สรุปเนื้อหา บทที่ 906.2 บ้านเกิดที่ไม่เติบใหญ่ – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 906.2 บ้านเกิดที่ไม่เติบใหญ่ ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เหยาเซียนจือเอ่ยอย่างจนใจ “อาจารย์เฉิน ไม่มีเรื่องแบบนั้นเสียหน่อย ท่านอย่าพูดเหลวไหล”
รู้ว่าอาจารย์เฉินหมายถึงสตรีคนใด เพราะถึงอย่างไรเอกสารของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพทุกคนในเมืองหลวง เขาก็ล้วนเห็นกับตาตัวเองมาก่อน ชาติกำเนิดภูมิหลัง ทำเนียบบนภูเขา ประวัติการลงสนามรบ ใต้เท้าเจ้าเมืองอย่างเหยาเซียนจือล้วนรู้ชัดเจนดี แม่นางคนนั้นมีชื่อว่าหลิวอี้ นามยวนยาง ฉายาว่า ‘อี๋ฝู’ นางคือคนในท้องถิ่นของต้าเฉวียน มีชาติกำเนิดจากตระกูลผู้มีชื่อเสียงในท้องถิ่น อายุน้อยๆ ก็ถูกเซียนดินท่านหนึ่งหมายตา ได้ขึ้นเขาฝึกตนมานานแล้ว ในอดีตตอนอยู่บนสนามรบของเมืองหลวงและนครเซิ่นจิ่ง หลิวอี้ใช้สถานะของขอบเขตประตูมังกร อาศัยเวทคาถาประจำกายและสมบัติหนักสืบทอดสองชิ้น คุณความชอบทางการสู้รบจึงไม่แพ้ให้กับเซียนดินโอสถทองทั้งหลาย
หลิวอี้ย่อมต้องเป็นสตรีที่โดดเด่นอย่างถึงที่สุด บางครั้งที่เหยาเซียนจือไปเดินเล่นอยู่บนเรือ นางก็มักจะมองเมินตนอยู่เสมอ
ก็จริงนะ จะชอบคนพิการแขนด้วนคนหนึ่งไปทำไมกัน
แล้วนับประสาอะไรกับที่เหยาเซียนจือเองก็ไม่มีความคิดอะไรต่อนางจริงๆ
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะมาล้อเล่นเรื่องแบบนี้ทำไม”
ผู้เฒ่าชี้ไปที่เหยาเซียนจือ ยิ้มเอ่ย “นี่เรียกว่าพูดจาเหลวไหลหน้าตาเฉยหรือไม่ เจ้าลองว่ามาสิ ต้องการเจ้าไปจะมีประโยชน์อะไร?!”
เฉินผิงอันใส่เสริมเติมแต่ง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “คนบางคนเป็นชายโสดก็คือเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่คนบางคนอาศัยความสามารถที่แท้จริงของตัวเองถึงได้เป็นชายโสด”
แม่ทัพผู้เฒ่าถามเรื่องราวของหลิวอี้จากเหยาเซียนจือคร่าวๆ พอรู้ว่าสตรีคนนี้คือเซียนซือ มีชาติกำเนิดจากตระกูลปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงในท้องถิ่นของต้าเฉวียน ดี ฉายาว่า ‘อี๋ฝู’ ดีมาก แค่ฟังก็รู้สึกชื่นชอบได้แล้ว มีความกล้าที่จะสลัดการคุ้มครองของผู้อาวุโสในสำนักทิ้ง พาตัวไปอยู่ในอันตราย อีกทั้งยังสามารถฆ่าปีศาจสร้างคุณความชอบได้อีกด้วย สุดท้ายเฝ้าพิทักษ์นครเซิ่นจิ่ง รอกระทั่งฝ่าบาทประทานรางวัล หลิวอี้ก็แค่ขอสถานะผู้ถวายงานอันดับสามมาจากราชสำนักเท่านั้น นี่…ไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรฝ่าบาทก็ควรให้ตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับสองแก่นาง
ส่วนเรื่องที่ว่าทุกวันนี้หลิวอี้อายุหกสิบกว่าปี จะถือเป็นปัญหาอะไรได้ อายุหกสิบของสตรีบนภูเขาหากเอาไปวางไว้ล่างภูเขาก็เท่ากับอายุสิบสามสิบสี่ของสตรีล่างภูเขาพอดีไม่ใช่หรือ? ผู้เฒ่านวดคลึงปลายคาง ทอดถอนใจ “ข้ารู้สึกว่าเซียนจือไม่คู่ควรกับแม่นางคนนั้น”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน”
เหยาเซียนจือได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน ยกมือข้างหนึ่งขึ้นตีกับมือของเฉินผิงอันเบาๆ รู้ใจกันดีอย่างยิ่ง
