หวงเจวี้ยนยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาว นางแอบยกเท้าขึ้นแสร้งทำท่าจะถีบอีกฝ่าย
ผลคือเด็กหนุ่มชุดขาวกลับล้มหน้าคว่ำไปบนพื้นเสียงดังตุ้บ เขาหันขวับกลับมาเอ่ยอย่างเดือดดาล “แอบเล่นงานข้าใช่ไหม?! จ่ายเงินมาเลย?!”
หวงเจวี้ยนอ้าปากเหวอ
ซาชิงเองก็รู้สึกเหลือเชื่อมาก
ซิ่วหู่ในปีนั้นเปี่ยมไปด้วยมาดองอาจสง่างาม
ครั้งแรกที่ไปเยือนทะเลสาบเจี่ยวเยว่ ลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่งอย่างชุยฉานผู้นี้ อันที่จริงได้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้านานแล้ว แม้แต่ซาชิงที่ไม่ชอบออกไปข้างนอกก็ยังเคยได้ยินคำวิจารณ์บางอย่างที่ศาลบุ๋นมีต่อชุยฉาน
‘อบอุ่นดุจตะวัน แข็งแกร่งดุจภูผา ดุจภาชนะที่วางอยู่ในศาล’ (ภาชนะที่วางอยู่ในศาลเปรียบเปรยถึงสื่อสำคัญที่ใช้สืบทอดและส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีงาม)
แต่สรุปแล้วใครเป็นคนพูดกันแน่ กลับมิอาจรู้ได้ มีการคาดเดาว่าเป็นเจ้าสำนักของศาลบุ๋น แต่ก็มีคนบอกว่าเป็นหลี่เซิ่งที่วิจารณ์เองกับปาก ถึงขั้นที่มีคนบอกว่าคำกล่าวนี้มาจากปากของปรมาจารย์มหาปราชญ์ด้วย!
ใต้ชายคาของศาลาริมน้ำ นั่งลงบนพื้น มีกระดานหมากกางกั้นสุ่ยจวิน กระดานหมากหนึ่งมาถึงช่วงปิดท้าย ฝนฟ้ากระหน่ำเทลงมา สายฟ้าแลบปลาบคลอเสียงฟ้าร้อง คนชุดดำคีบเม็ดหมากสีขาว แสงฟ้าลั่นผ่านริมขอบคิ้ว มือวางเม็ดหมากตาไม่กะพริบ
หลี่เย่โหวหยิบพัดกลมที่วัสดุยอดเยี่ยมอัศจรรย์ออกมาจากชายแขนเสื้อ “เป็นทั้งการชดใช้ แล้วก็เป็นทั้งของขวัญ มอบให้เซียนกระบี่เฉินจะเหมาะสมมากกว่า”
หวงเจวี้ยนเสียดายอย่างสุดแสน
นี่คือของเก่าเก็บในวังที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่ง อีกทั้งเวลาปกติเจ้านายก็รักและถนอมของชิ้นนี้เป็นที่สุด พัดเล่มนี้มีชื่อว่า ‘หลบร้อน’ ความหมายดีเยี่ยม ‘แสงจันทร์เผยไอเย็น พัดล้ำค่าใช้ขับร้อนจึงถูกวางไว้’ เล่าลือกันว่าผู้ครองดวงจันทร์ยุคบรรพกาลท่านนั้นเป็นผู้หลอมมันขึ้นมาเองกับมือ
เพียงแต่ว่าผลัดเปลี่ยนมืออยู่ในโลกมนุษย์ทำให้ระดับขั้นได้รับความเสียหาย ทุกวันนี้จึงเป็นแค่สมบัติหนักบนภูเขาที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนเท่านั้น กุญแจสำคัญคือพัดล้ำค่าเล่มนี้สามารถนำมาหลอมเป็นอาวุธที่ใช้ในการโจมตีได้ แล้วยังสามารถนำมาสยบขุนเขาสายน้ำ รวบรวมโชคชะตา เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการดูดดึงแสงจันทร์ที่ยิ่งได้รับเงื่อนไขพิเศษ
ชุยตงซานเก็บทั้งสมุดและพัดใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วก็ไม่เอ่ยขอบคุณแม้แต่ครึ่งคำ จู่ๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา ยื่นมือไปประคองไหล่ของหลี่เย่โหว ลุกขึ้นยืนช้าๆ “ก่อนจะมา อาจารย์ได้กำชับกับข้าไว้แค่ประโยคเดียว”
เหตุการณ์ทุกอย่างในวันนี้เป็นอย่างที่อาจารย์คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด! แทบไม่คลาดเคลื่อนเลยสักนิด!
