เวินอวี้ถาม “เหตุเปลี่ยนแปลงที่เสี่ยวหลงชิว เจ้าน่าจะรู้แล้วกระมัง?”
หวังไจ่พยักหน้า “ได้อ่านรายงานจากทางสำนักศึกษาระหว่างที่เดินทางมาแล้ว”
เวินอวี้ยิ้มกล่าว “หากว่าเขาไม่ลงมือ ข้าก็คงจะต้องไปพูดคุยกับหลงหรานเซียนจวินผู้นั้นสักหน่อย จำต้องพูดว่า การถอนฟืนใต้กระทะครั้งนี้ทำได้งดงามยิ่ง สะใจยิ่งนัก!”
หวังไจ่ลุกขึ้นเอ่ย “ข้ายังมีธุระ ต้องไปหาเจ้าขุนเขาฟ่านสักหน่อย”
เวินอวี้โบกมือ “จำไว้ว่าอย่าได้หยิบอะไรติดไม้ติดมือไป เรื่องอย่างการเป็นโจรขโมยหนังสือนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สมควรทำยิ่งกว่าพับหน้าหนังสือเสียอีก”
หวังไจ่จากไปด้วยรอยยิ้ม เอาสองมือไพล่หลัง แสดงให้เห็นว่าตัวเองบริสุทธิ์ จากนั้นก็เดินเลียบ ‘เส้นทางภูเขาอันคดเคี้ยว’ ออกไปจากห้องหนังสือ ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตูห้อง เวินอวี้ยืดคอยาวออกมา พลันตะคอกอย่างเดือดดาล “หวังไจ่!”
หวังไจ่จึงได้แต่เดินย้อนกลับมาทางเดิม เอาตำราเล่มหนึ่งวางกลับไว้ที่เดิม เวินอวี้ลุกขึ้นโดยตรง ถลึงตาเอ่ย “ยังมีอีกสองเล่มนะ!”
หวังไจ่จึงหยิบหนังสืออีกสองเล่มออกมาจากขายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าว “เป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาแล้ว ขี้โมโหให้น้อยๆ หน่อยสิ”
เวินอวี้เอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “หากเปลี่ยนข้าที่ได้ไปอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ รับรองว่าเจ้าดื่มเหล้าไม่ต้องจ่ายเงิน”
“ไม่มีทาง”
หวังไจ่ยืนพิงกรอบประตู เอ่ยว่า “แต่หากว่าเจ้าไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นเถ้าแก่สามของร้านเหล้าก็เป็นได้”
เวินอวี้ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงถามอย่างใคร่รู้ว่า “พวกเจ้าสนิทกันขนาดนี้ เฉินผิงอันไม่ได้มอบตราประทับไว้ให้เจ้าสักอันเลยหรือ?”
หวังไจ่ยิ้มตาหยี “เจ้าเดาดูสิ”
ก้าวยาวๆ เดินจากไป
เงยหน้ามองฟ้า ดวงตะวันร้อนแรงส่องแสงจ้า บัณฑิตที่คิดว่าตัวเองไม่เคยสร้างคุณความชอบแม้แต่น้อยไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “คนเดินบนทางดินโคลนไม่เหนื่อยหน่าย วีรบุรุษสังหารโจรไม่บันทึกลงตำรา ผู้กล้าแท้จริงไม่สง่างาม ภูผาหินสูงตระหง่านเทียมขอบฟ้า”
“ที่แท้คือวิญญูชน!”
……
ท่าเรือเฮยเซี่ยน เถ้าแก่ร้านมีชื่อว่าอวี๋ฟู่ซาน ฉายาก็คือฟู่ซาน
อวี๋ฟู่ซานที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่ริมลำคลองหน้าประตูร้านตัวเอง กำลังตกปลาฆ่าเวลา
ยามกลางคืนคลื่นลมยังไม่สงบ บนและล่างมีดวงจันทร์ดวงใหม่สองดวง
เห็นนักพรตหญิงสะพายกระบี่คนหนึ่ง รูปโฉมงดงามจริงแท้ รู้สึกเพียงว่าสตรีที่ถูกใจตัวเองที่สุด เกรงว่านับแต่คืนนี้ไปน่าจะต้องไปอยู่ในอันดับที่สองแล้ว
คิดไม่ถึงว่าพอนักพรตหญิงคนนั้นขยับเข้ามาใกล้จะพูดเข้าประเด็นทันที “ข้าชื่อหวงถิง ได้ยินมาว่าเจ้ายินดีจะไปฝึกตนอยู่ที่ภูเขาไท่ผิง?”
