หลังจากเฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่ออกมาจากอาณาเขตของภูเขาเซียนตูก็ทะยานลมขึ้นเหนือไปตลอดทาง หมายจะไปเยือนเสี่ยวหลงชิวสักรอบ
เสี่ยวโม่พลันเอ่ยว่าสังเกตเห็นว่ามีเซียนเหรินคนหนึ่งอยู่ห่างจากที่แห่งนี้ไม่ไกล น่าจะเป็นผู้อาวุโสบนภูเขาคนหนึ่งที่ช่วยปกป้องภูตน้อยตบะตื้นเขินสองตนออกเดินทางไกล เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ได้นั่งเรือข้ามฟาก แล้วก็ไม่ได้เรียกเรือยันต์ออกมา เด็กทั้งสองเพียงแค่เดินเท้าอยู่บนเส้นทางภูเขาเท่านั้น
เฉินผิงอันจึงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ใบถงทวีปในทุกวันนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินไม่ได้มีให้พบเห็นบ่อยนัก อย่างบรรพจารย์ของสำนักเบื้องบนที่มาจากแผ่นดินกลางของเสี่ยวหลงชิวนั้นถือว่าเป็นมังกรข้ามแม่น้ำ
จึงให้เสี่ยวโม่ร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออยู่ไกลๆ คิดไม่ถึงว่าพอลองมองดูถึงกับทำให้เฉินผิงอันยิ้มกว้างทันที
เขาไม่ได้รู้จักเซียนเหรินที่ช่วยปกป้องมรรคาให้เด็กน้อยสองคนอย่างลับๆ แต่เป็นเพราะแขกคนหนึ่งที่มาเยือนสำนักเบื้องล่างของตนโดยไม่คาดคิด
เจิ้งโย่วเฉียน ลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของศิษย์พี่จวินเชี่ยนในตอนนี้
เฉินผิงอันจึงทะยานลมตรงไปหาทันที แล้วก็ได้เจอเด็กสองคนบนเส้นทางภูเขากลางป่า
ข้างกายของเจิ้งโย่วเฉียนยังมีแม่นางน้อยหน้าตาดุจหยกสีชมพูแกะสลักคนหนึ่งติดตามมาด้วย
น่าจะเป็นเพราะนั่งเรือข้ามฟากมาถึงใบถงทวีปแล้ว เนื่องจากตอนนี้ที่ภูเขาเซียนตูยังไม่มีท่าเรือ เจิ้งโย่วเฉียนจึงได้แต่เดินเท้าเอาเท่านั้น
เฉินผิงอันบอกให้เสี่ยวโม่ไปพูดคุยกับเซียนเหรินคนนั้น ส่วนตัวเองปรากฏกายยืนอยู่บนเส้นทางภูเขาเพียงลำพัง ยิ้มเรียก “โย่วเฉียน”
ภูตน้อยที่เพิ่งหลอมร่างได้สำเร็จแค่ไม่กี่ปีเห็นเฉินผิงอันแล้วก็ขยี้ตา ก่อนจะรีบประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย “เจิ้งโย่วเฉียนคารวะอาจารย์อาน้อยอิ่นกวาน!”
อันที่จริงเจิ้งโย่วเฉียนเคยเจออาจารย์อาเฉินท่านนี้ครั้งหนึ่งแล้ว คือที่สวนกงเต๋อศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากันครั้งแรก เจิ้งโย่วเฉียนก็เรียกเขาว่าใต้เท้าอิ่นกวานก่อน
รอกระทั่งเฉินผิงอันบอกกับเขาว่าเรียกแค่อาจารย์อาน้อยก็พอ เจิ้งโย่วเฉียนก็พลันเกิดความคิดดีๆ ใช้วิธีที่พบกันครึ่งทางเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์อาน้อยอิ่นกวาน!