โกรธ? ข้าชุยตงซานต้องโกรธคนที่พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือตัวเองด้วยหรือ? ตลกล่ะ
หลี่เย่โหวลุกขึ้นตาม ยิ้มเอ่ย “ข้าล้างหูรอฟังแล้ว”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อาจารย์บอกแล้วว่าเรื่องของการค้าขาย สภาพราคาตลาดมิอาจถดถอย แต่ภายนอกที่ต้องแสดงให้คนอื่นดูก็ยังต้องทำอยู่บ้าง”
หลี่เย่โหวได้ยินเสียงสายพิณก็รู้ถึงความหมายที่พิณจะสื่อ พลันกระจ่างแจ้งในเสี้ยววินาที กลั้นหัวเราะ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเข้าใจผิดคิดว่าได้ผลประโยชน์แล้วยังเล่นแง่ จึงตีหน้าเคร่งพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว เย่โหวจะใช้วิธีการที่ไม่เปิดเผยร่องรอยทำให้สุ่ยจวินเพื่อนร่วมอาชีพอีกสองท่านรู้ถึง ‘ราคาแท้จริง’ ของการค้าขายระหว่างจวนวารีทะเลทักษิณกับภูเขาลั่วพั่วในครั้งนี้”
หลี่เย่โหวประสานมือคารวะ พอยืดตัวขึ้นแล้วก็ยิ้มเอ่ย “รอให้วันใดใต้หล้าสงบสุขอย่างแท้จริงแล้วค่อยเชิญอาจารย์ชุยไปเป็นแขกที่ทะเลทักษิณอีกครั้ง เล่นหมากล้อม ‘ใต้แสงจันทร์เก้ากระดาน’ เพื่อให้บนโลกมนุษย์มีตำราหมากล้อมน้ำสารทเพิ่มขึ้นมาอีกฉบับหนึ่ง”
ชุยตงซานประสานมือคารวะกลับคืนแล้วก็ยิ้มหน้าทะเล้น “ได้เลยๆ อย่าว่าแต่ประลองหมากล้อมที่จวนวารีทะเลทักษิณเลย ต่อให้จับมือไปพี่เย่โหวบินทะยานไปยังดวงจันทร์ก็ยังไม่มีปัญหา เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้คุณภาพของตำราหมากล้อมจะอยู่ไกลเกินกว่าสถานการณ์หมากเมฆหลากสีได้ติด แต่ตำแหน่งที่พวกเราสองที่น้องประลองหมากกันก็สูงกว่านครจักรพรรดิขาวมากนัก ใช่แล้ว คราวหน้าที่เจอกันไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ชุยแล้ว ฟังแล้วอึดอัดนัก หากเจ้าไม่เรียกข้าว่าตงซานก็เรียกข้าว่าสหาย ‘ถงเกิง’ แล้วกัน”
ทุกวันนี้ชุยตงซานตั้งฉายาให้ตัวเองใหม่ว่า ‘ถงเกิง’
หลี่เย่โหวพยักหน้า เตรียมจะออกไปจากพื้นดินของใบถงทวีปแล้ว
ชุยตงซานถามหยั่งเชิง “ไม่ไปนั่งที่ภูเขาเซียนตูบ้านข้าสักหน่อยจริงหรือ?”
หลี่เย่โหวส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ที่จวนวารีมีธุระมากมาย ไม่สะดวกให้รั้งอยู่บนฝั่งนาน”
หวงเจวี้ยนถามเสียงเบา “เจ้าขุนเขาเฉินเป็นอาจารย์ของท่านได้อย่างไร?”
