ตอน บทที่ 904.2 นกกระเรียนโดดเดี่ยวแห่งฟ้าดิน จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 904.2 นกกระเรียนโดดเดี่ยวแห่งฟ้าดิน คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
หวงเจวี้ยนยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาว นางแอบยกเท้าขึ้นแสร้งทำท่าจะถีบอีกฝ่าย
ผลคือเด็กหนุ่มชุดขาวกลับล้มหน้าคว่ำไปบนพื้นเสียงดังตุ้บ เขาหันขวับกลับมาเอ่ยอย่างเดือดดาล “แอบเล่นงานข้าใช่ไหม?! จ่ายเงินมาเลย?!”
หวงเจวี้ยนอ้าปากเหวอ
ซาชิงเองก็รู้สึกเหลือเชื่อมาก
ซิ่วหู่ในปีนั้นเปี่ยมไปด้วยมาดองอาจสง่างาม
ครั้งแรกที่ไปเยือนทะเลสาบเจี่ยวเยว่ ลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่งอย่างชุยฉานผู้นี้ อันที่จริงได้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้านานแล้ว แม้แต่ซาชิงที่ไม่ชอบออกไปข้างนอกก็ยังเคยได้ยินคำวิจารณ์บางอย่างที่ศาลบุ๋นมีต่อชุยฉาน
‘อบอุ่นดุจตะวัน แข็งแกร่งดุจภูผา ดุจภาชนะที่วางอยู่ในศาล’ (ภาชนะที่วางอยู่ในศาลเปรียบเปรยถึงสื่อสำคัญที่ใช้สืบทอดและส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีงาม)
แต่สรุปแล้วใครเป็นคนพูดกันแน่ กลับมิอาจรู้ได้ มีการคาดเดาว่าเป็นเจ้าสำนักของศาลบุ๋น แต่ก็มีคนบอกว่าเป็นหลี่เซิ่งที่วิจารณ์เองกับปาก ถึงขั้นที่มีคนบอกว่าคำกล่าวนี้มาจากปากของปรมาจารย์มหาปราชญ์ด้วย!
ใต้ชายคาของศาลาริมน้ำ นั่งลงบนพื้น มีกระดานหมากกางกั้นสุ่ยจวิน กระดานหมากหนึ่งมาถึงช่วงปิดท้าย ฝนฟ้ากระหน่ำเทลงมา สายฟ้าแลบปลาบคลอเสียงฟ้าร้อง คนชุดดำคีบเม็ดหมากสีขาว แสงฟ้าลั่นผ่านริมขอบคิ้ว มือวางเม็ดหมากตาไม่กะพริบ
หลี่เย่โหวหยิบพัดกลมที่วัสดุยอดเยี่ยมอัศจรรย์ออกมาจากชายแขนเสื้อ “เป็นทั้งการชดใช้ แล้วก็เป็นทั้งของขวัญ มอบให้เซียนกระบี่เฉินจะเหมาะสมมากกว่า”
หวงเจวี้ยนเสียดายอย่างสุดแสน
นี่คือของเก่าเก็บในวังที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่ง อีกทั้งเวลาปกติเจ้านายก็รักและถนอมของชิ้นนี้เป็นที่สุด พัดเล่มนี้มีชื่อว่า ‘หลบร้อน’ ความหมายดีเยี่ยม ‘แสงจันทร์เผยไอเย็น พัดล้ำค่าใช้ขับร้อนจึงถูกวางไว้’ เล่าลือกันว่าผู้ครองดวงจันทร์ยุคบรรพกาลท่านนั้นเป็นผู้หลอมมันขึ้นมาเองกับมือ
เพียงแต่ว่าผลัดเปลี่ยนมืออยู่ในโลกมนุษย์ทำให้ระดับขั้นได้รับความเสียหาย ทุกวันนี้จึงเป็นแค่สมบัติหนักบนภูเขาที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนเท่านั้น กุญแจสำคัญคือพัดล้ำค่าเล่มนี้สามารถนำมาหลอมเป็นอาวุธที่ใช้ในการโจมตีได้ แล้วยังสามารถนำมาสยบขุนเขาสายน้ำ รวบรวมโชคชะตา เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการดูดดึงแสงจันทร์ที่ยิ่งได้รับเงื่อนไขพิเศษ
ชุยตงซานเก็บทั้งสมุดและพัดใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วก็ไม่เอ่ยขอบคุณแม้แต่ครึ่งคำ จู่ๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา ยื่นมือไปประคองไหล่ของหลี่เย่โหว ลุกขึ้นยืนช้าๆ “ก่อนจะมา อาจารย์ได้กำชับกับข้าไว้แค่ประโยคเดียว”
เหตุการณ์ทุกอย่างในวันนี้เป็นอย่างที่อาจารย์คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด! แทบไม่คลาดเคลื่อนเลยสักนิด!
