อ่านสรุป บทที่ 908.3 มหานทียิ่งใหญ่ไพศาล จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 908.3 มหานทียิ่งใหญ่ไพศาล คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ไต้หยวนอยู่ในพรรค นอกจากบ่อไข่มุกมรกตแล้ว อันที่จริงก็ไม่มีอำนาจที่แท้จริงอีก ผู้ฝึกตนของพรรคชิงจ้วนที่จัดการดูแลกิจธุระทุกอย่างอย่างแท้จริงล้วนเป็นคนสนิทของบรรพจารย์เกาซูเหวิน คนที่ดูแลเงินคือชู้รักของบรรพจารย์เกา นอกจากนางจะดูแลคลังทรัพย์สินแล้ว สตรีทรงเสน่ห์ที่นอกจากบรรพจารย์เกาแล้วก็ไม่เคยมองใครเต็มๆ ตาผู้นี้ยังรับผิดชอบดูแลทุกอย่างของตลาดภูเขาหยกขาวด้วย อีกทั้งผู้คุมกฎของพรรคก็คือผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งที่คุณสมบัติธรรมดาอย่างมาก แต่กลับได้เนื้อชิ้นโตอย่างสระเรียกมังกรไป ก็เพราะว่าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์เกา จึงวางอำนาจบาตรใหญ่ เวลาปกติเจอเซียนดินโอสถทองเช่นตนมักจะชอบคลี่ยิ้มเสแสร้ง เรียกคำแล้วคำเล่าว่าศิษย์หลานไต้
จางหลิวจู้ถามอย่างเยือกเย็น “บ้านเกิดของสหายท่านนี้อยู่ที่ใด ขอทราบนามของเจ้าได้หรือไม่?”
เด็กหนุ่มชุดขาวยังคงค้างอยู่ในท่าประหลาดนั้น พูดด้วยสีหน้าจริงใจ “ข้าคือตงซานไงล่ะ”
จางหลิวจู้ยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าสหายตงซานมานานแค่ไหนแล้ว ได้ยินไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว?”
อีกฝ่ายสะบัดพระราชโองการฉบับหนึ่งในมือเสียงดังพั่บๆ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “มาถึงก่อนพวกเจ้าครู่หนึ่ง เมื่อครู่นี้มัวแต่ชื่นชมพระราชโองการกล่าวโทษตัวเองของฮ่องเต้ฉบับนี้ อะไรที่บอกว่าเฝ้าเองขโมยเอง เสียใจก็สายไปแล้วพวกนั้น ข้าล้วนไม่ได้ยิน ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฆ่าคนปิดปาก”
จางหลิวจู้สีหน้ามืดทะมึน เจ้าตัวดี พูดจากวนอารมณ์นัก
เด็กหนุ่มชุดขาวเก็บพระราชโองการฉบับนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า “ฮ่าๆ จางอันดับหนึ่งได้ยินว่าข้ามาถึงที่นี่นานแล้วก็เลยโล่งใจใช่หรือไม่? รู้สึกว่าอย่างมากข้าก็แค่เชี่ยวชาญด้านการเก็บงำลมปราณ หากต้องประมือกันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต่อสู้เก่งสักเท่าไร หึ นี่เป็นเพราะจางอันดับหนึ่งดีใจเร็วเกินไปแล้ว เพราะข้าหลอกพวกเจ้าหรอกนะ ข้าติดตามพวกเจ้ามาตลอดทางจนเข้ามาในหอเติงหมีแห่งนี้ เห็นว่าพวกเจ้าพูดคุยกันอย่างถูกคอจึงตัดใจขัดจังหวะไม่ลง ก็เลยนอนพักอยู่บนซุ้มองุ่นไปครู่หนึ่ง ไม่เชื่อใช่ไหม? ไม่เชื่อก็ลองดูใต้ฝ่าเท้าของพวกเจ้าสิมีเมล็ดองุ่นกองเล็กๆ กองอยู่ใช่หรือไม่?”
