แสงจันทร์แสงดาวอ่อนจาง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าภูเขาสูง
ใบหูของซาชิงขยับไหวเบาๆ พลันหันหน้าไปมองม่านรัตติกาลที่อยู่ห่างไปไกล พูดเสียงทุ้มหนัก “นายท่าน ซิ่วหู่มาแล้ว”
หลี่เย่โหวอืมรับหนึ่งที ใช้เสียงในใจเตือนพวกเขา “จำไว้ว่าให้ระวังคำพูด ต่อจากนี้ไม่ว่าอาจารย์ชุยจะพูดอะไรกับข้า พวกเจ้าแค่ฟังแล้วปล่อยผ่านก็พอ ไม่ต้องถือสา ยิ่งไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”
หวงเจวี้ยนสาวใช้ที่กำลังปรับสายพิณมองตามสายตาของซาชิงไป พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าจุดที่อยู่ห่างไปไกลมากมีเงาร่างสีขาวหิมะกลุ่มหนึ่งคล้ายจะทะยานลมแนบพื้นดินมา ทันใดนั้นเรือนกายก็พลันพุ่งขึ้นสูง เส้นสายตาของหวงเจวี้ยนจึงต้องขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดวงจันทร์ลอยอยู่บนฟ้า เรือนกายเล็กเท่าเมล็ดงานั้นหันหลังให้กับดวงจันทร์กลมโตพอดี คนผู้นั้นเพิ่มความเร็วในการทะยานลมพลันทิ้งตัวดิ่งลงมายังยอดเขาแห่งนี้ ประหนึ่งคนในดวงจันทร์ ดั่งเจ๋อเซียนที่ลงมายังโลกมนุษย์
หวงเจวี้ยนเก็บพิณโบราณใส่ห่อผ้าอีกครั้ง ขยับไปยืนอยู่ด้านหลังเจ้านายพร้อมกับซาชิง
เด็กหนุ่มที่มีไฝแดงกลางหว่างคิ้ว สวมชุดสีขาว ชายแขนเสื้อโบกสะบัด ลอยตัวอยู่นอกภูเขา
ต่อให้เป็นผู้บรรลุมรรคาที่มีจิตแห่งมรรคาแข็งแกร่งอย่างหวงเจวี้ยนก็ยังจำต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ส่องประกายแสงเรื่อเรือง ทำให้แสงจันทร์ที่สาดไปทั่วภูเขาคล้ายจะมืดมนหม่นแสงลง ดุจดั่งเทพวาโยผู้สูงส่ง ไม่เป็นรองนายท่านเลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ชุยตงซานไปเป็นแขกที่ทะเลสาบเจี่ยวเยว่สองครั้ง สาวใช้หวงเจวี้ยนบังเอิญไม่อยู่ที่จวนน้ำพอดี หากไม่ได้ไปหาสหายรักที่ภูเขาแยนจือก็ไปเที่ยวเล่นในพื้นที่ร้อยบุปผา
มีสหายมาจากแดนไกล ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอกหรือ
ดวงตาของหลี่เย่โหวเป็นประกายคล้ายรอคอยวันที่จะได้กลับมาพบกันอีกครั้งครานี้อย่างยากลำบากมานานหลายปีแล้ว เก็บพัดใบลานสีออกเหลืองในมือลงไป จากนั้นปลดหน้ากากบนใบหน้าลง คือบุรุษรูปงามคนหนึ่ง ลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะ “เย่โหวคารวะอาจารย์ชุย”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยินดีกับเย่โหวที่ได้เลื่อนขั้นเป็นสุ่ยจวินแห่งทะเลทักษิณ เรียกข้าว่าชุยตงซานก็ได้”
สุ่ยจวินห้าทะเลสาบสามท่านในอดีตซึ่งรวมถึงหลี่เย่โหวด้วยนั้น บนทำเนียบหยกทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของศาลบุ๋น หากว่ากันตามระดับขั้นแล้ว การที่ได้กลายเป็นสุ่ยจวินแห่งสี่มหาสมุทรก็ถือว่าเป็นการรับหน้าที่ใหม่ในตำแหน่งเท่าเดิม แต่ทุกวันนี้ในมือได้กุมอำนาจใหญ่ อาณาเขตการปกครองกว้างขวางมากกว่าในอดีต
ขณะเดียวกันสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบใหญ่สามแห่งซึ่งรวมทะเลสาบเซิ่นเจ๋อก็ได้ถือโอกาสเลื่อนขั้นเป็นสุ่ยจวิน ‘ห้าทะเลสาบ’ ชดเชยตำแหน่งที่ว่างอยู่ ถือเป็นการเลื่อนขั้นอย่างสมชื่อ
