เจ้าอ้วนโคลงศีรษะ เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ทุกวันนี้ก็ดีมากแล้ว ติดตามอยู่ข้างกายเจ้าจงขุย ขอบเขตถดถอยก็ส่วนขอบเขตถดถอย อัดอั้นก็ส่วนอัดอั้น ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่า…”
พูดมาถึงตรงนี้ เจ้าอ้วนก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มตีอกชกตัวคร่ำครวญขึ้นมาอีกครั้ง “คิดไปคิดมา เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้วไม่เห็นจะดีกว่ากันเลยสักนิด”
จงขุยปิดหน้าตำราเบาๆ หันหน้าไปมองดวงจันทร์ที่อยู่ตรงขอบฟ้า พึมพำว่า “คำพูดเป็นสิ่งที่ประหลาดอย่างมาก เป็นหนึ่งคำกับหนึ่งคำ หนึ่งประโยคกับหนึ่งประโยคร้อยเรียงต่อกัน”
“แต่ก็เหมือนการปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่ข้างกระถางไฟ”
“คัมภีร์พุทธกล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีใจเมตตา ผืนนาหัวใจไม่มีหญ้าแห่งความไร้สติเติบโต ทุกหนทุกแห่งย่อมมีแต่ดอกไม้แห่งปัญญาเบ่งบาน”
“ในเมื่อเราได้ร่างกายมนุษย์มาแล้ว พระธรรมก็เคยได้ยินแล้ว ก็ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดี ไม่ต้องสนใจเรื่องที่ผ่านไปแล้ว”
เจ้าอ้วนเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของจงขุย ก่อนจะก้มหน้าลงขยับเขี่ยถ่านในกระถางอีกครั้ง
จงขุยตบไหล่เจ้าอ้วน พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “อวี่จิ่น พวกเราเป็นผีก็จริง แต่อย่าได้ปล่อยให้มีผีแฝงอยู่ในใจ”
เจ้าอ้วนเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แสยะปากยิ้ม “รู้แล้ว หากเห็นผีเหมือนเห็นคน ก็สามารถเห็นคนเหมือนเห็นพุทธองค์ เป็นเหตุให้การเห็นแจ้งความคิดจิตใจของตัวเอง เห็นจิตใจก็คือเห็นพุทธองค์”
จงขุยถลึงตากล่าว “ก็เข้าใจหลักการเหตุผลดีนี่นะ!”
คนทั้งสองเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนจะที่จงขุยจะเอ่ยว่า “ข้าสามารถช่วยเจ้าเก็บทรัพย์สมบัติกลับคืนมาได้ห้าส่วน”
เจ้าอ้วนกอดขาจงขุยทันที “ผู้มีพระคุณของข้า!”
ผลคือถูกจงขุยผลักหัวออกแรงๆ อย่างรังเกียจ
เจ้าอ้วนยกมือทำท่าเช็ดน้ำตา “จงขุย บอกจริงๆ นะ เจ้าเป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่งให้กับกว่าเหริน คิดจะรับตำแหน่งร้อยขุนนางบุ๋นบู๊ก็มากพอเหลือแหล่เลยล่ะ! ปีนั้นหากกว่าเหรินมีเจ้าคอยช่วยเหลือ อย่าว่าแต่เก็บขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปมาไว้ในกระเป๋าเลย แม้แต่เกราะทองทวีปที่อยู่ใกล้กันก็ต้องถูกกว่าเหรินชิงเอามาครองได้ด้วย”
คำพูดผายลมทำนองนี้ฟังจนหูฉ่ำหูแฉะแล้ว จงขุยแค่รู้สึกสงสัยใคร่รู้จึงถามว่า “แค่ช่วยทวงกลับมาให้เจ้าห้าส่วน เจ้าก็ต้องดีใจขนาดนี้เชียวหรือ? ผีสิงเจ้าหรืออย่างไร?”
หากว่ากันถึงระดับความหลงใหลในทรัพย์สินเงินทอง เจ้าอ้วนผู้นี้สามารถทัดเทียมกับเฉินผิงอันได้เลย ถึงขั้นที่ว่ายังมากกว่าด้วยซ้ำ
เพราะถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็แค่ชอบหาเงิน ความใจกว้างด้านการใช้เงินก็เป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน แต่เจ้าอ้วนผู้นี้กลับขี้เหนียวจนทำให้คนโมโหจนขนหัวตั้งชัน
อวี่จิ่นให้คำตอบประหลาดที่อยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ “ต้องดีกับเจ้าโง่บางคนสักหน่อย”
จงขุยยิ้มกล่าว “ทำไมถึงพูดเช่นนี้?”