ไต้หยวนรีบก้มหน้ามองลงไปทันที จางหลิวจู้กลับนั่งนิ่งไม่ขยับ คนทั้งสองเป็นผู้ฝึกตนเซียนดินที่ห่างกันแค่ขอบเขตเดียว ทว่านี่ก็คือความแตกต่างที่แท้จริงของเซียนซือทำเนียบกับผู้ฝึกตนอิสระแล้ว
จางหลิวจู้แสร้งทำเป็นเยือกเย็น ลูบหนวดยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายท่านนี้ไม่เดินบนเส้นทางปกติจริงๆ”
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่มานอนอยู่บนซุ้มองุ่นนานเป็นครึ่งๆ วันโดยที่ตนสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ต้องเป็นศัตรูที่ร้ายกาจแน่นอน!
ชุยตงซานพลิกตัวหมุนกลับ ใช้สองมือดันซุ้มองุ่น พลิ้วกายลงบนพื้น สะบัดชายแขนเสื้อ ยืนพิงเสาต้นหนึ่งของซุ้มองุ่น “เอาล่ะ ไม่มัวอ้อมค้อมกับพวกเจ้าแล้ว ข้ายังมีธุระต้องไปทำ”
ชุยตงซานมองไปยังก่อกำเนิดผู้เฒ่า “อาจารย์ข้ากังวลว่าเจ้าจะพูดไม่ชัดเจน วาดงูเติมขากับไต้หยวน ถึงได้ให้ข้ามาที่เมืองลั่วจิง เรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอาจารย์ข้าคิดถูก จางหลิวจู้เจ้าทำตัวอวดฉลาด ไม่เป็นไร ในเมื่อข้ามาแล้วก็จะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าสองคนเลอะเลือนหรือไม่ก็แสร้งเลอะเลือนแล้ว”
ชุยตงซานหันหน้าไปมองทางไต้หยวน พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไต้หยวน ภายในหนึ่งร้อยปี เจ้าอยากเป็นเจ้าประมุขรุ่นที่แปดที่ได้รับความไว้วางใจจากทุกคนในพรรคชิงจ้วนหรือไม่? นอกจากนี้คนเก่งย่อมต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น จึงต้องควบตำแหน่งผู้ถวายงานวงในอันดับหนึ่งของราชวงศ์สกุลอวี๋แห่งนี้ไปด้วย?”
ไต้หยวนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน คนบ้าจากไหนกันนี่ ถึงกับกล้ามาพูดจาเหลวไหลอยู่ตรงนี้
ชุยตงซานเห็นว่าเขาไม่พูดก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ดีมาก จะถือว่าเจ้าเห็นด้วยแล้ว”
จากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับจางหลิวจู้ “ส่วนจางอันดับหนึ่ง หมวกขุนนางของเสี่ยวหลงชิวถือว่าใหญ่มากพอแล้ว ไม่อาจเลื่อนตำแหน่งสูงกว่านี้ได้อีกแล้ว จะให้เจ้าไปเป็นเจ้าขุนเขาก็คงไม่ได้กระมัง เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนนอก ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีหลินฮุ่ยจื่อและเฉวียนชิงชิว ก็ใช่ว่าต้าหลงชิวจะไม่มีคนอื่นให้ใช้งานอีก”
หน้าของจางหลิวจู้เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย นี่คือเรื่องลับอันดับหนึ่งของเสี่ยวหลงชิว คนผู้นี้รู้ได้อย่างไร?!