หลี่เย่โหวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ในบรรดาบุคคลยิ่งใหญ่ที่ในอดีตเคยป่าวประกาศว่าจะทวงความเป็นธรรมให้กับเจี่ยเซิงแห่งไพศาล ก็มีหลี่เย่โหวสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่ผู้นี้รวมอยู่ด้วย
ดังนั้นหลังจากที่หลี่เย่โหวรับหน้าที่เป็นสุ่ยจวิน ต่อให้ทะเลสาบเจี่ยวเยว่จะถือว่าอยู่ใกล้ศาลบุ๋นที่สุดในบรรดาห้าทะเลสาบของไพศาล ทว่าหลี่เย่โหวกลับไม่เคยคบค้าสมาคมใกล้ชิดกับศาลบุ๋น มีความสัมพันธ์ห่างเหินกับเหล่าอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูป
แต่เขากับซิ่วหู่ชุยฉานนั้นถือว่าเป็นคนรู้จักเก่ากัน
แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายอายุห่างกัน เนื่องจากหลี่เย่โหวเป็นคนที่อยู่ช่วงยุคเดียวกับป๋ายเหย่ อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดมาจากแคว้นเดียวกัน หลี่เย่โหวมาจากตระกูลร่ำรวย อีกทั้งยังเป็นขุนนางสำคัญในราชสำนัก แต่ป๋ายเหย่นั้นกลับถือว่าคนที่เก็บตัวจากโลกภายนอกซึ่ง ‘อยู่ในป่า’ (เปรียบเปรยว่าอยู่นอกวงราชการ) ภายหลังอยู่ในเมืองหลวงก็ปรากฎตัววูบเดียวแต่สร้างความจดจำให้คนได้อย่างลึกล้ำ จากนั้นก็ล่องเรือเดินทางจากไปไกล ดังนั้นคนทั้งสองจึงไม่มีการคบค้าสมาคมอะไรกันมาก่อน
กลับเป็นในอดีตที่ชุยฉานและศิษย์น้องสองคนอย่างจั่วโย่วและจวินเชี่ยนได้เดินทางมาเที่ยวเยือนทะเลสาบเจี่ยวเยว่ด้วยกัน ในเวลาสิบวัน ทั้งสองฝ่ายเคยเล่นหมากล้อมด้วยกันถึงแปดครั้ง ไม่กำหนดเวลา อนุญาตให้อีกฝ่ายได้ใช้เวลาคิดพิจารณานานได้
ผลคือปีนั้นหลี่เย่โหวเกือบจะสูญเสีย ‘คลังตำรา’ และทะเลสาบเจี่ยวเยว่ครึ่งหนึ่งไป เพราะหมากล้อมทั้งหมดแปดตา หลี่เย่โหวชนะหนึ่งแพ้เจ็ด หากยังแพ้อีกครั้ง แม้แต่สถานะสุ่ยจวินทะเลสาบใหญ่ก็คงรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว
การที่ใช้คำว่าเกือบก็เพราะอีกฝ่ายยอมสละของเดิมพันที่เดิมทีควรจะได้รับไปหลังจากชนะหมากล้อม
หลังจบเรื่องหลี่เย่โหวได้เรียบเรียงหมากล้อมแปดตานั้นขึ้นเป็น ‘ตำราน้ำสารทฤดู’ (อีกความหมายคือดวงตาที่งดงามของสตรี) ทำการทบทวนกระดานหมากซ้ำไปซ้ำมา ถึงได้ค้นพบความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ ฝีมือการเล่นหมากล้อมของทั้งสองฝ่ายสูงต่ำต่างกัน เมื่อเทียบกับที่ตัวเองจินตนาการไว้ก็ถือว่าต่างกันเยอะมาก เรียกได้ว่าคนละชั้นกันเลย แต่นอกจากกระดานหมากกระดานแรกที่ซิ่วหู่เชิญท่านลงโอ่งแล้ว ที่เหลืออีกเจ็ดกระดานก็ได้แสร้งแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็น แต่กลับสามารถทำให้หลี่เย่โหวไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย นึกว่าที่พ่ายแพ้ก็เพราะฝีมืออ่อนด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น
ภายหลังรอกระทั่งชุยฉานทรยศออกจากศาลบุ๋นก็ยังเคยมาเยือนจวนวารีทะเลาบเจี่ยวเยว่อย่างลับๆ รอบๆ หนึ่ง
ชุยฉานถามเขาว่ายินดีจะเดินทางไกลไปด้วยกันหรือไม่ ช่วยใต้หล้าแห่งนี้ทำ ‘เรื่องที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าซึ่งไม่เหลือบ่ากว่าแรง’ แต่ถูกหลี่เย่โหวปฏิเสธ
ดูเหมือนว่าชุยฉานก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังสักเท่าไร ก่อนจะจากไปเขาเพียงแค่มองตำราหมากล้อมที่วางอยู่บนโต๊ะ ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่าไม่สู้เปลี่ยนชื่อตำราหมากล้อมเล่มนี้เป็นชื่อ ‘ตำราจูงวัว’
