ก่อกำเนิดเฒ่ามีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ ชีวิตนี้จึงดูแคลนเซียนดินทำเนียบที่ชอบฉกฉวยผลประโยชน์พวกนี้เป็นที่สุด ยกตัวอย่างเช่นเกาซูเหวินที่เป็นเจ้าประมุขพรรคชิงจ้วน จางหลิวจู้ก็ค่อนข้างจะไม่ถูกชะตาอย่างมาก
ไต้หยวนหัวเราะหึหึ “หากว่าสามารถแต่งเข้าต้าเฉวียนได้จริง เป็นสามีภรรยากับฮ่องเต้หญิงคนนั้น คอยประคับประคองมังกรอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ได้กดทับมังกรอยู่ทุกค่ำคืน ก็ช่างเป็นวาสนาที่ทำให้คนอิจฉาจริงๆ”
คำพูดสัปดนกับสุรารสเลิศเหมือนไม้กวาดที่ปัดเป่าความทุกข์ เมื่อจางหลิวจู้ยกจอกเหล้าขึ้น ไต้หยวนก็ยกจอกเหล้าของตัวเองชนกระทบกับอีกฝ่ายเบาๆ ทันที ต่างคนต่างกระดกดื่มจนหมด
ไต้หยวนถามเสียงเบา “ครั้งนี้พี่จางมาเยี่ยมเยือนเมืองลั่วจิง เพราะคิดจะใช้สถานะของเค่อชิงอันดับหนึ่งแห่งเสี่ยวหลงชิวมาปรึกษากับฮ่องเต้ผู้เฒ่า หรือว่า?”
จางหลิวจู้คลี่ยิ้มมีเลศนัย ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ได้รับคำไหว้วานจากคนอื่นให้มาคุยเรื่องการค้ากับเจ้า น้องไต้ ขอให้ข้าได้อุบไว้ก่อนเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่ได้รับโชคดีหลังจากเคราะห์ร้าย เจ้าจงดื่มเหล้าอย่างวางใจได้เลย”
พอไต้หยวนได้ยินคำว่า ‘ได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย’ ก็คล้ายได้กินยาสงบใจเข้าไปหนึ่งเม็ด แล้วก็ไม่รีบร้อนถามหาต้นสายปลายเหตุจริงๆ แค่ยุให้จางอันดับหนึ่งดื่มเหล้าไม่หยุด ต่างคนต่างเล่าเรื่องสิ่งที่ตัวเองได้พบเจอช่วงล่าสุดของใบถงทวีปให้อีกฝ่ายฟัง
จางหลิวจู้ถามถึงสถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาของพรรคชิงจ้วนคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับความลับบนภูเขาบางอย่างที่ไม่พูดถึงแล้ว ไต้หยวนกลับบอกทุกเรื่องที่รู้ให้อีกฝ่ายฟังจนหมดสิ้นไม่มีปิดบัง หากว่าจางหลิวจู้ยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ไต้หยวนหรือจะกล้าแสดงความจริงใจเช่นนี้ แต่ในเมื่อทุกวันนี้จางหลิวจู้ ‘เปลี่ยนจากอธรรมเข้าสู่สายธรรมะ’ กลายมาเป็นเค่อชิงอันดับหนึ่งของเสี่ยวหลงชิวแล้ว ย่อมไม่กลับไปทำกิจการเดิมอีก ไม่อย่างนั้นจางหลิวจู้ก็มีแต่ได้ไม่คุ้มเสีย ไต้หยวนจึงไม่ต้องมีอะไรให้กริ่งเกรงมากนัก
เพียงแต่ว่าไต้หยวนก็สงสัยอยู่เหมือนกัน จางหลิวจู้ดูจะสนใจเรื่องรายรับของบ่อไข่มุกมรกตและตลาดภูเขาหยกขาว อีกทั้งยังถามอย่างละเอียดมากด้วย หรือว่าวันนี้เฉวียนชิงชิวผู้คุมกฎของเสี่ยวหลงชิวคนนั้นต้องการให้จางหลิวจู้มาสืบข่าวจากตน คิดจะเป็นพันธมิตรกับพรรคชิงจ้วน ยกตัวอย่างเช่นรวบรวมเรือข้ามฟากตระกูลเซียนทั้งหลายของภูเขาสองลูกให้มาทำการค้าร่วมกัน?