อวี่จิ่นหัวเราะหึหึ “ลางสังหรณ์”
……
สำนักศึกษาเทียนมู่
ในห้องหนังสือขนาดเล็ก วิญญูชนสำนักศึกษาคนหนึ่งกำลังอ่านคดีลับคดีหนึ่งของสำนักศึกษา คือเรื่องที่ภูเขาเซียนตูกำลังจะก่อตั้งสำนัก ตั้งชื่อให้ว่าสำนักกระบี่ชิงผิง คือสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วแห่งแจกันสมบัติทวีป
ชุยตงซานเจ้าสำนักคนแรก นอกจากนี้ยังมีจ้งชิวที่มาจากพื้นที่มงคลดอกบัวของใบถงทวีป ส่วนผู้คุมกฎชุยเหวยและผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างอย่างหมี่อวี้ ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากคนเหล่านี้ที่ต้องมีการลงบันทึกแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ของสำนักเบื้องล่างก็ไม่จำเป็นต้องรายงานให้ทางสำนักศึกษาทราบอีก
เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ย “แขกที่หาได้ยาก”
หน้าประตูมีแขกมาเยี่ยมเยือน คือรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอู่ซี วิญญูชนหวังไจ่
แม้ว่าทุกวันนี้สหายรักสองคนที่นิสัยเข้ากันได้ดีอย่างเวินอวี้และหวังไจ่ต่างก็รับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา แต่อันที่จริงนับตั้งแต่หวังไจ่กลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังบ้านเกิด เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว วันนี้พวกเขาเพิ่งจะได้พบกันเป็นครั้งที่สอง
หวังไจ่มองห้องหนังสือที่เบียดเสียดยัดเยียด “ยังเป็นเหมือนเดิมจริงๆ”
ในห้องหนังสือนอกจากตำราแล้วก็คือตำรา ชั้นวางหนังสือมีหนังสือวางเต็มนานแล้ว บนพื้นก็มีภูเขาหนังสือลูกเล็กทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ เพียงแต่ว่า ‘ตรงตีนเขา’ จะต้องวางแม่พิมพ์ไม้ไว้ชิ้นหนึ่ง
แขวนกรอบป้ายเขียนด้วยอักษรเป็นคำว่า ‘มิอาจมีสติเพียงลำพัง’
นอกจากนี้ยังมีเทียบอักษรอัดเข้ากรอบแขวนไว้บนผนังอีกชิ้นหนึ่ง เป็นเนื้อหาที่คัดมาจากบทกวีบทหนึ่ง
‘ห้องข้าเล็ก แต่เงาของเจียวและมังกร (เปรียบเปรยถึงกิ่งก้านต้นสน) ด้านนอกแทรกซอนอยู่ท่ามกลางเสียงสายลมสายฝน’
ลายมือจริง!
นี่เป็นแค่สถานที่อ่านหนังสือที่เวินอวี้ไว้ใช้พักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่สถานที่สำหรับจัดการกิจธุระของสำนักศึกษา โดยทั่วไปแล้วเวินอวี้เองก็จะไม่รับรองแขกที่นี่ โชคดีที่ในห้องหนังสือจะต้องมีเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งอยู่เสมอ เพียงแต่บนเก้าอี้ก็วางตำราไว้ปึกใหญ่ เวินอวี้ไม่มีการตระหนักรู้ด้านการรับรองแขก หวังไจ่จึงได้แต่ลงมือด้วยตัวเอง ย้ายภูเขาหนังสือลูกเล็กนั่นออกไปแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ รองเจ้าขุนเขาที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางถอนหายใจยาวเหยียด “ตลอดทางมานี้เดินทางราบรื่น แต่กลับเหนื่อยกายเหนื่อยใจยิ่ง”
เวินอวี้รู้ว่าเหตุใดหวังไจ่ถึงได้ไม่นั่งเรือข้ามฟาก แม้จะบอกว่าสำนักศึกษาอู่ซีอยู่ทางทิศใต้ของทวีป แต่เรื่องราวมากมายไม่มีการแบ่งเส้นเขตแดนอย่างชัดเจน สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อไม่ใช่ภูเขาตระกูลเซียนพวกนั้นจึงไม่ได้ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าจะแย่งชิงอาณาเขตอะไร
เวินอวี้เอ่ยสัพยอก “พี่หมิงฉี การประชุมในศาลบุ๋นก่อนหน้านี้มีหน้ามีตามากเลยนะ อิจฉา อิจฉา”
