ภูเขาบรรพบุรุษของเสี่ยวหลงชิว สันเขาเส้นสายมังกรเหมือนคทาหรูอี้ชิ้นหนึ่ง
เบื้องใต้ต้นสนโบราณ ซือถูเมิ่งจิงคล้ายจะมั่นใจแล้วว่าเฉินผิงอันจะต้องเดินทางมาที่นี่จึงเริ่มหลับตาทำสมาธิ อดทนรอคอยให้อิ่นกวานหนุ่มคนนั้นมาเป็นแขกที่เสี่ยวหลงชิว
หวงถิงรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยจึงเรียกลิ่งหูเจียวอวี๋ให้มาคุยเล่นเป็นเพื่อนตนอยู่ที่นี่ เพียงแต่ว่ามีบรรพจารย์ลุงไท่เสวียนอย่างหลงหรานเซียนจวินท่านนี้อยู่ด้วย เด็กสาวหรือจะกล้าเอะอะ ไม่ว่าหวงถิงถามอะไรนางก็แค่พยักหน้าหรือไม่ก็ส่ายหน้าเท่านั้น ไม่กล้ารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของบรรพจารย์สำนักเบื้องบนเด็ดขาด
ในฐานะผู้ฝึกตนสำนักเบื้องล่าง สำหรับเรื่องเล่าอัศจรรย์พันลึกมากมายของต้าหลงชิวที่เป็นสำนักเบื้องบนบ้านตน แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินมาจนชิน เข้าใจอย่างกระจ่าง ทั้งยังเอามาพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน
เกี่ยวกับเรื่องราวของหลงหรานเซียนจวินท่านนี้ก็ยิ่งมีเรื่องให้พูดไม่หมดสิ้น เป็นสหายรักกับโจวเสินจือเซียนกระบี่เฒ่าอดีตหนึ่งในสิบคนของแผ่นดินกลาง เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงสุราของภูเขาชิงเสินแห่งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ เจ้าบุปผาแห่งชะตาชีวิตท่านหนึ่งของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาคือสาวงามคนรู้ใจของเขา ไปเที่ยวเยือนภูเขาห้อยหัวก็เคยมีเรื่องเล่าลืออันดีงามเกี่ยวกับการ ‘ถกมรรคาท่ามกลางราตรีหิมะในศาลาจัวฟ่าง’ กับเกาเจินลัทธิเต๋าที่ถือแส้ปัดฝุ่นหนวดมังกรซึ่งบรรพจารย์ก็คือผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของป๋ายอวี้จิง เข้าพักที่ตำหนักสุ่ยจิงหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวของภูเขาห้อยหัว เล่าลือกันว่าค่อนข้างใกล้ชิดสนิทสนมกับเทพธิดาอวิ๋นเชียนแห่งสำนักอวี่หลง และยิ่งเป็นสหายรักต่างวัยกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานแห่งธวัลทวีปที่เรียกตัวเองว่า ‘เจ้าของสามสิบเจ็ดยอดเขา’ แรกเริ่มที่ฝึกตน เนื่องจากขอบเขตของทั้งสองฝ่ายต่างกันมาก จึงถูกเทพเซียนผู้เฒ่าเรียกอย่างสนิทสนมว่า ‘สหายน้อยหลงหราน’ …
กระทั่งซือถูเมิ่งจิงโคจรปราณวิญญาณครบรอบเล็กไปหนึ่งรอบก็ลืมตาขึ้น เป็นฝ่ายเปิดปากพูดกับเด็กสาวด้วยสีหน้าเมตตา “ฝูสู่ เจ้ายินดีติดตามข้าไปยังต้าหลงชิวหรือไม่ ศิษย์น้องเสวียนจงของข้าช่วงนี้คิดอยากจะรับลูกศิษย์พอดี หากว่าเจ้ายินดี ข้าก็สามารถช่วยแนะนำให้ได้”
ฉายาบนภูเขาของผู้ฝึกตนก็เหมือนชื่อเล่น ผู้อาวุโสเรียกเช่นนี้แน่นอนว่าเป็นการยอมรับและแสดงความสนิทสนมอย่างหนึ่ง