ก่อนหน้านั้นก็มีลูกค้าสวมงอบสวมเสื้อกันฝนคนหนึ่งมาเยือน แล้วก็เคยพูดคุยเรื่องนี้กันจริงๆ
เพียงแต่ว่ารอกระทั่งหวงถิงเดินมาอยู่ตรงหน้า อวี๋ฟู่ซานก็ให้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
หวงถิงเห็นเขาลังเล คิดดูแล้วคงมีความลำบากใจ จึงเอ่ยว่า “ไม่บังคับ”
นางทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วก็เตรียมจะขี่กระบี่จากไป อวี๋ฟู่ซานรีบโยนคันเบ็ดตกปลาทิ้ง พูดอย่างหนักแน่นว่า “ไป! ทำไมจะไม่ไปเล่า!”
หวงถิงยืนอยู่ที่เดิม
อวี๋ฟู่ซานจึงได้แต่หยุดยืนนิ่งด้วยความสงสัย นางเตรียมจะบอกกฎบางอย่างของภูเขาให้เขาฟังหรือ?
หวงถิงชี้ไปยังร้านที่ประตูเปิดอ้า “ไม่สนแล้วรึ?”
อวี๋ฟู่ซานโบกมือเป็นวงกว้าง “ล้วนเป็นของนอกกาย”
หวงถิงถอนหายใจ เหตุใดถึงได้รู้สึกว่านางได้ตัวนายท่านคนหนึ่งที่ดีแต่ใช้เงินไม่รู้จักหาเงินมากันนะ
บนภูเขาลั่วพั่ว
แม้จะบอกว่าชุยตงซานพูดคุยกับจิตรกรเอกบางท่านของแผ่นดินกลางเรียบร้อยแล้ว แต่จูเหลี่ยนที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็ยังใช้สองมือถือพู่กันมือละด้าม ซ้ายขวาตวัดขีดเขียนพร้อมกัน กำลังวาดภาพเหมือนของคนคนหนึ่ง
ใช้ลายเส้นเล็กบางวาดเป็นเค้าโครง บุคคลในภาพวาดเริ่มปรากฏชัดเจนให้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง
ชุดเขียวสะพายกระบี่
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่เป็นประกายน่าจับจ้องมากเป็นพิเศษ
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ ถาม “แบบนี้ได้ไหม?”
คนจิ๋วดอกบัวนอนคว่ำอยู่ข้างแท่นฝนหมึกบนโต๊ะวาดภาพพยักหน้ารับอย่างแรง คงรู้สึกว่ายังแสดงความจริงใจได้ไม่มากพอจึงลุกขึ้นนั่ง ปรบมือแรงๆ จริงจัง
ในพื้นที่มงคลรากบัว เพ่ยเซียงแห่งแคว้นหูมาหาเจียวน้ำหงเซี่ย
เพ่ยเซียงขมวดคิ้วน้อยๆ บนใบหน้ามีความกลัดกลุ้ม “งานพิธีของสำนักเบื้องล่างครั้งนี้ไม่ได้เชิญพวกเรา เป็นเพราะเจ้าขุนเขามีความเห็นบางอย่างเลยคิดจะฉวยโอกาสนี้มาตีกระทบพวกเราหรือไม่?”
ก่อตั้งสำนักเบื้องล่าง เป็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงใด
นางกับหงเซี่ยที่แม้ขอบเขตจะไม่สูง แต่จะดีจะชั่วพวกนางก็เป็นสมาชิกของศาลบรรพจารย์สำนักเบื้องบนเชียวนะ
ความคิดของหงเซี่ยไม่ได้มีมากมายเหมือนเจ้าแห่งแคว้นหูท่านนี้ เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าขุนเขาต้องมีการพิจารณาและไตร่ตรองเป็นของตัวเองแน่นอน”
บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำบนภูเขาแห่งหนึ่งของใบถงทวีป
“เจ้าโจรเจียงไปขโมยขี้ไก่ที่ไหนอีกแล้ว?”