รับเหล้าเหลืองถ้วยนั้นมาจากมือของเหยาเซียนจือ เฉินผิงอันเหลือบมองชุดคลุมขนจิ้งจอกตัวเก่าที่แขวนไว้บนราวแขวนผ้า รู้ถึงความเป็นมาของของชิ้นนี้ดี เป็นของที่หลิวเจินอดีตฮ่องเต้ต้าเฉวียนประทานให้กับสกุลเหยากองทัพชายแดนเมื่อนานมาแล้ว
บางทีเหยาเซียนจืออาจจะไม่ได้คิดมาก แต่หากโอรสสวรรค์ของราชวงศ์ต้าเฉวียนในทุกวันนี้เห็นเข้า คาดว่าในใจนางคงรู้สึกไม่ดีสักเท่าไร
เพียงแต่ว่าทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก เฉินผิงอันก็ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ถึงความบิดเบี้ยวเล็กๆ น้อยๆ ของใจคนเท่านั้น
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงหยิบซองแดงสองซองออกมาจากชายแขนเสื้อ ด้านในใส่เงินร้อนน้อยไว้ซองละหนึ่งเหรียญ เฉินผิงอันตั้งใจเลือกสองเหรียญที่แกะสลักถ้อยคำมงคลไว้อวยพรผู้เยาว์โดยเฉพาะ
ส่งซองแดงให้กับเหยาเซียนจือ ยิ้มเอ่ย “กลับไปแล้วช่วยมอบให้กับเหยาหลิ่งจือด้วย มอบให้บุตรของนาง ถือเป็นเงินยาสุ้ยที่ท่านลุงเฉินอย่างข้าชดเชยให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้”
เหยาหลิ่วจือออกเรือนเป็นภรรยาของผู้อื่นนานแล้ว ทุกวันนี้มีบุตรชายหญิงหนึ่งคู่แล้ว แต่เด็กทั้งสองต่างก็อายุไม่มาก
ผู้ฝึกตนบนภูเขาจำนวนไม่น้อยต่างก็เหมือนเฉินผิงอันที่ชอบเก็บสะสมเงินร้อนน้อยหลากหลายชนิดที่คล้ายคลึงกับร้อนน้อย ‘ใช้เงิน’ ซึ่งมีถ้อยคำแกะสลักไว้ อย่างเช่นคำว่า ‘เปิดเตารักษาคลัง’ ‘แขวนโคมต้อนรับวสันต์’ ‘ขอให้อายุยืนยาว’ เป็นต้น สำหรับในเรื่องนี้ ตลอดหลายปีที่เฉินผิงอันออกเดินทาง เขาล้วนไม่เคยลืม จึงเก็บสะสม ‘ร้อนน้อยใช้เงิน’ สิบสองนักษัตรครบหกชุด และ ‘จันทรคติใช้เงินเทพ’ สามชุด ยังรวมไปถึงเงินร้อนน้อย ‘เทียนกังสามสิบหก’ ชุดหนึ่งที่ด้านในแกะสลักกลุ่มภูเขาหยกเอาไว้ ด้วยเรื่องนี้เฉินผิงอันจ่ายเงินส่วนตัวไปไม่น้อย เอาเงินฝนธัญพืชที่อยู่ในมือของตนไปมอบให้เหวยเหวินหลงแห่งห้องบัญชีของภูเขาลั่วพั่วจัดการ ให้ช่วยเขาคอยสังเกตดูเงินร้อนน้อยที่แกะสลักตัวอักษรหาได้ยาก หากเจอให้เก็บไว้ทันที
ในเรื่องนี้เทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปจึงจะเรียกว่าเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ เก็บรวบรวมของหายากที่ถูกเรียกขานว่ามีเพียงหนึ่งเดียวบนโลกไว้ได้ไม่น้อย
เหยาเซียนจือรับซองแดงมา ยิ้มเอ่ยว่า “เด็กสองคนนั้นได้เงินยาสุ้ยก้อนนี้ไปคงดีใจเจียนคลั่งแน่นอน”
ท่านน้าอย่างตน ยามอยู่กับพวกเขาไม่เคยมีบารมีใดๆ ให้กล่าวถึง เด็กสองคนนี้เฉลียวฉลาดเจ้าเล่ห์แสนกลมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังหนังหนา ซุกซนอย่างมาก มีเพียงตอนที่อยากรู้เรื่องราวในขุนเขาสายน้ำของอาจารย์เฉินเท่านั้น ตอนที่เรียกท่านน้าถึงได้มีความจริงใจมากขึ้นหลายส่วน
ไม่ได้ คราวนี้ตอนเดือนหนึ่งจะต้องให้เด็กสองคนนั้นโขกหัวให้กับท่านน้าอย่างตนหลายๆ ครั้งถึงจะได้ซองแดงไป