โกรธ? ข้าชุยตงซานต้องโกรธคนที่พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือตัวเองด้วยหรือ? ตลกล่ะ
หลี่เย่โหวลุกขึ้นตาม ยิ้มเอ่ย “ข้าล้างหูรอฟังแล้ว”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อาจารย์บอกแล้วว่าเรื่องของการค้าขาย สภาพราคาตลาดมิอาจถดถอย แต่ภายนอกที่ต้องแสดงให้คนอื่นดูก็ยังต้องทำอยู่บ้าง”
หลี่เย่โหวได้ยินเสียงสายพิณก็รู้ถึงความหมายที่พิณจะสื่อ พลันกระจ่างแจ้งในเสี้ยววินาที กลั้นหัวเราะ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเข้าใจผิดคิดว่าได้ผลประโยชน์แล้วยังเล่นแง่ จึงตีหน้าเคร่งพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว เย่โหวจะใช้วิธีการที่ไม่เปิดเผยร่องรอยทำให้สุ่ยจวินเพื่อนร่วมอาชีพอีกสองท่านรู้ถึง ‘ราคาแท้จริง’ ของการค้าขายระหว่างจวนวารีทะเลทักษิณกับภูเขาลั่วพั่วในครั้งนี้”
หลี่เย่โหวประสานมือคารวะ พอยืดตัวขึ้นแล้วก็ยิ้มเอ่ย “รอให้วันใดใต้หล้าสงบสุขอย่างแท้จริงแล้วค่อยเชิญอาจารย์ชุยไปเป็นแขกที่ทะเลทักษิณอีกครั้ง เล่นหมากล้อม ‘ใต้แสงจันทร์เก้ากระดาน’ เพื่อให้บนโลกมนุษย์มีตำราหมากล้อมน้ำสารทเพิ่มขึ้นมาอีกฉบับหนึ่ง”
ชุยตงซานประสานมือคารวะกลับคืนแล้วก็ยิ้มหน้าทะเล้น “ได้เลยๆ อย่าว่าแต่ประลองหมากล้อมที่จวนวารีทะเลทักษิณเลย ต่อให้จับมือไปพี่เย่โหวบินทะยานไปยังดวงจันทร์ก็ยังไม่มีปัญหา เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้คุณภาพของตำราหมากล้อมจะอยู่ไกลเกินกว่าสถานการณ์หมากเมฆหลากสีได้ติด แต่ตำแหน่งที่พวกเราสองที่น้องประลองหมากกันก็สูงกว่านครจักรพรรดิขาวมากนัก ใช่แล้ว คราวหน้าที่เจอกันไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ชุยแล้ว ฟังแล้วอึดอัดนัก หากเจ้าไม่เรียกข้าว่าตงซานก็เรียกข้าว่าสหาย ‘ถงเกิง’ แล้วกัน”
ทุกวันนี้ชุยตงซานตั้งฉายาให้ตัวเองใหม่ว่า ‘ถงเกิง’
หลี่เย่โหวพยักหน้า เตรียมจะออกไปจากพื้นดินของใบถงทวีปแล้ว
ชุยตงซานถามหยั่งเชิง “ไม่ไปนั่งที่ภูเขาเซียนตูบ้านข้าสักหน่อยจริงหรือ?”
หลี่เย่โหวส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ที่จวนวารีมีธุระมากมาย ไม่สะดวกให้รั้งอยู่บนฝั่งนาน”
หวงเจวี้ยนถามเสียงเบา “เจ้าขุนเขาเฉินเป็นอาจารย์ของท่านได้อย่างไร?”