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ของข้าบอกแล้วว่า ค่าตอบแทนจากการที่เจ้านำความมาบอกต่อที่เมืองลั่วจิงคราวนี้ เขาสามารถช่วยพูดทวงความเป็นธรรมแทนเจ้าที่เสี่ยวหลงชิวได้ อนุญาตให้เจ้ารักษายศเค่อชิงอันดับหนึ่งเอาไว้ได้ จากนั้นค่อยไปหาตำแหน่งขุนนางบางอย่างจากราชวงศ์ต้าฉงมา ยกตัวอย่างเช่นตำแหน่ง…ราชครู? ดังนั้นหลังจากเจ้าออกไปจากเมืองลั่วจิงก็ไม่ต้องกลับเสี่ยวหลงชิวทันที ให้ตรงไปที่ราชวงศ์ต้าฉงได้เลย ไปหารองเจ้ากรมโยธาที่ชื่อว่าไช่โย่วจวิน บอกไปว่าตัวเองเป็นเพื่อนบนภูเขาของโจวเฝย ยินดีที่จะเป็นกุนซือห้องบัญชีให้เขาชั่วคราวสี่ห้าปี อาจารย์ยังให้ข้าเตือนเจ้าว่าใจร้อนย่อมกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้ ใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี อดทนทำความเข้าใจกับเบื้องลึกเบื้องหลังวงการขุนนางของราชวงศ์ต้าฉงให้ชัดเจนเสียก่อน จางอันดับหนึ่ง นี่เรียกว่า?”
จางหลิวจู้รีบคำต่อทันใด “ลับมีดให้คมย่อมผ่าฟืนได้ง่าย!”
เหล้าหลงชิวหนึ่งกาดื่มจนก่อกำเนิดผู้เฒ่าร้อนลวกไปทั้งใจทั้งตับไตไส้พุง ราวกับว่าราชครูต้าฉงได้เป็นของที่หล่นมาอยู่ในกระเป๋าของตัวเองเรียบร้อยแล้ว
ส่วนสหายตรงหน้าที่เรียกตัวเองว่า ‘ตงซาน’ ผู้นี้ ในเมื่อเป็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเซียนกระบี่เฉิน ถ้าอย่างนั้นก็เป็นคนกันเองครึ่งตัวแล้ว
ประเด็นสำคัญคือเซียนกระบี่เฉินคล้ายจะปูทางให้เขาราวกับคาดการณ์ได้ล่วงหน้า คิดได้ตรงกับที่จางหลิวจู้คิดไว้ในใจพอดี ราชวงศ์ต้าฉงที่เป็นดั่งตะวันลอยขึ้นกลางนภานั้นก็คือ ‘สถานประกอบพิธีกรรม’ ที่ดีที่สุดที่ก่อกำเนิดเฒ่าต้องการใช้มันแสดงฝีมือที่สุด
ขณะเดียวกันจางหลิวจู้ก็เกิดความเคารพยำเกรงต่อเซียนกระบี่เฉินที่สามารถมองทะลุความคิดจิตใจของผู้อื่นได้อย่างง่ายดายมากกว่าเดิม
พอหวนนึกไปถึงเหตุเปลี่ยนแปลงในสวนป่าของเสี่ยวหลงชิว จางหลงจู้ก็มีความรู้สึกเหมือนเกิดภาพลวงตาว่า เซียนกระบี่ใหญ่เฉินที่เวทกระบี่เลิศล้ำผู้นั้น ไม่ว่าจะนิสัยใจคอ วิธีการ หรือบุคลิกก็เหมือนจะคล้ายผู้ฝึกตนอิสระมากกว่า
พลิกมือเรียกฝนพลิกมือเรียกเมฆ เพียงชั่วพริบตาก็ทำให้ผู้ฝึกตนทำเนียบก่อกำเนิดสองคนของเสี่ยวหลงชิวกลายเป็นนักโทษได้ ทุกวันนี้ถูกหลงหรานเซียนจวินจับตัวไปที่สำนักเบื้องบนแผ่นดินกลาง ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
ชุยตงซานพยักหน้าเอ่ยชื่นชม “เด็กที่สามารถสั่งสอนได้ อนาคตยาวไกลไร้ขีดจำกัด”