เหยาเจิ้นถามชวนคุย “อู๋ซูไม่อยู่ในใบถงทวีป แต่ไปที่ใต้หล้าไพศาลแล้ว พวกเราก็มีแค่ปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางอย่างหวงอีอวิ๋นแห่งผูซานคนเดียวแล้ว พวกเจ้าทั้งสองเคยเจอกันแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก่อนหน้านี้เคยเจอกันแล้ว เจอกันครั้งแรกในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ภายหลังเกิดเรื่องบางอย่าง เจ้าขุนเขาเย่จึงรับปากว่าจะเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาเซียนตู”
เหยาเซียนจือถามอย่างสงสัย “ทำไมคราวก่อนที่อยู่นครเซิ่นจิ่งไม่เห็นท่านพูดถึงเลย”
ในใจของใต้เท้าเจ้าเมืองผู้นี้ลอบยินดี หึ แบบนี้ตนที่อยู่ในสำนักเบื้องล่างของอาจารย์เฉินก็ไม่ใช่ว่าได้นั่งทัดเทียมกับหวงอีอวิ๋นแห่งผูซานแล้วหรอกหรือ?
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงขุ่น “จะต้องพูดเรื่องนี้ทำไม”
แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาจุ๊ปาก “นั่นคือโฉมสะคราญคนหนึ่งเชียวนะ กระดานแยนจือภูเขาฮวาเสินของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาก็แค่ว่าอดีตเจ้าสำนักเจียงไม่กล้าจัดนางเข้าอันดับ ไม่อย่างนั้นสามอันดับแรกต้องหนีไม่พ้นแน่ๆ ดูท่าครั้งนี้น่าจะไม่ได้มาเสียเที่ยว”
ผู้เฒ่าจิบเหล้าหนึ่งคำ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “คุมไหวหรือ?”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
ในที่สุดเหยาเซียนจือก็หาโอกาสเจอ เอ่ยสัพยอกว่า “หากเปลี่ยนมาเป็นข้า เผชิญหน้าเซียนซือบนภูเขาที่งามล่มบ้านล่มเมือง ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธหญิงขอบเขตปลายทาง ต้องยากจะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ค่ำคืนยากจะข่มตานอนอย่างแน่นอน”
คนทั้งสี่กับกระถางไฟประหนึ่งเหยียบย่างอยู่บนจักรวาลเวิ้งว้าง ราวกับลอยตัวอยู่ในพื้นที่ลับบรรพกาลแห่งหนึ่งที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
เหยาเซียนจือกระทืบเท้าเบาๆ ใต้ฝ่าเท้าเกิดเป็นริ้วกระเพื่อม เหมือนเขาได้เหยียบลงบนทะเลสาบที่ราบเรียบแห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินขยับไปด้านข้างหนึ่งก้าว ยืนอยู่กลางอากาศห่างจากกระถางไฟไปร้อยจั้ง มือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งผายมือ ยิ้มบางๆ เอ่ยเชื้อเชิญว่า “ผู้ฝึกยุทธหลิวจง เชิญออกหมัดได้ตามสบาย”
หลิวจงนั่งอยู่ที่เดิม รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ เหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม
จะว่าไปแล้วก็แปลก เจ้าเด็กเฉินผิงอันผู้นี้ ปีนั้นสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะสะพายกระบี่พลัดหลงเข้าไปในพื้นที่มงคล จัดการกับเจ้าเฒ่าติงอิงที่เป็นผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมในใต้หล้า หลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว หลายปีที่ผ่านมานี้ได้ไปสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไรมาบ้าง อันที่จริงหลิวจงที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสกุลเหยาต้าเฉวียนล้วนเคยได้ยินมาบ้างคร่าวๆ ต่อให้จะเป็นคราวก่อนที่ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งในนครเซิ่นจิ่ง ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ได้สวมสถานะของอิ่นกวานคนสุดท้ายแล้ว แล้วยังเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนอย่างสมชื่อ แต่เมื่อได้อยู่ร่วมกัน ยืนอยู่กับอีกฝ่าย หลิวจงไม่ได้รู้สึกถึงแรงกดดันอะไร แต่ว่านาทีนี้หลิวจงกลับเกิดความคิดหนึ่งตามสัญชาตญาณ ไม่ควรถามหมัดกัน เหมาะแค่ดื่มเหล้าคุยเล่นสัพเพเหระกันเท่านั้น