ชุยตงซานเริ่มรู้สึกทนกับสตรีผมยาวความรู้สั้นผู้นี้ไม่ไหวนิดๆ แล้ว จึงกลอกตามองบน “มีความรู้สูงเป็นอาจารย์ วางตัวเที่ยงตรงเป็นแบบอย่าง ทำไมอาจารย์ของข้าจะเป็นอาจารย์ของข้าไม่ได้ เป็นข้าที่ไม่อาจเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ข้าได้ยังจะเข้าท่ามากกว่า”
หลี่เย่โหวช่วยพูดไกล่เกลี่ย “อันที่จริงหวงเจวี้ยนเลื่อมใสอิ่นกวานอย่างมาก”
หวงเจวี้ยนพยักหน้ารับหนักๆ นี่เป็นความจริง
คราวก่อนที่อยู่สวนกงเต๋อ อิ่นกวานหนุ่มยืนอยู่ข้างกายเหวินเซิ่ง ช่วยอาจารย์ของเขาต้อนรับแขก อาจารย์อายุน้อย ทำให้คนรู้สึกเหมือนได้อาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ
เด็กหนุ่มชุดขาวรีบขมวดคิ้วทันใด “พี่หญิงหวงเจวี้ยน ข้าผิดไปแล้ว คืนนี้ได้พบเจอกัน หากมีเรื่องใดที่ข้าทำไม่ถูกต้อง หวังว่าพี่สาวจะอภัยให้กัน”
หวงเจวี้ยนปรับตัวเข้ากับกลิ่นอายประหลาดบนร่างของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้จริงๆ คนผู้นี้จะถือว่าเป็นคนที่มีสติปัญญาเลิศล้ำจนใกล้เคียงปีศาจหรือไม่? ตนคงไม่ถูกอีกฝ่ายอาฆาตแค้นแล้วหรอกนะ? ไม่อย่างนั้นเหตุใด้นายท่านถึงต้องคอยย้ำเตือนนางกับซาชิงอยู่หลายครั้ง? หวงเจวี้ยนยิ่งคิดยิ่งเป็นกังวล จึงเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ถือว่าตอบตกลงแล้ว
หลี่เย่โหวพาคนทั้งสองทะยานลมออกไปจากยอดเขา
ซาชิงหันไปมองด้านหลัง เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มชุดขาวยังคงยืนอยู่ที่เดิม โดดเดี่ยวเพียงลำพัง ดุจนกกระเรียนเดียวดายแห่งฟ้าดิน กลิ่นอายแห่งมรรคาปลอดโปร่งทั้งสูงส่ง
หลี่เย่โหวคล้ายจะเดาความคิดของผู้ติดตามคนนี้ออกจึงใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “ผิดแล้ว นั่นคือต้นอู๋ถงแห่งฟ้าดิน เสียงลูกหงส์ไพเราะกว่าเสียงหงส์แก่”
หวงเจวี้ยนเอ่ย “นายท่าน ก่อนหน้านี้ตอนที่ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ชุย ข้าไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงได้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา”
หลี่เย่โหวถอนหายใจ สีหน้าซับซ้อน “เช่นเดียวกัน”
หวงเจวี้ยนเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ยังคงเป็นการอยู่ร่วมกับอิ่นกวานท่านนั้นที่ค่อนข้างผ่อนคลายมากกว่า”
หลี่เย่โหวลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
เดิมทีเขาอยากพูดว่า นั่นเป็นเพราะซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งก็อยู่ด้วย อีกทั้งตอนนั้นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็อยู่ที่สวนกงเต๋อศาลบุ๋น
หากเจ้าเป็นศัตรูกับเขาก็ลองดูเถอะว่าจะยังรู้สึกอย่างนี้อยู่อีกไหม
……
เสี่ยวหลงชิว ภูเขาหลงเหมียนภูเขาบรรพบุรุษ ห่างจากยอดเขาซินอี้ที่เป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์ไปไม่ไกล มีถ้ำเทพเซียนที่ประตูปิดสนิทแห่งหนึ่งตั้งอยู่ บนหน้าผาหินด้านข้างแกะสลักอักษรลี่ซูเป็นคำว่า ‘ฟ้าอีกแห่ง’
หลินฮุ่ยจื่อเจ้าขุนเขา ทุกวันนี้ก็ปิดด่านรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!