หลี่เย่โหวที่มีชาติกำเนิดมาจากนักพรตมีเพียงความเงียบงัน มองส่งซิ่วหู่ออกไปจากพื้นที่ด้วยความเงียบ
ไม่ใช่ว่ากลัวจะยุ่งยาก แล้วก็ไม่ใช่เพราะตัดใจทิ้งสถานะของสุ่ยจวินไม่ลง แต่เป็นเพราะหลังจากที่หลี่เย่โหวได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นิสัยก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเฉยชามากขึ้น ราวกับว่าปณิธานอันห้าวเหิมได้ถูกทิ้งไว้ที่ตัวเองแต่ละคนในอดีตนานแล้ว เคยเป็นเด็กอัจฉริยะที่พรสวรรค์โดดเด่น นักพรตเด็กหนุ่มที่เลื่อมใสการฝึกตนอยู่ในป่าเขาอย่างสันโดษแต่จิตใจกลับมีขุนเขาสายน้ำ ออกจากภูเขามาเป็นขุนนางบุ๋นหนุ่มที่ใช้กำลังของตัวเองกอบกู้แคว้นซึ่งกำลังจะล่มสลาย สืบทอดชะตาแคว้น ซ่อมแซมบูรณะขุนเขาสายน้ำ ช่วยเหลือปวงประชาวัยกลางคนและวัยชราที่ตกอยู่ท่ามกลางน้ำลึกและเปลวเพลิง สุดท้ายถอนตัวออกมากลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำได้สำเร็จ จากนั้นก็ไม่สนใจเรื่องของแคว้นและเรื่องราวในโลกมนุษย์อีก แค่ซื้อหนังสือ สะสมหนังสือ อ่านหนังสือ ซ่อมแซมหนังสือ
ชุยตงซานหันหน้าไปอีกด้าน กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ยิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “พี่ซาชิง ทำไมไม่เจอกันแค่ร้อยปี ขอบเขตไม่สูงขึ้น ทว่ากลับตัวสูงขึ้นอีกขั้นได้เล่า? หรือว่าจะมีเวทลับเฉพาะอะไร ไม่สู้ลองสอนข้าดูบ้าง?”
ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยหน้าแดงก่ำ เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “ไม่มีอะไรแบบนั้นเสียหน่อย อาจารย์ชุยอย่าได้พูดเหลวไหล”
อยู่กับซิ่วหู่ชุยฉานก้มหัวทำตัวขี้ขลาด ไม่ได้น่าอายตรงไหน
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดชุยฉานถึงกลายมาเป็นเด็กหนุ่ม สวรรค์เท่านั้นที่รู้ คนประหลาดทำเรื่องประหลาดก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติหรอกหรือ?
ก่อนจะมา เจ้าสำนักได้เตือนเขากับหวงเจวี้ยนไว้ก่อนแล้วว่าหากได้เจอกับเด็กหนุ่มชุยตงซานที่เปลี่ยนชื่อแซ่ แค่มองอีกฝ่ายเป็นซิ่วหู่ก็พอ
กระทั่งบัดนี้หวงเจวี้ยนถึงได้สังเกตเห็นว่าดูเหมือนชายฉกรรจ์ข้างกายจะสูงขึ้นชุ่นกว่า ไม่ถูกสิ สูงขึ้นถึงสองชุ่นเต็มๆ เลยทีเดียว!
นางพลันเข้าใจความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ทันที เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ซาชิง สมองเจ้าถูกลาถีบแล้วหรือไร แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็ยังเลียนแบบอาเหลียงได้?!”
ที่แท้ซาชิงก็เอาอย่างเจ้าชาติสุนัขผู้นั้นซ่อนความลี้ลับไว้ในรองเท้า
ก่อนหน้านี้ใครบางคนเคยพาบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งกับผู้เฒ่าชุดเหลืองที่เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียนคนหนึ่งมาเยี่ยมเยือนทะเลสาบเจี่ยวเยว่ด้วยกัน
แล้วตอนที่นั่งอยู่บนขั้นบันได ไอ้หมอนั่นกำลังจะถอดรองเท้าก็รีบสวมกลับไปทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!