จากนั้นชุยตงซานก็ยกชายแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้น โบกไล่กลิ่นเครื่องประทินโฉมของสตรีที่วนเวียนอยู่รอบกายเนิ่นนานไม่จางหายทิ้งไป จุ๊ปากเอ่ย “พวกท่านทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกตนเซียนดินที่มีปณิธานยิ่งใหญ่ ต้องทำตัวให้สะอาดสำรวมเข้าไว้นะ ต้องรู้จักอบรมบ่มเพาะตัวเองให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ฝึกตนหญิงบนทำเนียบ ดื่มเหล้าเคล้านารีให้น้อยหน่อย ทำสงครามเทพเซียนให้น้อยหน่อย เก็บออมแรงเอาไว้บ้าง สะสมชื่อเสียงอันดีงาม ไม่อย่างนั้นคนหนึ่งคือว่าที่ราชครูต้าฉงในอนาคต คนหนึ่งคือว่าที่เจ้าประมุขรุ่นที่แปดของพรรคชิงจ้วน ภาพจำที่ใหญ่ที่สุดที่มอบให้กับคนนอกกลับมีแต่ภาพกลุ่มบุปผานารี แบบนี้ไม่ค่อยเข้าท่าแล้ว บนภูเขาของใบถงทวีปทุกวันนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็กมาก เรื่องดีไม่ออกจากบ้าน คำพูดเลวร้ายแพร่ไปไกลได้พันลี้”
ไต้หยวนเหลือบตามองจางหลิวจู้ จางหลิวจู้นั่งตัวตรงอยู่ที่เดิม สายตามองตรงไม่ลอกแลก
ชุยตงซานยกนิ้วข้างหนึ่งขึ้น ชี้ๆ จิ้มๆ ไปที่เซียนดินทั้งสองท่าน “อาจารย์กับข้าไม่ต้องการให้แขกผู้สูงศักดิ์ของภูเขาบ้านตัวเองในอนาคตเป็นวีรบุรุษที่ชอบคลุกคลีอยู่ในดงผงเครื่องประทินโฉม เกลือกกลั้วอยู่ในกระโจมชวนรักชวนฝันและสยบอยู่เบื้องใต้กระโปรงสีทับทิมหรอกนะ”
จางหลิวจู้ขุ่นเคืองเล็กน้อย ในใจสบถด่าว่าไต้หยวนเจ้าทำให้ข้าเดือดร้อน!
ก่อนจะรู้จักกับไต้หยวน ข้าผู้อาวุโสขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มานะในการฝึกตน ไหนเลยจะรู้จักผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบ เทพธิดาผายลมสุนัขอะไร
ชุยตงซานปรบมือ ยิ้มเอ่ย “ก็เหมือนอย่างที่จางอันดับหนึ่งพูดเมื่อครู่นี้ พวกเราสามคนควรร่วมแรงร่วมใจ ร่วมมือกันอย่างจริงใจดีไหม?”
จางหลิวจู้และไต้หยวนต่างก็ลุกขึ้นคารวะ พูดจามั่นเหมาะน่าเชื่อถือ ขาดก็แค่ไม่ได้สาบานต่อฟ้าเท่านั้น
สุดท้ายชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ หัวเราะหน้าทะเล้น “ข้าเองก็จะวาดงูเติมขาเลียนแบบจางอันดับหนึ่งดูบ้าง ปิดประตูลงแล้วก็พูดจาภาษาคนกันเอง หากพวกเจ้าสองคนกล้าทำผิดแล้วผิดอีก วันใดทำให้อาจารย์ของข้าต้องผิดหวัง ข้าจะซ้อมพวกเจ้าปางตายเสียก่อน แล้วค่อยทำให้พวกเจ้าเข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย”
ก่อนที่ชุยตงซานจะออกมาจากภูเขาเซียนตู อาจารย์ของเขาเคยถามคำถามที่น่าสนใจมากข้อหนึ่ง
หากได้รับการอนุญาตอย่างลับๆ จากเหวยอิ๋งเจ้าสำนักกุยหยก ให้ผลประโยชน์ล่อลวงใจที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร จางไต้สองคนก็จะติดตามเหวยอิ๋งเหมือนกัน อีกทั้งยังยอมปรนนิบัติรับใช้อย่างถวายหัวเลยหรือไม่
ชุยตงซานพยักหน้าบอกว่าใช่
ไต้หยวนใช้สายตาสอบถาม เจ้าหมอนั่นไปแล้วหรือยัง?