หวังไจ่ นามหมิงฉี
หวังไจ่ยิ้มเอ่ย “หากเปลี่ยนเป็นเจ้าคงไม่มีทางกล้าไปดื่มเหล้าที่ร้านแน่”
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงหวังไจ่มักจะไปที่คฤหาสน์หลบร้อนบ่อยๆ เพียงแต่ว่าใต้เท้าอิ่นกวานในเวลานั้นยังเป็นเซียวสวิ้น นอกจากเซียนกระบี่สองท่านอย่างลั่วซานและจู๋อานแล้วก็มักจะได้เจอกับผังหยวนจี้บ่อยๆ
เนื่องจากหวังไจ่ไม่เพียงแต่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ด้วยโอกาสประเหมาะยังได้กลายเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าไพศาลที่ได้ทิ้งป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งเอาไว้ด้วย
ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง นอกจากประโยคว่า ‘ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความใจกว้าง ปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความเข้มงวด ใช้เหตุผลสยบผู้คน ใช้คุณธรรมพันธนาการตน ใต้หล้าสงบสุข ไร้เรื่องราวใดอย่างแท้จริง’
ช่วงท้ายหวังไจ่ยังเพิ่มตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันลงไปอีกบรรทัดหนึ่ง ‘ประพฤติตนมีเมตตากรุณา ขอแค่ยินดีทำ ความเมตตากรุณาก็จะมาสู่ตน หวังให้ผู้ที่ยินดีทำเช่นนี้ ไร้ความกลัดกลุ้มทุกข์ใจ’
ไม่ใช่ว่าหวังไจ่เขียนได้ดีมากเพียงใด แต่เป็นเพราะในสายตาของสำนักศึกษาสถานศึกษาและสำนักต่างๆ ของไพศาล การดำรงอยู่ของป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนี้ของหวังไจ่พิเศษมากเกินไป
เป็นข้อยกเว้น
ป้ายสงบสุขปลอดภัยสองแผ่นที่อยู่คู่กัน หวังไจ่จดจำได้อย่างชัดเจน
ป้ายหนึ่งในนั้นคือ ‘ความในใจ’ ของเซียนกระบี่จากเกราะทองทวีปคนหนึ่ง ‘เถ้าแก่รองผู้ไม่เคยหลอกหลวงใคร เฉินผิงอันผู้มีพฤติกรรมดื่มเหล้าเป็นเอกไร้ใครเทียม’
ป้ายอีกแผ่นหนึ่งคือ ‘สายเหวินเซิ่ง ความรู้ไม่ตื้นเขิน หนังหน้ายิ่งหนากว่า เถ้าแก่รองวันหน้ามาที่หลิวเสียทวีปของข้า จะเลี้ยงเหล้าดีๆ ที่แท้จริงให้แก่เจ้า’
คาดว่าสภาพการณ์ของคนผู้นี้ในเวลานั้นจะไม่ต่างจากหวังไจ่สักเท่าไร คือผู้ฝึกกระบี่แห่งไพศาลคนหนึ่งที่กำลังจะออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไปยังบ้านเกิด
หวังไจ่เหม่อลอยไปเล็กน้อย สีหน้าหม่นหมอง เวินอวี้เองก็ไม่ขัดจังหวะ รอกระทั่งหวังไจ่คืนสติกลับมา ก็มีใบหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง
อันที่จริงเมื่อครู่หวังไจ่อยากเอ่ยประโยคหนึ่งว่า เจ้าเวินอวี้คิดว่าป้ายสงบสุขพวกนั้นเขียนไว้ให้คนนอกอ่านหรือ?
ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกกระบี่ที่พูดกับตัวเอง
ล้วนเป็นคำสั่งเสีย!
เพียงแต่คำพูดมาถึงริมฝีปาก หวังไจ่กลับต้องกลืนมันกลับลงท้องไป
ต่อให้จะเป็นสหายที่ดีที่สุดอย่างเวินอวี้ หวังไจ่ก็ไม่ยินดีจะคุยเรื่องพวกนี้ เขาแค่ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้อะไร ตอนนั้นข้าต้องทำหน้าหนาเขียนป้ายสงบสุขปลอดภัยไปแผ่นหนึ่ง ต้องถูกคนพูดจาเหน็บแนมถากถางมากน้อยแค่ไหน ที่ร้านเหล้ามีคนเรียกข้าว่า ‘อริยะปราชญ์น้ำใส’ กับ ‘ใต้เท้าวิญญูชน’ แล้วยังถามข้าต่อหน้าด้วยว่าข้าใส่ยาพิษลงไปในเหล้าอีกหรือไม่ ยังมีคนแนะนำข้าว่าอย่าได้ทำร้ายเถ้าแก่รองอีกเลย บอกว่าต่อให้พฤติกรรมของเถ้าแก่รองจะย่ำแย่แค่ไหน เรื่องแบบนี้เขาก็ทำไม่ลงหรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!