ลิ่งหูเจียวอวี๋รีบลุกขึ้นยืน แน่นอนว่าเด็กสาวไม่ยินดีจะไปอยู่ต้าหลงชิว เพียงแต่นางไม่กล้าพูดความจริงในใจออกไปจึงยิ่งกระวนกระวายมากกว่าเดิม
เซินถูเมิ่งจิงยื่นมือออกมากดลงบนความว่างเปล่าสองที “ไม่ต้องตื่นเต้น หากไม่ยินดีจะไปก็ไม่ต้องไป วันหน้าหากอยากไปเที่ยวเล่นที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็สามารถส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังเรือนอวิ๋นซิ่วแห่งต้าหลงชิวก่อนได้”
เรือนอวิ๋นซิ่วก็คือสถานที่ฝึกตนในภูเขาของหลงหรานเซียนจวินท่านนี้
บนร่างของเด็กสาวคนนี้เขาพอจะมองเห็นเงาร่างของใครบางคนได้อย่างเลือนราง คล้ายใช่คล้ายไม่ใช่
ลิ่งหูเจียวอวี๋รีบคารวะขอบคุณทันใด
เซียนเหรินแห่งแผ่นดินกลางท่านนี้พลันลุกขึ้นยืน “ซือถูเมิ่งจิงผู้ฝึกตนแห่งต้าหลงชิวคารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
มือดาบชุดเขียวคนหนึ่งพลิ้วกายมาทางหน้าผา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว คารวะหลงหรานเซียนจวิน”
ด้านหลังยังมีผู้ติดตามที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวอีกคนติดตามมา ในมือถือไม้เท้าเดินป่าทิ่มลงพื้นเบาๆ
ก่อนหน้านี้ไม่นานซือถูเมิ่งจิงเพิ่งจะได้รับรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่งจากต้าหลงชิว มาจากมือของสำนักซานไห่
ใบถงทวีปปิดการสื่อสารมากเกินไป ก่อนหน้านี้ก็สายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร รู้สึกว่านอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วก็ไม่มีทวีปใหญ่แห่งอื่นอีก ทุกวันนี้กลับต้องคอยจับตามองสถานการณ์ของใต้หล้าอย่างไร้เรี่ยวแรงไร้กะจิตกะใจ
ได้อ่านเนื้อหาในรายงานฉบับนั้นแล้วก็ทำให้เซียนเหรินอย่างเขารู้สึกเหลือเชื่อ ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
ลิ่งหูเจียวอวี๋ลุกขึ้นยืนพร้อมกับบรรพจารย์ รู้สึกเลอะเลือนไปเล็กน้อย ภูเขาลั่วพั่ว? เจ้าขุนเขาเฉิน?
ทำไมตนถึงไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อน เกินครึ่งคงเป็นเพราะตนหูตาคับแคบเกินไปกระมัง
โต๊ะหินหนึ่งตัว ม้านั่งสี่ตัว
หลงหรานเซียนจวินที่ถือเป็นเจ้าบ้านชั่วคราว พี่หญิงหวงถิง กับแขกจากภายนอกอีกสองคน
ลิ่งหูเจียวอวี๋จึงเตรียมจะขยับเท้ายกที่นั่งให้ผู้ติดตามของเจ้าขุนเขาเฉิน
เพียงแต่ว่าบุรุษหนุ่มที่ถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมือดาบสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวรองเท้าผ้ากลับหันมายิ้มน้อยๆ เอ่ยกับนาง “แม่นางลิ่งหูนั่งเถิด”
ซือถูเมิ่งจิงผายมือไปทางเฉินผิงอัน อีกมือหนึ่งจับประคองชายแขนเสื้อ “เชิญนั่ง”
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วยิ้มถาม “ไม่ทราบว่าหลงหรานเซียนจวินเรียกหาข้า มีอะไรจะสั่งการหรือ?”