ไม่ถึงครึ่งก้านธูป จางหลิวจู้ก็หยุดคำพูด หันหน้าไปมองอีกทาง ดวงตาสว่างวาบทันใด
ผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบสองคนที่ยังไม่รู้ว่ามาจากพรรคไหน คนหนึ่งผอมคนหนึ่งอวบ ต่างคนต่างมีความงามกันคนละแบบ
ฝ่ายแรกรูปโฉมโดดเด่น ใบหน้ารูปแตง เดินเยื้องย่างกรีดกราย เอวบางคอดกิ่ว จนก่อกำเนิดผู้เฒ่ากังวลใจว่าจับแล้วจะหักหรือไม่
ส่วนฝ่ายหลังกลับยิ่งทำให้ก่อกำเนิดเฒ่าหวั่นไหวได้มากกว่า มิอาจเคลื่อนสายตาไปทางไหนได้เลย
หากใช้คำพูดของเจียงซ่างเจินชาติสุนัขผู้นั้นมาบรรยาย ก็คือนางเดินมาทางข้าคล้ายภูเขาใหญ่สองลูกพุ่งเข้าชนข้า
ก่อกำเนิดเฒ่าทอดถอนใจอยู่ในใจไม่หยุด หากว่ามีการเข่นฆ่าบนเตียงกันขึ้นมา ข้าผู้อาวุโสย่อมพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย
บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำมากมายพวกนั้นไม่ได้ดูมาอย่างเสียเปล่า ไต้หยวนรู้รสนิยมของผู้อาวุโสก่อกำเนิดท่านนี้มานานมากแล้ว จึงกวักมือให้ผู้ฝึกตนหญิงร่างผอมบางมานั่งข้างกายตน เทพธิดาทำเนียบอีกคนที่เรือนกายอวบอิ่มมองไปที่จางหลิวจู้ตั้งแต่แรก สีหน้านางเป็นปกติ แต่ในใจกลับโอดครวญไม่หยุด ไต้วงในผู้นี้ เหตุใดวันนี้ถึงได้เรียกตาเฒ่านี่มาดื่มเหล้าด้วยนะ ช่างทำให้ตนลำบากใจแล้วจริงๆ
ทว่าพอคิดถึงภูมิหลังของไต้หยวน นางก็ได้แต่คลี่ยิ้มอย่างฝืดฝืน
เหลือบตามองมือที่ถือจอกสุราของผู้ฝึกตนเฒ่า ยังดี ไม่เหมือนฝ่ามือที่แห้งเหี่ยวเหมือนตีนไก่ของคนแก่ที่เป็นมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาสักเท่าไร ยังแผ่ประกายแสงขาวนวลดุจหยกออกมาให้เห็นอยู่บ้าง นี่ทำให้ในใจผู้ฝึกตนหญิงตกตะลึงอยู่หลายส่วน คงไม่ได้เป็นเทพเซียนพสุธาที่มี ‘กิ่งทองใบหยก’ ในร่างหรอกนะ?
ราชวงศ์สกุลอวี๋ในทุกวันนี้ เสาค้ำยันแคว้นมีอยู่สามฝ่าย อารามจีชุ่ยแห่งลั่วจิง หลวี่ปี้หลงเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น มรรคกถาลึกล้ำจนมิอาจคาดเดา
และยังมีหวงซานโซ่วแม่ทัพใหญ่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง คนผู้นี้มีชาติกำเนิดยากจน มีจุดเริ่มต้นต่ำต้อย วัยเด็กหนุ่มก็เริ่มเป็นทหาร ทุกวันนี้เพิ่งจะอายุสี่สิบปีก็สร้างคุณูปการมากมายจนไม่อาจแต่งตั้งตำแหน่งให้สูงกว่านี้ได้อีกแล้ว และคนเพียงผู้เดียวของราชวงศ์สกุลอวี๋ที่พอจะเอามาออกหน้าออกตาได้ก็คือแม่ทัพใหญ่ท่านนี้ที่ปีนั้นถูกมองเป็น ‘คนดื้อด้าน’ ที่เอาไข่กระทบหิน เพราะปีนั้นหวงซานโซ่วไม่ได้ติดตามพวกฮ่องเต้เฒ่าหนีลี้ภัยไป ‘แปรพระราชฐาน’ อยู่ในพื้นที่ลับของพรรคชิงจ้วน แต่ได้รวบรวมกองทัพม้าฝีมือดีกองหนึ่งไล่ตระเวนหาไปทั่วขุนเขาสายน้ำเก่า เข่นฆ่ากับเผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร้างอยู่หลายครั้ง แม้ว่าจะบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก แต่กองทัพทหารม้ากองนี้ก็ไม่เคยแตกพ่าย
‘คนผู้นี้คือหินหยกในหลุมส้วมของราชวงศ์สกุลอวี๋’
นี่คือคำพูดที่รองเจ้าขุนเขาคนใหม่ของสำนักศึกษาเทียนมู่ป่าวประกาศออกมาอย่างชัดเจน ไม่ปิดบังความดูแคลนที่เขามีต่อทั้งราชวงศ์สกุลอวี๋ รวมไปถึงการมองสูงให้ค่าที่เขามีให้กับแม่ทัพบู๊ผู้นั้นโดยเฉพาะ
สุดท้ายจึงเป็นพรรคชิงจ้วนของไต้หยวนแล้ว
