เฉินผิงอันไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เพียงยกแขนข้างหนึ่ง ใช้นิ้วมือสองนิ้วคีบปลายมีดจู๋ลู่เอาไว้ ยกฝ่ามือตบลงบนใบหน้าของหลิวจงหนักๆ หนึ่งทีจนหลิวจงล้มตึงลงไปกับพื้น กริชหลุดออกจากมือ เฉินผิงอันก็ยกเท้าเตะลงบนหัวของหลิวจง พริบตาเดียวร่างของอีกฝ่ายก็กระเด็นไปในแนวขวางไกลหลายสิบจั้ง
เฉินผิงอันยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพียงแค่โยนกริชคืนให้หลิวจงเบาๆ
หลิวจงกระโดดลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปรับกริชเอาไว้ ใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า ก่อนจะเอียงศีรษะหันไปถ่มเลือดเหนียวข้นอีกทาง เอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “เจ้าตัวดี ไม่กดขอบเขตเลยรึ?
เฉินผิงอันย้อนถาม “กดขอบเขตหรือไม่กด มีความต่างอย่างนั้นหรือ? ก็ยังต้องให้ข้าออมมือแล้วออมมืออีก ถึงจะป้องกันไม่ให้ตัวเองไม่ทันระวังฆ่าเจ้าตายเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
เหยาเซียนจือที่ชมศึกอยู่ไกลๆ เบิกตากว้าง ได้ยินประโยคนี้ของอาจารย์เฉินก็พลันรู้สึกเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้า ราวกับว่าตัวเองไม่เคยรู้จักอาจารย์เฉินอย่างแท้จริงมาก่อน
แม่ทัพผู้เฒ่าดื่มเหล้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เขาเดินผ่านมาอย่างไรล่ะ”
ข้าวหนึ่งชนิดเลี้ยงคนได้หนึ่งร้อยรูปแบบ ข้าวร้อยบ้านเลี้ยงคนคนหนึ่งให้มีชีวิตรอด
ด้วยวิถีทางโลกและใจคน การเอาชีวิตรอดจึงไม่ง่าย ความยากลำบากที่ต้องประสบพบเจอระหว่างนี้ มิอาจเอื้อนเอ่ยให้คนนอกรับรู้ได้ บางทีคำพูดเพียงหนึ่งเดียวหรือหลักการเหตุผลทั้งหมด สำหรับผู้ฝึกกระบี่คงอยู่แค่ที่กระบี่ ส่วนสำหรับผู้ฝึกยุทธก็อยู่แค่ที่หมัดเท่านั้น
ทางฝั่งของลานประลองยุทธ เฉินผิงอันส่ายหน้ากับตัวเอง “พื้นฐานขอบเขตร่างทองแค่พอถูไถ เรือนกายไม่ใช่กระดาษเปียกอย่างกล้อมแกล้ม ก็รู้สึกว่าสามารถเป็นขอบเขตเดินทางไกลครึ่งตัวได้แล้วหรือ? ไม่บังเอิญเลย อยู่กับข้าคนนี้ จะคิดแบบนี้ไม่ได้จริงๆ”
“จะขอให้ข้ากดขอบเขตก็ได้ ข้าจะกดขอบเขตทีเดียวสามขั้น ใช้ขอบเขตเดียวกันเรียนรู้วิชามีดของอีกฝ่าย”
“หรือทางเลือกที่สอง กดหรือไม่กดขอบเขตแล้วแต่ข้า ข้าจะยืนนิ่งไม่ขยับ จะทำให้ข้าเคลื่อนที่ได้หรือไม่แล้วแต่เจ้า หากข้าขยับแม้แต่ครึ่งก้าวก็จะถือว่าข้าแพ้”
สายของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว
แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนป้อนหมัดสอนหมัดกันเช่นนี้
รับไม่ได้ ทนไม่ไหวก็ถอยกลับไปดื่มเหล้าเสีย ทั้งสองฝ่ายยังคงเป็นพี่หลิวกับน้องเฉินเหมือนเดิม
หลิวจงไม่ได้เอ่ยอะไร แน่นอนว่าเขาเลือกอย่างที่สอง