ซือถูเมิ่งจิงกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิตที่ผู้คนกล่าวขานกันว่านิสัยคล้ายคลึงกับซิ่วไฉเฒ่ามากที่สุด หน้าไม่บางเลยจริงๆ
เซียนเหรินจากแผ่นดินกลางท่านนี้มีใบหน้าผอมเป็นสัน มีเครางาม ราวกับผู้ที่เก็บตัวสันโดษอยู่ในป่าเขา
ต้าหลงชิวอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ต่อให้มีเซียนเหรินสองคนนั่งบัญชาการณ์ภูเขา ทุกวันมีเงินทองไหลมาเทมา รากฐานกำลังทรัพย์หนาแน่น แต่กลับยังถือได้แค่ว่าเป็นสำนักลำดับสอง นี่เป็นเพราะอาณาเขตของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกว้างขวางอย่างมาก เกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ถึง อีกแปดทวีปที่เหลือ สำนักแห่งหนึ่งมีเซียนเหรินคนเดียวก็ถือเป็นจวนเซียนเป็นสำนัก ‘ชั้นสูงสุด’ อย่างสมชื่อได้แล้ว แต่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สำนักระดับสองจะเลื่อนไปอยู่เส้นแนวหน้าได้หรือไม่ กลับมีปราการใหญ่เทียมฟ้าที่ยากจะข้ามผ่านได้กางกั้น นั่นคือบนภูเขามีขอบเขตบินทะยานหรือไม่!
ซือถูเมิ่งจิงไม่อยากจะเล่นเจ้าล่อเอาเถิดกับอีกฝ่าย จึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เชื่อว่าเจ้าขุนเขาเฉินก็น่าจะคุ้นเคยกับเสี่ยวหลงชิวของพวกเราเป็นอย่างดีแล้ว ก่อนหน้านี้เรื่องที่ข้าคุยกับหวงถิงก็น่าจะยิ่งได้ยินชัดเจน ขอถามเจ้าขุนเขาเฉิน มีอะไรจะชี้แนะข้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันกลับตอบไม่ตรงคำถาม “หากจำไม่ผิด ต้าหลงชิวที่แผ่นดินกลางของพวกท่าน บวกกับภูเขาเบื้องล่างแห่งนี้ไม่เคยมีหยกดิบคนใหม่มานานสองร้อยกว่าปีแล้ว”
ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของต้าหลงชิวในทุกวันนี้มีแค่คนเดียว ก็คือผู้คุมกฎของต้าหลงชิวที่มีฉายาว่า ‘เสวียนจง’ ผู้นั้น คือศิษย์น้องของเจ้าสำนักและของซือถูเมิ่งจิง
นอกจากนี้ก็มีแต่ ‘ก่อกำเนิดผู้เฒ่า’ จำนวนหนึ่งที่อายุมากแล้ว ยกตัวอย่างเช่นหลินฮุ่ยจื่อของสำนักเบื้องล่าง
เฉวียนชิงชิวนับว่าดีหน่อย เพราะคุณสมบัติไม่ธรรมดา มีหวังจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน เชื่อว่านี่ก็คือจุดที่ทำให้สำนักอย่างต้าหลงชิวและศาลบรรพจารย์รู้สึกลำบากใจ
ด้วยนิสัยใจคอของซือถูเมิ่งจิงต้องไม่มีทางรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักแน่นอน ผู้คุมกฎเสวียนจงที่มีนิสัยฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ก็ยิ่งไม่ยินดีจะรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก
ดังนั้นหากเจ้าสำนักตายไป วันใดต้องสละร่างไปจากโลกนี้ ควันธูปที่สืบทอดต่อเนื่องมานานสามพันปีของต้าหลงชิวจะทำอย่างไร? ผู้ฝึกตนของสำนักหนึ่งจะไปอยู่ที่ไหนกัน? จะหยัดยืนในแผ่นดินกลางอย่างไร?
จะให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งเป็นเจ้าสำนักก็คงไม่ได้กระมัง จะไม่กลายเป็นเรื่องตลกของคนทั้งใต้หล้าเลยหรือ?
