดินดึงน้ำ แบกรับน้ำหนักหนักอึ้ง อีกทั้งระหว่างทางก็ง่ายที่จะเกิดเรื่องไม่คาดคิด
หากเป็นแค่การเคลื่อนย้ายก้อนหินยักษ์ไปในน้ำ ฉิวตู๋ที่อยู่บนเรือยังพอจะมีวิธี แต่หากจะพูดถึงการยกขึ้นฝั่งกลับยุ่งยากมากแล้ว ต่อให้เผยร่างจริงของฉิวเฒ่า อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย
คำตอบของเผยเฉียนกระชับเรียบง่ายอย่างยิ่ง แค่สองคำ “แบกไป”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ทำธุระของเจ้าเถอะ พวกเราจะเดินเล่นอีกพักหนึ่งแล้วจะไปที่ภูเขาเซียนตู”
เผยเฉียนจึงหยุดเดินอยู่บนฝั่ง
เรือหลากสีแล่นไปตามแม่น้ำตอนล่างอย่างรวดเร็วราวลูกธนู
เพียงแต่กลุ่มของเย่อวิ๋นอวิ๋นต่างพากันหันหน้ากลับไปมอง
เห็นเพียงว่าเผยเฉียนผู้นั้นกระโดดลงไปในน้ำ เพียงชั่วพริบตาน้ำก็กระเพื่อมขึ้นมา ด้านล่างมีเสียงครืนครั่นเหมือนเสียงฟ้าผ่า
ครู่หนึ่งต่อมา โซ่ตรวนหลายเส้นก็ถูกสตรีบีบจนแตก จากนั้นนางก็ขุดหลุมใหญ่ไว้ใต้ก้นแม่น้ำ สองมือประคองถือหินทั้งก้อน ยกชูขึ้นสูง ขว้างภูเขาลูกเล็กขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นปล่อยหมัดออกไป ดันก้อนหินยักษ์ที่ร่วงดิ่งลงมาอย่างรวดเร็วให้ลอยขึ้นสูงไปร้อยกว่าจั้งอีกครั้ง เรือนกายของสตรีเล็กเท่าเมล็ดงา มาหยุดอยู่ด้านข้างภูเขาลูกเล็ก ทะยานลมหยุดลอยตัวนิ่ง เหวี่ยงแขนเป็นวง ปล่อยหมัดต่อยออกไป ต่อยจนก้อนหินกลิ้งหลุนๆ ไปข้างหน้าท่ามกลางทะเลเมฆไกลร้อยกว่าจั้ง เรือนกายทะยานว่องไวราวกับสายฟ้าแลบ เหยียบกระโจนไปบนความว่างเปล่า เอียงศีรษะไปทางหนึ่ง ใช้ไหล่กระแทกชนให้ภูเขาเล็กกระเด้งสูงขึ้นไปอีกหลายสิบจั้ง สตรีมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของก้อนหินอีกครั้งแล้วปล่อยหมัดอีกรอบ...
ทั้งคนทั้งก้อนหินจึงพากันมุ่งหน้าไปยังภูเขาเซียนตูทั้งอย่างนี้
หญิงชรากลืนน้ำลาย แม่นางน้อยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไปเอาเรี่ยวแรงมากมายขนาดนี้มาจากไหน? คงไม่ใช่ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาคนหนึ่งหรอกนะ?
คุณสมบัติเยอะเกินกว่าเหตุไปหน่อยหรือไม่?
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มถาม “เซวียไหว ยังอยากถามหมัดกับนางอยู่อีกไหม?”
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ขอบเขตเดียวกันก็คือคนรุ่นเดียวกัน
ถ้าอย่างนั้นเซวียไหวกับเผยเฉียน พวกเขาคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ของเย่อวิ๋นอวิ๋น อีกคนคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอัน ก่อนที่อาจารย์จะประลองหมัดกัน พวกเขาจะประชันฝีมือกันก่อนก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก
แล้วนับประสาอะไรกับที่เซวียไหวเดินทางมาครั้งนี้ ในระดับใหญ่แล้วก็เพื่อตรงมาถามหมัดกับเผยเฉียนโดยเฉพาะ ต้องการยืนยันให้แน่ชัดว่าตัวเองจะแบกรับยี่สิบหมัดไหวหรือไม่
เซวียไหวยิ้มเจื่อน “ดูยังไงๆ ก็เหมือนจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว”
คนนอกเห็นแค่เรื่องสนุก คนในกลับมองความลี้ลับออก เผยเฉียน ‘ย้ายภูเขา’ เช่นนี้ นอกจากจะมีพลังหมัดหนักหน่วงแล้ว วิชาหมัดยังแฝงไว้ด้วยพละกำลังที่พอเหมาะพอเจาะ ไม่อย่างนั้นหนึ่งหมัดปล่อยออกไป ออกแค่แรงอย่างเดียวไม่มีการเบาแรงบ้าง ก็ง่ายที่จะทำให้ก้อนหินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!