เหยาเซียนจือกลั้นขำ กำลังจะเอ่ยหยอกเย้าผู้ถวายงานหลิวท่านนี้สักสองสามประโยค กลับเห็นว่าท่านปู่ส่ายหน้า บอกเป็นนัยกับตนว่าอย่าได้เปิดปาก
หลิวจงสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วพลันคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืนช้าๆ กระโจนเข้าหาเฉินผิงอัน หลังจากยืนนิ่งแล้วก็เอามีดเขาวัวที่ไม่เคยได้ใช้มานานหลายปีออกมาจากชายแขนเสื้อ
ไม่ถือว่าเป็นมีดอาคมที่ระดับขั้นดีเด่อะไร อยู่ในพื้นที่มงคลอันเป็นบ้านเกิดยังนับว่าพอจะคมอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าอยู่ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้กลับไม่มากพอ ไม่ติดระดับขั้นของสมบัติอาคมด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าการถามหมัดครั้งนี้ เกินครึ่งคงไม่อาจเก็บรักษาเจ้าเฒ่าที่พึ่งพากันและกันมาตลอดชีวิตเล่มนี้ไว้ได้อีกแล้ว ก้มหน้าลงมองมีดเขาวัว ผู้เฒ่าก็อดรู้สึกเสียดายและเสียใจไม่ได้
หลิวจงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “การถามหมัดครั้งนี้ ขอบเขตของพวกเราสองคนต่างกัน ดังนั้นข้าย่อมเกิดจิตสังหาร จะไม่กักเก็บปราณสังหารและจิตสังหารไว้แม้แต่น้อย ขอเจ้าเข้าใจด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้า จากนั้นก็มีมีดสั้นสองเล่มไถลออกมาจากชายแขนเสื้อสีเขียวสองข้าง เล็กแคบเหมือนกริช โยนมีดสั้นเล่มหนึ่งให้กับหลิวจง “ใช้มีดสั้นเล่มนี้ของข้าก็แล้วกัน แข็งแกร่งทนทานมากกว่า เจ้าจะได้ไม่ต้องมีเรื่องให้พะวง ใช้มีดได้ว่องไวกว่าเดิม”
หลิวจงถอนหายใจโล่งอก เก็บมีดเขาวัวลงไป ลองควงมีดสั้นที่เหมือนกริชด้วยลวดลายกระบวนท่างดงาม จากนั้นค่อยยกขึ้นมาดู แกะสลักคำว่า ‘น้ำค้างรุ่งอรุณ’ หลิวจงยิ้มถาม “มีประวัติความเป็นมาหรือไม่?”
เฉินผิงอันแนะนำ “ชื่อจริงคือ ‘จู๋ลู่’ ก็คือกริชเฉาจื่อที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์เล่มนั้น”
ส่วนมีดสั้นที่อยู่ในมือของเฉินผิงอันแกะสลักเป็นคำว่า ‘แสงสายัณห์’ เหมือนกับกริชเฉาจื่อที่ตัวอักษรแกะสลักเป็นเพียงเวทอำพรางตา หลายปีมานี้เฉินผิงอันก็ยังตามหาเบาะแสของมีดเล่มนี้ไม่เจอ ในเมื่อระดับขั้นเทียบเท่ากริชเฉาจื่อ ก็แสดงว่าต้องมีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา บวกกับปีนั้นได้มาจากมือของนักฆ่าภูเขาเกอลู่ เฉินผิงอันจึงตั้งชื่อให้ว่า ‘เกอลู่’
สายตาของหลิวจงฉายแววชื่นชม พยักหน้าเอ่ย “มีดดีชื่อดี ผู้ที่ถือมีดเล่มนี้ในเวลาก็ยิ่งเป็นเช่นนี้”
ร่างของหลิวจงเปล่งวูบหายไป เพียงแค่ทิ้งประกายแสงจากมีดเส้นหนึ่งไว้ระหว่างตำแหน่งเดิมของตัวเขาเองกับคนชุดเขียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!