จางหลิวจู้ใช้สายตาตอบกลับ เจ้าถามข้าผู้อาวุโสแล้วข้าผู้อาวุโสจะถามใคร ถามชุยเซียนซือที่สมองมีรูผู้นั้นหรือ?
ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองพี่น้องจะทำอย่างไรกันดี? ยืนบื้ออยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องนนะ
ไม่สู้ลองอ่านสมุดเล่มนั้นดู?
เซียนดินสองคนที่ยิ่งนานก็ยิ่งรู้ใจกัน อย่าว่าแต่คำพูดจากปากเลย ไม่ต้องใช้เสียงในใจสื่อสารกันด้วยซ้ำก็พากันนั่งลง ก้มหน้าอ่านตำราในเวลาเดียวกัน
อารามจีชุ่ยแห่งนั้น เจินเหรินผู้เฒ่าเหลียงส่วงหันหน้าไปมองตรงลานบ้าน ชุดขาวชุดหนึ่งคล้ายกับผุดออกมาจากใต้ดิน พอเห็นหลวี่ปี้หลงราชครูหญิงคนนั้นก็ร้องว่า “โอ้ เจินเหรินผู้เฒ่าเพิ่งจะรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดก็หาคู่บำเพ็ญตนอีกแล้วหรือ”
เหลียงส่วงเพียงแค่ทำเป็นหูทวนลม หรือว่าซิ่วหู่ชุยฉานผู้นั้น ตอนเป็นเด็กหนุ่มก็มีนิสัยหน้าไม่อายเช่นนี้ด้วย? วันหน้าต้องกลับไปถามเสี่ยวจ้าวสักหน่อยแล้ว
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ เดินก้าวยาวๆ เข้าไปในห้อง นั่งลงตรงข้ามกับนักพรตหญิงหม่าเซวียนฮุย จ้องเขม็งไปที่หลวี่ปี้หลงที่มีฉายาว่าหม่านเยว่ผู้นั้น
ตามบันทึกลับของราชวงศ์สกุลอวี๋ หลวี่ปี้ฮุยเจินเหรินผู้พิทักษ์ นางถือว่ามีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนทำเนียบครึ่งตัวแล้ว เคยฝึกตนอยู่ในอารามเต๋าของแคว้นเล็กที่ชื่อเสียงไม่เลื่องลือ เพราะเป็นคนที่ไร้กิเลสไร้ปรารถนา แสวงหาเพียงความจริง เป็นเหตุให้ฝึกตนจนได้เป็นขอบเขตก่อกำเนิด นางถึงได้เริ่มออกจากบ้านเดินทางไกล ตอนที่เดินทางผ่านเมืองหลวงของราชวงศ์สกุลอวี๋ ได้เห็นว่าอารามจีชุ่ยคือพื้นที่มงคลที่มีปราณเต๋าเข้มข้น จึงมาหยุดพักเท้าอยู่ที่นี่ ได้รับทำเนียบเต๋าที่ราชสำนักแต่งตั้งให้ แต่กระนั้นก็ยังไม่ยินดีจะเปิดเผยขอบเขต รอกระทั่งกลียุคมาเยือน นางไม่ยินดีจะมองเห็นชะตาแคว้นของราชวงศ์สกุลอวี๋ขาดสะบั้นคาตาไปจริงๆ ถึงได้ฝืนเจตจำนงเดิม เป็นฝ่ายละทิ้งการฝึกตนที่เงียบสงบที่ตัวเองคุ้นเคยไป พาตัวมาอยู่ท่ามกลางคนมากมาย เป็นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น