ซือถูเมิ่งจิงพยักหน้า “คนเราต่อให้ไร้ความกังวลห่างไกลก็ยังต้องมีความทุกข์ใจใกล้เคียง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “โชคดีที่ต่อให้จะชักหน้าไม่ถึงหลังแค่ไหน แต่ขอแค่มีหลงหรานเซียนจวินอยู่ก็ยังดีกว่าจวนเซียนทั้งหลายที่ถูกตัดอักษรจงออกไป อย่างมากสุดก็แค่เสียหน้า ถูกโลกภายนอกหัวเราะเยาะไม่กี่ประโยคเท่านั้น”
เดือนปีแห่งการสืบทอดของสำนัก มีการแบ่งออกเป็นอายุจริงกับอายุลวง ซึ่งก็ต้องดูว่ามีขอบเขตหยกดิบหรือไม่
ทางฝั่งของศาลบุ๋นได้ให้กำหนดระยะเวลาไว้ที่สามร้อยปี หากสำนักแห่งหนึ่งไม่มีหยกดิบภายในสามร้อยปีก็ต้องถูกตัดอักษรจงออกตามกฎ
เพียงแต่ว่าต่อให้เจ้าสำนักผู้เฒ่าของต้าหลงชิวสละร่างไปจากโลกนี้ มีเซียนเหรินอายุน้อยอย่างซือถูเมิ่งจิงกับศิษย์น้องอย่างเสวียนจงอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงขั้นตกต่ำจนต้องไปคำนวณ ‘อายุลวง’
อันที่จริงลิ่งหูเจียวอวี๋เงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่ตลอดเวลา มองดูเหมือนนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ดวงตามองตรงไปข้างหน้า แต่แท้จริงแล้วกลับปลุกความกล้าใช้หางตาแอบมองประเมินคนชุดเขียวที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง
เจ้าขุนเขาหนุ่มท่านนี้พูดจายิ้มแย้ม พอเพิ่มประโยคท้ายที่บอกว่า ‘ถูกโลกภายนอกหัวเราะเยาะไม่กี่ประโยคเท่านั้น’ เข้าไปก็ช่าง…น่าเตะจริงๆ
หวงถิงมองเจ้าคนที่นั่งไขว่ห้างท่วงท่าผ่อนคลาย พูดคุยยิ้มแย้มอย่างสบายอารมณ์ผู้นี้
นางได้แต่ทอดถอนใจ หากบอกว่าตนเป็นคนดวงดี เจ้าหมอนี่ก็ต้องบอกว่าเป็นคนดวงแข็ง
ปีนั้นอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว อันที่จริงเฉินผิงอันมีขอบเขตน้อยนิดแค่นั้น แต่กลับสามารถอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวบุกฝ่าวงล้อมสังหารหนาหนักออกมาได้
ไม่พูดถึงติงอิงที่ ‘ใต้หล้าไร้ศัตรูเทียมทาน’ พูดถึงแค่โจวเฝย ลู่ฝ่าง มีใครบ้างที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน
อันที่จริงตอนที่อยู่ใต้หล้าห้าสี หวงถิงเคยไปเยือนนครบินทะยานมารอบหนึ่ง บนโต๊ะเหล้าของที่แห่งนั้น ขอแค่ผู้ฝึกกระบี่พูดถึงอิ่นกวานคนสุดท้ายแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่างก็ต้องมีท่าทีแปลกใหม่ให้เห็นกันอยู่เสมอ ไม่มีทางอยู่ตรงกลางดั่งคำว่า ‘อย่างไรก็ได้’ แน่นอน
เฉินผิงอันมองกระดานหมากบนโต๊ะแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ดังนั้นหากหลงหรานเซียนจวินคิดจะตัดสินใจเด็ดขาดเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านตัวเอง จัดการก่อกำเนิดของเสี่ยวหลงชิวไปพร้อมกันทีเดียวสองคนจริงๆ ก็จะทำให้สูญเสียพลังต้นกำเนิดอย่างมาก คนใกล้ชิดเจ็บปวดศัตรูสะใจ หากไม่ทันระวังก็อาจถึงขั้นเดือดนร้อนให้สำนักสูญเสียแดนบินในทวีปอื่นแห่งนี้ไป เชื่อว่านี่ก็คงเป็นเหตุผลที่หลงหรานเซียนจวินไม่ยอมลงมือเสีย ไม่เป็นเจ้าขุนเขาของต้าหลงชิวก็รู้สึกละอายใจต่อบรรพจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัยมากพอแล้ว หากยังต้องทำลายรากฐานของสำนักเบื้องล่างกับมือตัวเองอีก ไม่ว่าเปลี่ยนมาเป็นใครก็ต้องกลุ้มใจกันทั้งนั้น”
ซือถูเมิ่งจิงเงียบงันไม่เอ่ยอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!