เป็นเหตุให้เมื่อนางได้ยินว่าผู้อาวุโสมีฉายาสุ่ยเซียน ถึงกับเป็นเค่อชิงอันดับหนึ่งของเสี่ยวหลงชิวที่ได้ยินชื่อเสียงมานานแต่ยังไม่เคยเห็นหน้าผู้นั้น แล้วยังเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าก่อกำเนิดคนหนึ่ง เรือนกายของนางก็อ่อนยวบลงหลายส่วน เนื้อหนังที่อวบตึง ขณะที่นั่งคุกเข่าดื่มสุราคารวะ ต้นขาข้างหนึ่งแนบติดไปโดนก่อกำเนิดผู้เฒ่าคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
สตรีสวมชุดคลุมอาคมที่ทำจากผ้าแพร ทั้งยังอยู่ในท่าคุกเข่า จึงเป็นเหตุให้เกิดส่วนเว้าส่วนโค้งกระชับตึงแน่น ความรู้สึกเย็นน้อยๆ จากจุดที่แตะต้องสัมผัสกันกลับทำให้จิตใจของก่อกำเนิดผู้เฒ่าร้อนเร่า
ดื่มสุราคารวะกันไปสามรอบ เริ่มเมากรึ่มๆ ไต้หยวนก็เกี่ยวเอวของผู้ฝึกตนหญิงข้างกายมากอด ส่วนเทพธิดาที่อยู่ข้างกายจางหลิวจู้ได้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกของเทพเซียนผู้เฒ่านานแล้ว เรียกขานเขาคำแล้วคำเล่าว่าพี่ใหญ่จาง
เพียงแต่ว่าออกจากบ้านครั้งนี้ จางหลิวจู้ไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยวภูเขาสายน้ำ ดื่มสุราเคล้านารีอะไร วันนี้ได้มาร่ำสุราใต้ซุ้มองุ่น อย่างมากสุดก็ได้แค่ถือว่าอาศัยงานส่วนรวมหาผลประโยชน์ใส่ตัว แอบอู้จากงานที่รัดตัวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจางหลิวจู้คงถือจอกเหล้าไว้ในมือ ส่วนอีกมือหนึ่งก็คงยื่นไปคลำหาของในเทือกเขาเนื้อนวลขาวกระจ่างนานแล้ว
ที่แท้คืนนั้นก่อนที่เซียนกระบี่เฉินจะออกไปจากสวนป่าได้มากำชับจางหลิวจู้เป็นการส่วนตัว พูดจาอย่างเกรงอกเกรงใจว่าอยากจะขอรบกวนให้สหายสุ่ยเซียนช่วยไปเยือนราชวงศ์สกุลอวี๋ให้สักครั้ง ไปพูดคุยรำลึกความหลังกับไต้หยวนผู้ถวายงานวงใน ช่วยบอกกล่าวเขาสักคำ บอกไปว่าเขากับพรรคชิงจ้วนยังคงไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน แต่สำหรับไต้หยวนที่เป็นผู้ถวายงานฝ่ายในของสกุลอวี๋กลับไม่ตีก็ไม่ได้รู้จักกัน ดังนั้นต่อจากนี้เขาจึงอยากดูว่าจะมีโอกาสที่จะช่วยไต้หยวนให้พัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นในวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำของราชวงศ์สกุลอวี๋หรือไม่
บอกตามตรง จางหลิวจู้เริ่มอิจฉาในสถานะผู้ถวายงานวงในของไต้หยวนบ้างแล้ว ไม่เหมือนกับตนที่เป็นแค่เค่อชิงอันดับหนึ่งที่ได้แต่กินน้ำแกงจืดชืดอยู่ในเสี่ยวหลงชิวเท่านั้น
เป็นเหตุให้ระหว่างที่เดินทางมายังเมืองลั่วจิง จางหลิวจู้ก็เริ่มเกิดความคิดโลดแล่นว่าจะสามารถปรึกษากับเจ้าขุนเขาของเสี่ยวหลงชิวคนถัดไปได้หรือไม่ว่าให้ตนคว้าสถานะที่คล้ายคลึงกับ ‘ราชครู’ มาจากราชวงศ์ล่างภูเขาบางแห่งที่กอบกู้แคว้นสำเร็จ? ยกตัวอย่างเช่นในสิบแคว้นของใบถงทวีปที่ถูกคัดเลือกมาทุกวันนี้ เลือกราชวงศ์ใหญ่ที่ยังขาดพลังการสู้รบขั้นสูงสุดชั่วคราวมาสักแห่ง ก็เหมือนอย่างราชวงศ์ต้าฉงที่รอคอยการฟื้นฟูที่ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ตำแหน่งของราชครูยังคงถูกปล่อยว่างไว้? ไต้หยวนก็แค่โอสถทองคนหนึ่ง แต่ตนกลับเป็นก่อกำเนิดจริงแท้แน่นอน หากทำสำเร็จจะไม่ยอดเยี่ยมไปเลยหรอกหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!