ชุยตงซานเริ่มรู้สึกทนกับสตรีผมยาวความรู้สั้นผู้นี้ไม่ไหวนิดๆ แล้ว จึงกลอกตามองบน “มีความรู้สูงเป็นอาจารย์ วางตัวเที่ยงตรงเป็นแบบอย่าง ทำไมอาจารย์ของข้าจะเป็นอาจารย์ของข้าไม่ได้ เป็นข้าที่ไม่อาจเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ข้าได้ยังจะเข้าท่ามากกว่า”
หลี่เย่โหวช่วยพูดไกล่เกลี่ย “อันที่จริงหวงเจวี้ยนเลื่อมใสอิ่นกวานอย่างมาก”
หวงเจวี้ยนพยักหน้ารับหนักๆ นี่เป็นความจริง
คราวก่อนที่อยู่สวนกงเต๋อ อิ่นกวานหนุ่มยืนอยู่ข้างกายเหวินเซิ่ง ช่วยอาจารย์ของเขาต้อนรับแขก อาจารย์อายุน้อย ทำให้คนรู้สึกเหมือนได้อาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ
เด็กหนุ่มชุดขาวรีบขมวดคิ้วทันใด “พี่หญิงหวงเจวี้ยน ข้าผิดไปแล้ว คืนนี้ได้พบเจอกัน หากมีเรื่องใดที่ข้าทำไม่ถูกต้อง หวังว่าพี่สาวจะอภัยให้กัน”
หวงเจวี้ยนปรับตัวเข้ากับกลิ่นอายประหลาดบนร่างของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้จริงๆ คนผู้นี้จะถือว่าเป็นคนที่มีสติปัญญาเลิศล้ำจนใกล้เคียงปีศาจหรือไม่? ตนคงไม่ถูกอีกฝ่ายอาฆาตแค้นแล้วหรอกนะ? ไม่อย่างนั้นเหตุใด้นายท่านถึงต้องคอยย้ำเตือนนางกับซาชิงอยู่หลายครั้ง? หวงเจวี้ยนยิ่งคิดยิ่งเป็นกังวล จึงเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ถือว่าตอบตกลงแล้ว
หลี่เย่โหวพาคนทั้งสองทะยานลมออกไปจากยอดเขา
ซาชิงหันไปมองด้านหลัง เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มชุดขาวยังคงยืนอยู่ที่เดิม โดดเดี่ยวเพียงลำพัง ดุจนกกระเรียนเดียวดายแห่งฟ้าดิน กลิ่นอายแห่งมรรคาปลอดโปร่งทั้งสูงส่ง
หลี่เย่โหวคล้ายจะเดาความคิดของผู้ติดตามคนนี้ออกจึงใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “ผิดแล้ว นั่นคือต้นอู๋ถงแห่งฟ้าดิน เสียงลูกหงส์ไพเราะกว่าเสียงหงส์แก่”
หวงเจวี้ยนเอ่ย “นายท่าน ก่อนหน้านี้ตอนที่ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ชุย ข้าไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงได้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา”
หลี่เย่โหวถอนหายใจ สีหน้าซับซ้อน “เช่นเดียวกัน”
หวงเจวี้ยนเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ยังคงเป็นการอยู่ร่วมกับอิ่นกวานท่านนั้นที่ค่อนข้างผ่อนคลายมากกว่า”
หลี่เย่โหวลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
เดิมทีเขาอยากพูดว่า นั่นเป็นเพราะซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งก็อยู่ด้วย อีกทั้งตอนนั้นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็อยู่ที่สวนกงเต๋อศาลบุ๋น
หากเจ้าเป็นศัตรูกับเขาก็ลองดูเถอะว่าจะยังรู้สึกอย่างนี้อยู่อีกไหม
……
เสี่ยวหลงชิว ภูเขาหลงเหมียนภูเขาบรรพบุรุษ ห่างจากยอดเขาซินอี้ที่เป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์ไปไม่ไกล มีถ้ำเทพเซียนที่ประตูปิดสนิทแห่งหนึ่งตั้งอยู่ บนหน้าผาหินด้านข้างแกะสลักอักษรลี่ซูเป็นคำว่า ‘ฟ้าอีกแห่ง’
หลินฮุ่ยจื่อเจ้าขุนเขา ทุกวันนี้ก็ปิดด่านรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่
ส่วนเฉวียนชิงชิวศิษย์น้องของนางก็เป็นขอบเขตก่อกำเนิดเช่นเดียวกับศิษย์พี่ สร้างสวนป่าที่เอาไว้ให้เซียนซือต่างถิ่นมาท่องเที่ยวขึ้นเองกับมือ ช่วงชิงชื่อเสียงดีงามจากบนภูเขามาได้ไม่น้อย