พอได้ยินคำเรียกขานที่ฟังแปร่งหูนี้อีกครั้ง เฉินผิงอันก็หลุดขำอย่างอดไม่ไหว ยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “โย่วเฉียน คราวหน้าเรียกแค่อาจารย์อาน้อยก็พอแล้ว”
เจิ้งโย่วเฉียนกลัวตน ก่อนหน้านี้เคยได้ฟังศิษย์พี่จวินเชี่ยนเล่าต้นสายปลายเหตุแล้ว ต้องโทษพวกข่าวลือและรายงานยุ่งเหยิงไร้สาระของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเลยเชียว
ที่แท้เจ้าตัวน้อยมีชาติกำเนิดจากพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าใบถงทวีป ด้วยโชควาสนานำพาจึงกราบศิษย์พี่จวินเชี่ยนเป็นอาจารย์ เวลานี้ถือว่าอยู่ในระบบของสายเหวินเซิ่งอย่างเป็นทางการแล้ว ภายหลังได้ติดตามศิษย์พี่จวินเชี่ยนไปท่องใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ตลอดทางเจิ้งโย่วเฉียนยังได้ยินข่าวลือที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสกปรกพวกนั้น พูดง่ายๆ ก็คือในภาพจำของเจิ้งโย่วเฉียนเวลานั้น อาจารย์อาน้อยที่ยังไม่เคยได้พบหน้ากัน มีระดับความน่ากลัวพอๆ กับ ‘ฉีออกเดินทาง’ บวกกับ ‘หมี่ผ่าเอว’ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เลยทีเดียว ดูเหมือนว่าหากได้เจอกับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจและพวกภูตทั้งหลายจะไม่พูดจาไร้สาระแม้แต่คำเดียว เจอหน้ากันปุ๊บก็จะต้องบิดหัว ถลกหนังดึงเส้นเอ็น พูดถึงแค่ตอนที่อิ่นกวานท่านนี้เฝ้ากำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่เพียงลำพังก็เคยยกมือข้างหนึ่งขึ้นคว้าร่างผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่กล้าบังอาจทะยานลมผ่านหัวกำแพงมาได้ง่ายๆ จากนั้นก็กดอีกฝ่ายลงบนหัวกำแพงอย่างโหดเหี้ยม มือหนึ่งหักแขนของเผ่าปีศาจ เท้าหนึ่งกระทืบเอวอีกฝ่ายจนหัก สุดท้ายก็ถลกหนังสับออกเป็นชิ้นๆ แล้วสวาปามกินอีกฝ่ายทั้งเป็นใต้แสงตะวันกลางวันแสกๆ …เจิ้งโย่วเฉียนที่มีชาติกำเนิดจากภูตจะไม่กลัวได้หรือ?
ศิษย์หลานคนนี้ย่อมต้องเข้าใจอาจารย์อาน้อยเช่นตนผิด
ได้พบกับเจิ้งโย่วเฉียน เฉินผิงอันในเวลานี้หากปรากฏอยู่ในสายตาของคนนอก ลมปราณตลอดทั้งร่างของเขาก็ไม่ค่อยเหมือนกับเวลาปกติ อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือสีหน้าก็ไม่เหมือนกับยามที่อยู่กับเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่าง
เฉินผิงอันเวลานี้คล้ายกับบนหน้าผากแปะยันต์ไว้หลายแผ่นที่เขียนตัวอักษรยาวเป็นพรวนว่า ‘ใจดีมีเมตตา’ ‘ข้าคืออาจารย์อาน้อย’ ‘ศิษย์พี่จวินเชี่ยนช่างเลือกลูกศิษย์ได้ดี’ ‘เหตุใดยิ่งมองศิษย์หลานคนนี้ก็ยิ่งถูกชะตานะ’ ‘โย่วเฉียน มีใครรังแกเจ้าหรือไม่ บอกกับอาจารย์อาน้อยมาได้เลย ถึงอย่างไรอาจารย์อาน้อยก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จะช่วยไปอธิบายเหตุผลให้เจ้าเอง’
ในบรรดาสายบุ๋นในใต้หล้า ระบบสืบทอดของผู้ฝึกตนที่มีมายาวนานหลายร้อยหลายพันปี มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่อย่าเอามาเทียบ ‘มรรคกถาสูงต่ำ’ กับสายเหวินซิ่ง นั่นคือด้านการปกป้องคนกันเอง
เจิ้งโย่วเฉียนเงยหน้ามองอาจารย์อาน้อยอีกที รอยยิ้มของอาจารย์อาน้อยท่านนี้ช่างเกินจริงยิ่งนัก ยิ้มจนเจิ้งโย่วเฉียนจะร้องไห้อีกรอบหนึ่งแล้ว
ก่อนหน้านี้ติดตามอาจารย์ได้ไปเจอกับอาจารย์อาน้อยที่ชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กว่าจะไม่รู้สึกกลัวอีกฝ่ายมากขนาดนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คราวนี้หวนกลับมายังใบถงทวีปอันเป็นบ้านเกิด ผลคือตอนอยู่บนเรือข้ามฟากของธวัลทวีปลำนั้นก็ได้อ่านรายงานขุนนางสายน้ำอีกฉบับหนึ่ง ที่แท้อาจารย์อาน้อยออกจากศาลบุ๋นมาได้แค่ไม่กี่วันก็ได้สร้างวีรกรรมอันน่าตะลึงพรึงเพริดติดต่อกันอีกเป็นพรวน นำพาเซียนกระบี่ใหญ่ทั้งสี่ท่านบุกลึกเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้าง กวาดล้างทำลายสำนักของเปลี่ยวร้าง ปล้นสะดมซากปรักสนามรบ ไม่กี่หมัดก็ต่อยให้นครเซียนจานแตกหัก กระชากลำคลองเย่ลั่วกับปีศาจใหญ่เฟยเฟย ใช้กระบี่ฟันภูเขาทัวเยว่ อิ่นกวานคนสุดท้ายแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมือง…
เนื้อหาที่อยู่ในรายงานทำให้ภูตน้อยทั้งดีใจ ทั้งภาคภูมิใจ นึกอยากจะบอกทุกคนที่พบเห็นว่าข้าก็คือศิษย์หลานของใต้เท้าอิ่นกวานใจแทบขาด!