ส่วนอารามเล็กในท้องถิ่น แน่นอนว่ามีอยู่จริง ในเอกสารของกรมพิธีการและอักขรานุกรมท้องถิ่นของแคว้นเล็กใต้อาณัติสกุลอวี๋มีบันทึกไว้อย่างชัดเจน ต่อให้อารามเล็กแห่งนั้นจะถูกทำลายอยู่ท่ามกลางไฟสงครามนานแล้วก็เชื่อว่าจะต้องมีชื่อของนักพรตหญิงคนหนึ่งนามว่า ‘หลวี่ปี้หลง’ อยู่อย่างแน่นอน
ราชครูหญิงรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก เพียงแต่ว่าเจินเหรินผู้เฒ่าที่สถานะสูงศักดิ์ก็อยู่ด้วย นางจึงไม่กล้าเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกไปแม้แต่น้อย
‘เด็กหนุ่ม’ คนหนึ่งที่กล้าเอ่ยสัพยอกเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดตัวเล็กๆ อย่างนางจะไปมีเรื่องด้วยได้อย่างไร
แค่ชุยตงซานเปิดปากก็ทำให้จิตแห่งมรรคาของหลวี่ปี้หลงสะท้านสะเทือน “ข้าได้ยินอาจารย์ของข้าบอกว่า อันที่จริงเจ้ามาจากสำนักว่านเหยาพื้นที่มงคลสามภูเขา เป็นหมากเม็ดหนึ่งที่เซียนเหรินหันอวี้ซู่ยัดมาไว้ที่นี่?”
“เวลานี้ยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอยู่หรือไม่ คิดว่าพอไปถึงสำนักศึกษาเทียนมู่ของพวกเรา หันอวี้ซู่จะช่วยไกล่เกลี่ยให้เจ้า? ยกตัวอย่างเช่นเจ้าสำนักหันจะสั่งให้บุตรสาวของเขาแอบอาศัยฮ่องเต้เฒ่าสกุลอวี๋ หรือไม่ก็ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่จะมาสืบทอดตำแหน่ง หาเหตุผลช่วยทำให้เจ้าหลุดพ้น จะได้ลดโทษที่สำนักศึกษาให้เบาลง ทางที่ดีที่สุดคือใช้ข้ออ้างว่าไถ่โทษ ทำให้เจ้าสามารถอยู่ต่อในเมืองลั่วจิงได้ ต่อให้ต้องสูญเสียสถานะของเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นไป แต่ก็พยายามรักษาตำแหน่งเจ้าอารามจีชุ่ยเอาไว้ ใช้เงินเก็บส่วนตัวของเจ้า สละสินเดิมไปไม่ต้องการ จากนั้นค่อยผลาญตบะอีกสองสามร้อยปี แต่ก็ต้องจัดพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายพิธีใหญ่หลายๆ ครั้งเพื่อทำความดีชดใช้ความผิดให้ได้?”
“อยากจะบอกว่าไม่เข้าใจว่าข้าพูดอะไรใช่ไหม?”
“ว่ามาเถอะ ชื่อจริงของเจ้าบนทำเนียบหยกทองของสำนักว่านเหยาคืออะไร? อย่าเห็นสำนักศึกษาเทียนมู่ของพวกเราเป็นคนโง่ ข้ายุ่งมาก ไม่มีเวลาว่างมาเล่นสนุกเป็นเด็กอยู่กับเจ้า”
ได้ยินเด็กหนุ่มชุดขาวเอ่ยคำว่า ‘สำนักศึกษาเทียนมู่ของพวกเรา’ คำแล้วคำเล่า
กระทั่งบัดนี้ ‘หลวี่ปี้หลง’ คนนี้ถึงได้รู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!