ภายในหนึ่งก้านธูป เฉินผิงอันยืนนิ่งมั่นคงดุจภูผา หากว่ากริชขยับเข้าใกล้ตัวก็จะใช้คมกริชของตัวเองดันออกเบาๆ แต่หากหมัดเท้าของหลิวจงขยับเข้ามาใกล้ หากเฉินผิงอันไม่ยืนนิ่งให้อีกฝ่ายต่อยเตะด้วยสีหน้าเฉยเมย ผู้ฝึกยุทธคอขวดขอบเขตร่างทองคนหนึ่งออกกำลังอย่างเต็มที่ เมื่อหล่นลงบนร่างของคนชุดเขียว กลับเห็นได้ชัดว่าไม่เจ็บไม่คัน ไม่อย่างนั้นเขาก็…ยกฝ่ามือตบให้หลิวจงกระอักเลือดกระเด็นออกไปโดยตรง
การถามหมัดที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด หลิวจงคล้ายกับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่คิดจะขยับเคลื่อนภูเขา ไม่รู้จักประมาณตน ถึงท้ายที่สุดหมัดก็มีแต่จะได้รับความเสียหาย ยิ่งออกหมัดหนักเท่าไรก็ยิ่งได้รับบาดเจ็บมากเท่านั้น
โงนเงนลุกขึ้นยืน เรือนกายส่ายไหว หลิวจงกำกริชที่อยู่ในมือแน่น ก้มหน้าลง ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด หยดเลือดไหลกระทบพื้น
หลิวจงพลันเงยหน้าขึ้น ผู้ฝึกยุทธเฒ่าที่ไม่รู้ว่าเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ไปแล้วกี่ครั้ง เส้นสายตาพลันพร่าเลือน ได้แต่มองเห็นอย่างเลือนรางว่าบุรุษชุดเขียวที่อยู่ห่างไปไม่ไกลถึงกับผิดคำพูด อยู่ดีๆ ก็ตั้งท่าหมัดที่โบราณเรียบง่ายแต่ปณิธานเข้มข้นอย่างไม่มีบอกกล่าว เหมือนกับว่าจะเป็นฝ่ายปล่อยหมัดใส่ตน
ไม่ใช่เหมือนกับแล้ว แต่ปล่อยมาจริงๆ
ในที่สุดอีกฝ่ายก็ออกหมัดแล้ว
เมื่อครู่ลุกขึ้นยืนได้ก็เผาผลาญพละกำลังทั้งหมดของหลิวจงไปจนสิ้นแล้ว เพียงแค่การกระทำเรียบง่ายเช่นนี้กลับไม่ต่างไปจากช่วงเวลาที่ปณิธานหมัดของหลิวจงพุ่งสูงถึงขีดสุดตอนอยู่ในยุทธภพของบ้านเกิด แล้วได้เข่นฆ่าเอาชีวิตกับปรมาจารย์ขอบเขตเดียวกันพวกนั้นเลย เรือนกายของผู้เฒ่าปลิวออกไป มีเพียงมือข้างที่กำกริชที่ยังคงกำไว้แน่น หลับตาลง อยากจะฝืนดึงปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เอาไว้ แต่ไร้ผล ทำไม่ได้แล้ว ระหว่างฟ้าดินล้วนมีแต่ปณิธานหมัดของอีกฝ่าย ทำให้ผู้เฒ่ามีความรู้สึกเหมือนแมลงเม่าในฟ้าดิน เหมือนเมล็ดงาในเขาพระสุเมร ตัวข้าช่างเล็กจ้อยต่ำต้อยเหลือเกิน อีกทั้งยังรู้สึกเพียงว่าหลังจากที่อีกฝ่ายปล่อยหมัดนี้ออกมา ขอบเขตของตนต้องถดถอยอย่างแน่นอน...เพียงแต่ว่าชั่วพริบตานั้น แม้แต่ความรู้สึกซับซ้อนวุ่นวายใจที่แวบผ่านไปรวดเร็วดุจม้าขาวควบผ่านช่องแคบพวกนี้กลับล้วนถูกปณิธานหมัดที่เอ่อท้นท่วมฟ้าดินราวกับกระแสน้ำขึ้นกลบทับจนไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว ไม่เหลือเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตายใดๆ
หลิวจงพลันเงยหน้าขึ้น สีหน้าเหี้ยมเกรียม กัดฟันแน่น มือสั่นสะท้าน อาศัยเรือนกายที่โงนเงน ถึงกับพลิกตัวหมุนกลับส่งมีดใส่เงาร่างชุดเขียวไปอย่างสะเปะสะปะ
เรือนกายขยับอย่างเชื่องช้า แขนขาอ่อนแรง กริชเฉาจื่อที่อยู่ในมือไม่มีประกายมีดแผ่ออกมาสักเสี้ยว
ทว่ามีดนี้ ผู้เฒ่าที่คือหลิวจง คือบุคคลอันดับหนึ่งด้านวิชามีดของพื้นที่มงคลดอกบัวจำเป็นต้องส่งออกไป!