“เริ่มคิดถึงเปิงเลอะเจินจวินขึ้นมาบ้างแล้ว”
“ไม่มีเปิงเลอะเจินจวินคอยด่าเจ้าโจรเจียง ช่างเป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ”
“ได้ยินมาว่ามีเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งจากแจกันสมบัติทวีปที่ถึงกับได้เป็นอิ่นกวาน”
“อิ่นกวานคือขุนนางตำแหน่งอะไร? เป็นขุนนางอยู่ที่ไหน?”
“ถือเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่ที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว”
“โอ้โห ถ้าเจ้าโจรสุนัขเจียงเจอกับคนผู้นี้ จะไม่ต้องทุ่มชีวิตแก่ๆ สุดตัวเลยหรอกหรือ?”
“ก็เพราะว่าไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน ย่อมไม่มีทางมาคลุกคลีตีโมงกันได้”
“เป็นคนอย่าเอาแต่ด่าเจียงซ่างเจิน ควรจะทำความเข้าใจเรื่องของใต้หล้าบ้างไม่มากก็น้อย”
ริมหน้าผาสำนักซานไห่ ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมา แม่นางน้อยคนหนึ่งที่มีชื่อเล่นว่าเชิงฮวาเดินถือร่มอยู่ริมทะเลเพียงลำพัง มองไปยังผืนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
แม่นางน้อยทรุดตัวลงนั่งยอง คล้ายกับว่าหลบอยู่ในร่มกระดาษน้ำมัน เหม่อมองไปยังทิศไกล
ได้ฟังพี่หญิงชุ่ยพูดถึงหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง
ความชอบมากเป็นพิเศษที่ไม่ได้เปิดปากพูดออกไป ก็เหมือนซากวาฬที่จมลงน้ำไปอย่างเงียบเชียบ
อันที่จริงแม่นางน้อยไม่ค่อยเข้าใจนัก แค่ฟังแล้วรู้สึกเศร้านิดๆ
บนเรือข้ามฟากเฟิงยวน หมี่ลี่น้อย ไฉอู๋ ป๋ายเสวียน ซุนชุนหวัง สี่คนนี้ไม่เพียงแต่สนิทสนมกันมาก ยังเหมือนว่าจะมีความรู้ใจกันอย่างถึงที่สุด พอมีเวลาว่างจะต้องมาจับกลุ่มอยู่รวมกันที่ห้องของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา
สุราของไฉอู๋ ทุกวันนี้ก็เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาที่เป็นคนดูแล
เหมือนอย่างซุนชุนหวัง แม้ว่าในสายตาของป๋ายเสวียนแล้วนางยังคงเป็นแม่นางน้อยตาปลาตายอยู่เหมือนเดิม ทั้งยังไม่ชอบดื่มเหล้า แล้วก็ไม่เข้าใจการดื่มชา แต่เวลาว่างจากการฝึกกระบี่ก็มักจะมานั่งอยู่กับไฉอู๋ แต่อันที่จริงต่อให้มานั่งอยู่ด้วย นางก็ไม่กล้าคุยอะไรกับไฉอู๋ เว้นเสียจากว่ามีผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาอยู่ด้วย ตาปลาตายถึงจะแทะเมล็ดแตง พอมีความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นก็นั่งทื่อมะลื่ออยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อนราวกับผีตัวหนึ่ง พูดน้อยยิ่งกว่าเจ้าใบ้น้อยที่ร้านยาสุ้ยเสียอีก
วันนี้คนทั้งสี่มารวมตัวกันอีกครั้ง ร่วมกันปรึกษาถึงงานใหญ่
ไม่ทันระวังก็คุยกันไปถึงการฝึกตนที่น่าเบื่อหน่าย ป๋ายเสวียนก็เริ่มใช้น้ำเสียงของผู้อาวุโสสั่งสอนไฉอู๋ที่ตอนนี้ขอบเขตต่ำสุดอีกครั้ง
ไฉอู๋ดื่มเหล้าไปอึกใหญ่ก็พูดอย่างมีเหตุผลว่า “อาจารย์เสี่ยวโม่กับเจ้าสำนักชุยต่างก็บอกกับข้าว่าไม่ต้องรีบร้อนฝ่าทะลุขอบเขต”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!