แต่เขากลับมาจากสำนักเบื้องบน เพียงแค่ว่าตอนเด็กได้ถูกต้าหลงชิวที่เป็นสำนักใหญ่ส่งตัวมาฝึกตนที่นี่ ภายใต้คำสั่งของบิดามารดาจึงกราบเจ้าสำนักคนก่อนเป็นอาจารย์
สีหน้าของหลินจื่อฮุ่ยเย็นชา เหลือบตามองจางหลิวจู้ที่อยู่ข้างกายศิษย์น้อง
ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่มีฉายาว่า ‘สุ่ยเซียน’ รีบคารวะตามขนบลัทธิเต๋าทันที “คารวะเจ้าขุนเขา”
หลินจื่อฮุ่ยกล่าว “ข้าจะไปพบหวงถิง แล้วค่อยไปพบบรรพจารย์ลุง”
เฉวียนชิงชิวยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปพบบรรพจารย์ลุงก่อน จะไปรอศิษย์พี่หญิงที่ใต้ต้นสนก็แล้วกัน”
ในกระท่อมบนยอดเขาซินอี้ หวงถิงกำลังกินเผือกปิ้งร้อนๆ ที่เพิ่งออกจากเตากับเด็กสาวคนหนึ่ง
หวงถิงเหลือบตามองลิ่งหูเจียวอวี๋ เด็กสาวนั่งอยู่ตรงข้ามกับกระถางไฟ กำลังเป่าลมใส่เผือกร้อนในมือเบาๆ
ในสายตาของหวงถิง ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาของเสี่ยวหลงชิวล้วนมีแต่กลิ่นอายเน่าเหม็นเสื่อมโทรม คลื่นความตายแผ่กระเพื่อมไปอย่างช้าๆ
หากนางเป็นเจ้าสำนักเบื้องบนของต้าหลงชิวก็คงไม่มีหน้าบอกกับคนอื่นแล้วว่าที่ใบถงทวีปมี ‘ภูเขาเบื้องล่าง’ อยู่แห่งหนึ่งชื่อเสี่ยวหลงชิว
ก่อนหน้านี้กองกำลังที่ละโมบอยากครอบครองภูเขาไท่ผิง หลักๆ แล้วมีอยู่สามแห่ง นอกจากเสี่ยวหลงชิวก็ยังมีสำนักว่านเหยากับราชวงศ์สกุลอวี๋
ส่วนเฉวียนชิงชิวเจ้าสุนัขที่อยู่ในร่างคนผู้นั้น อันที่จริงก็เป็นแค่หมาเฝ้าบ้านที่คอยส่ายหางให้กับอารามจินติงเท่านั้น เสียชื่อดีๆ ที่ตั้งมาซะเปล่า
ตอนนั้นหวงถิงถามกระบี่กับเสี่ยวหลงชิว ฟันหลินฮุ่ยจื่อไปหนึ่งกระบี่ก็ไม่ถือว่าใส่ร้ายนาง
หากไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าขุนเขาหญิงผู้นี้ เฉวียนชิงชิวจะสามารถสั่งให้เค่อชิงอันดับหนึ่งคนหนึ่งวิ่งไปรออยู่ที่ภูเขาไท่ผิง ทุกวันคอยเรียกหาสหายให้มาชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำร่วมกันได้อย่างไร?
อันที่จริงหลังจากที่เฉินผิงอันมาเยือนยอดเขาซินอี้ไปรอบหนึ่ง หวงถิงก็เตรียมจะไปจากที่นี่แล้ว จะไปเยือนเมืองหลวงราชวงศ์สกุลอวี๋ก่อนแล้วค่อยกลับภูเขาไท่ผิง
หากไม่เป็นเพราะบนภูเขายังมีลิ่งหูเจียวอวี๋ ต่อให้หวงถิงไปจากเสี่ยวหลงชิว ภายในเวลาหนึ่งร้อยปี ไม่ว่าเจ้าขุนเขาจะยังเป็นนางหรือเฉวียนชิงชิว ก็อย่าหวังว่าจะได้ซ่อมแซมศาลบรรพจารย์เลย
ทุกครั้งที่ซ่อมศาลบรรพจารย์ขึ้นใหม่ก็เท่ากับว่าถามกระบี่กับนาง
อีกทั้งหวงถิงมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าเจ้าเฉวียนชิงชิวผู้นี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างแน่ เพียงแต่นางหาหลักฐานออกมาไม่ได้
เซียนเหรินแผ่นดินกลางที่มีฉายาว่า ‘หลงหราน’ ผู้นั้น ตอนนี้ได้มาเยือนภูเขาเบื้องล่างอย่างเสี่ยวหลงชิว
มองดูแล้วจะลำเอียงเข้าข้างเฉวียนชิงชิว ไม่ค่อยพอใจเจ้าขุนเขาอย่างหลินฮุ่ยจื่อเท่าใดนัก
แม้ว่าหลังจากที่เซียนเหรินผู้นี้มาถึงเสี่ยวหลงชิวแล้วจะเก็บตัวไม่ค่อยออกไปไหน แม้แต่ครั้งที่เฉินผิงอันบุกเข้ามาในภูเขาอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปรากฏตัว
แต่การดำรงอยู่ของเขาเดิมทีก็ได้มอบแรงกดดันมหาศาลอย่างหนึ่งให้กับผู้ฝึกตนของเสี่ยวหลงชิวทุกคนที่เข้าข้างเจ้าขุนเขาหรือไม่ก็เลือกที่จะยืนอยู่ตรงกลางอยู่แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!