ครู่หนึ่งต่อมา หรือบางทีอาจจะผ่านไปนานมาก หลิวจงที่จิตสำนึกพร่าเลือนพอจะคืนสติได้บ้างแล้ว ผู้เฒ่าพลันค้นพบว่ามีมือข้างหนึ่งกดลงมาที่ไหล่ของตัวเอง ได้ยินเพียงคนผู้นั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “หมัดดี”
……
เสี่ยวหลงชิว หลงหรานเซียนจวินที่มาจากสำนักเบื้องบนได้หวนกลับไปยังแผ่นดินกลางแล้ว ขณะเดียวกันก็ไม่ได้พบหน้าทั้งหลินฮุ่ยจื่อเจ้าขุนเขาและผู้คุมกฎเฉวียนชิงชิว
โชคดีที่นักพรตหญิงซึ่งสร้างกระท่อมอยู่บนยอดเขาซินอี้ของภูเขาบรรพบุรุษก็ขี่กระบี่ไปจากเสี่ยวหลงชิวแล้วเช่นกัน นางแค่บอกให้ลิ่งหูเจียวอวี๋ช่วยเฝ้ากระท่อมหลังนั้นให้
ในเมื่อมาถึงภูเขาเซียนตูแล้ว กั่วหรานเซียนเหรินแห่งภูเขาต้นไม้เหล็กที่ช่วยปกป้องมรรคาให้เด็กทั้งสองซึ่งข้ามทวีปเดินทางไกลมาเยือน อุตส่าห์ได้มาใบถงทวีปทั้งที จึงออกจากยอดเขามี่เซวี่ย ออกไปท่องขุนเขาสายน้ำข้างนอกเพียงลำพัง
เจิ้งโย่วเฉียนกับถานอิ๋งโจวจะต้องไปที่หาดลั่วเป่าทุกวัน ฟังอาจารย์เสี่ยวโม่ถ่ายทอดวิชาคำสอน แล้วยังช่วยกันหมักเหล้าอีกด้วย
จวนที่อยู่บนยอดเขามี่เซวี่ย หวงอีอวิ๋นที่บาดแผลหายดีพอสมควรแล้ว วันนี้ออกจากบ้านมาชมหิมะ นางเดินเล่นไปตลอดทาง ก็ได้เห็นว่าฉิวตู๋ปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่ตรงนั้นเป็นเพื่อนเด็กสาวหูฉู่หลิง
เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้มาจากหญิงชราว่า เซวียไหวผู้เป็นลูกศิษย์กับเผยเฉียนมีการประลองฝีมือกันที่หอซ่าวฮวาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะได้รับผลประโยชน์ไปไม่น้อย
เมืองหลวงต้าหลีแจกันสมบัติทวีป บัณฑิตคนหนึ่งพาเด็กรับใช้ชุยซื่อเดินทางไปเยี่ยมเยือนศาลเทพอัคคีด้วยกัน ไปหาเฟิงอี๋ที่ใต้ซุ้มดอกไม้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!