เพียงแต่เจิ้งโย่วเฉียนก็อดกังวลและหวาดกลัวไม่ได้
เฮ้อ บอกตามตรงนะ ถึงแม้อาจารย์อาน้อยที่อยู่กับตนจะน่าใกล้ชิดสนิทสนมอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าจะยังคงเป็นอาจารย์ลุงจั่วที่ทำให้ตนรู้สึกไม่กลัวมากกว่า
เฉินผิงอันยิ้มถาม “คนนี้คือ?”
เจิ้งโย่วเฉียนจึงรีบเอ่ยแนะนำ “ก่อนหน้านี้อาจารย์พาข้าไปโยนทิ้งไว้ที่ภูเขาต้นไม้เหล็ก นางคือเพื่อนที่ข้ารู้จักบนภูเขา แซ่ถาน”
“อิ๋งโจว ชื่อของเจ้า ข้าสามารถบอกกับอาจารย์อาน้อยอิ่นกวานได้หรือไม่?”
พอหลุดปากพูดออกไป เจิ้งโย่วเฉียนที่เดิมทีก็ตื่นเต้นมากพออยู่แล้วยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่
แม่นางน้อยที่ชื่อว่าถานอิ๋งโจวอืมรับเบาๆ เสียงเบาราวกับเสียงยุง
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ถานอิ๋งโจวสวัสดี ข้าชื่อเฉินผิงอัน คืออาจารย์อาน้อยของโย่วเฉียน”
แม่นางน้อยสีหน้าเฉยเมย ออกจะทื่อมะลื่ออยู่บ้าง นางพยักหน้ารับอย่างแข็งทื่อ
นางคือลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของกวอโอ่วทิงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานแห่งภูเขาต้นไม้เหล็ก อายุน้อยมาก แต่ลำดับอาวุโสสูงมาก
เนื่องจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหกคนของกวอโอ่วทิงต่างก็มีศิษย์ลูกศิษย์หลานกันมากมายมานานแล้ว ดังนั้นแม่นางน้อยคนนี้จึงมักจะถูกผู้ฝึกตนเส้นผมขาวโพลนในภูเขาเรียกว่าบรรพจารย์ไท่ซ่างอยู่บ่อยๆ
นครจักรพรรดิขาวกับภูเขาต้นไม้เหล็กต่างก็เป็นภูเขาอักษรจงที่เป็นไม้เด่นเกินไพรในใต้หล้าไพศาล
หนึ่งเมื่ออยู่ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณพรรคมารนอกรีต ถูกบูชาดุจเทพเจ้า
หนึ่งเมื่ออยู่ในใจของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อยู่ในท้องถิ่นของไพศาล คือดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์
ฉายา ‘โยวหมิง’ ของกวอโอ่วทิง ทำให้เขาถูกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขนานนามว่า ‘เจ้าแห่งความมืดและสว่าง’ (โยวหมิง โยวแปลว่ามืด หมิงแปลว่าสว่าง นอกจากนี้ยังแปลเป็นกลางวันกลางคืน หยินหยาง โลกผีโลกมนุษย์ ผีกับคน มีกับไม่มี ฯลฯ ได้อีกด้วย)
คือหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เล่าลือกันว่าเคยสร้างวีรกรรมใช้หนึ่งดาบสะบั้นฟันเส้นทางน้ำพุเหลืองขาด
โลกภายนอกเล่าลือกันว่ากวอโอ่วทิงกับเทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์รุ่นก่อนเคยเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือดครั้งหนึ่ง ทำลายภูเขาต้นไม้เหล็กทั้งลูกจนแหลกสลาย ภูเขาสายน้ำยากที่จะประสานกลับคืน ถึงได้มีคำกล่าวในภายหลังที่บอกว่า ‘ต้นไม้เหล็กในภูเขาหมื่นปีไร้บุปผาเบ่งบาน’
จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์มีหน้าที่คอยลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมาร ส่วนกวอโอ่วทิงนั้นเดิมทีก็มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ เป็นผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกับสิ่งชั่วร้ายตนที่อำพรางตัวอยู่ซึ่งถูกป๋ายเหย่ที่ออกจากทะเลขึ้นเกาะใช้หนึ่งกระบี่สังหารไป ดังนั้นกวอโอ่วทิงไม่ถูกกับเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเข้าใจได้
แต่แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
คนที่ถามกระบี่กับกวอโอ่วทิงคือเฉินชิงหลิวคนพิฆาตมังกร อีกทั้งปีนั้นก็เกือบจะฆ่ากวอโอ่วทิงตายได้สำเร็จ
ภูเขาต้นไม้เหล็กแห่งใหม่ แท้จริงแล้วคือการนำรากภูเขาที่ปริแตกมากองทับกัน ดังนั้นเมื่อเทียบกับภูเขาลูกเก่าแล้วจึงเตี้ยกว่าหลายร้อยจั้ง อีกทั้งหากอิงตามข้อตกลง กวอโอ่วทิงที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ขอแค่บนภูเขาบรรพจารย์ของสำนัก ต้นไม้เหล็กไม่มีดอกไม้เบ่งบานหนึ่งวัน กวอโอ่วทิงก็ไม่อาจออกจากสำนักได้หนึ่งวัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!