พอได้พูดคำว่า ‘เสี่ยวตง’ นักพรตเนิ่นก็ให้สะทกสะท้อนใจ หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตนก็เคยไล่ตาม ‘เสี่ยวต่ง’ ที่เดินทางผ่านขุนเขาใหญ่แสนลี้เหมือนกัน
หลี่ไหวตบโต๊ะ นักพรตเนิ่นหุบปากฉับทันใด หรือว่าตนจะพูดผิดไป?
หลี่ไหวยกนิ้วโป้งขึ้น “สุ่ยจิ่ง อร่อย! เอามาอีกสองชาม”
มองออกว่าต่งสุ่ยจิ่งมาที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เป็นประจำ รอให้หลี่ไหวกินเกี๊ยวน้ำหมดไปอีกชาม ต่งสุ่ยจิ่งก็ก่อไฟขึ้นมากระถางหนึ่งเรียบร้อย นั่งยองอยู่ด้านข้าง ปิ้งเผือกย่างบ๊ะจ่างรอแล้ว
กระตุกเชือก ลอกใบไม้ที่ห่อบ๊ะจ่างออก ในมือต่งสุ่ยจิ่งก็มีบ๊ะจ่างที่ถูกย่างจนเป็นสีเหลืองทอง หลี่ไหวมองจนรู้สึกหิวขึ้นมาอีก แย่งเอาบ๊ะจ่างมา บิครึ่งแบ่งให้นักพรตเนิ่น
ต่งสุ่ยจิ่งจึงได้แต่ลอกเปลือกบ๊ะจ่างลูกใหม่อีกลูก คนทั้งสามนั่งล้อมกระถางไฟกัน ต่งสุ่ยจิ่งเอ่ยเสียงเบา “สามีของเจ้าคนมัดผมแกละ เปียนเหวินเม่าเพิ่งจะมารับหน้าที่เป็นเซวี๋ยเจิ้งที่ฉู่โจวของพวกเรา แต่ว่าไม่ได้เลื่อนตำแหน่งขุนนาง ถือว่าย้ายจากเมืองหลวงมาทำงานนอกสถานที่ เพียงแต่ว่าตำแหน่งขุนนางน้ำใสทั้งยังสูงศักดิ์อย่างเซวี๋ยเจิ้งที่ราชสำนักต้าหลีเพิ่งก่อตั้งได้แค่ไม่กี่ปีนี้ คนทั่วไปมิอาจคว้ามาครองได้ ปกติแล้วจะต้องเป็นขุนนางเก่าแก่ของหกกรมในเมืองหลวงที่มาจากสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินเท่านั้น ไม่มีหวังจะเลื่อนขั้นขุนนางแล้ว ก่อนที่จะลาออกจากวงการขุนนางกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด ฮ่องเต้จะจงใจประทานตำแหน่งนี้ให้กับขุนนางบุ๋นเป็นพิเศษ เดิมทีเซวี๋ยเจิ้งก็ไม่มีระดับขั้น ก็เหมือนอย่างเขตหลิงโจว ฉิงโจวสองแห่งที่อยู่ในอาณาเขตของเมืองหลวงสำรองที่ก็ให้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าของกรมโยธาท่านหนึ่งและซื่อชิงท่านหนึ่งของศาลหงหลูเป็นผู้ดูแล ทุกวันนี้หัวหน้าของเปียนเหวินเม่าคือซื่อเฉิงแห่งศาลกวงลู่ ตำแหน่งเซวี๋ยเจิ้งของฉู่โจวสี่ปีจะครบวาระ กลับไปเมืองหลวงก็น่าจะได้เป็นเส้าชิงของศาลกวงลู่แล้ว (ศาลกวงลู่คือระบบอย่างหนึ่งในสมัยโบราณ ตำแหน่งขุนนางคือชิง เส้าชิงและเฉิง ดูแลเรื่องอาหารในงานเซ่นไหว้ การประชุมในท้องพระโรง งานเลี้ยง ฯลฯ) ในอนาคตความเป็นไปได้ที่จะได้ดูแลศาลกวงลู่มีไม่มาก น่าจะถูกโยกย้ายให้ไปรับตำแหน่งเท่าเดิมในที่ว่าการหกกรม หรือไม่ก็ให้ไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวงสำรอง สะสมไปทีละนิดจนกระทั่งไปถึงตำแหน่งหนึ่ง สุดท้ายได้รับยศมหาบัณฑิตที่ลำดับรายชื่อรั้งท้าย ในอนาคตมีหวังว่าจะได้รับสมญานามที่ไม่เลว ส่วนเรื่องการที่จะได้ไปเสวยสุขในศาลบูรพกษัตริย์นั้นก็ช่างเถิด ตัวเปียนเหวินเม่าเองยังไม่กล้าคิดไปถึงขั้นนี้เลย”
หลี่ไหวกินบ๊ะจ่าง สีหน้าเหลอหรา “หา?”
นักพรตเนิ่นทอดถอนใจ
เสี่ยวต่งพูดจ้ออยู่ตั้งนาน คุณชายของตนตอบรับกระชับเรียบง่ายแค่คำเดียวก็เพียงพอแล้ว
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มเอ่ย “เจ้าคือนักปราชญ์ของสำนักศึกษา ตามกฎใหม่ของศาลบุ๋น วันหน้าย่อมเลี่ยงการจะไปมาหาสู่กับราชสำนักต้าหลีไม่ได้ เรื่องในวงการขุนนางที่มองดูเหมือนยิบย่อยน่าเบื่อพวกนี้ ช้าเร็วก็ต้องได้สัมผัส”
วงการขุนนางต้าหลีในทุกวันนี้มีการโยกย้ายเกิดขึ้นถี่ครั้ง จากเมืองหลวงไปยังท้องถิ่น ถนนหนทางมีคนสัญจรขวักไขว่ พูดถึงแค่พวกลูกพี่ใหญ่ในอำเภอและเขตที่อยู่ในเขตของจังหวัดฉู่โจวใหม่ก็แทบจะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่กันหมดแล้ว
อู๋ยวนรับหน้าที่เป็นผู้ว่าจังหวัด ปีนั้นตอนที่รับตำแหน่งอยู่ในอำเภอไหวหวงต้องออกจากตำแหน่งไปอย่างหม่นหมอง ครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการแว้งกลับมาเอาคืนอย่างงดงาม
ส่วนเว่ยหลี่ผู้ว่าจังหวัดหลงโจวคนก่อนที่มีชาติกำเนิดจากขุนนางบุ๋นแคว้นหวงถิง ทุกวันนี้ไปรับหน้าที่เป็นเจ้ากรมพิธีการที่เมืองหลวงสำรองของต้าหลีต่อ
เฉาเกิงซินที่ก่อนหน้านี้เป็นขุนนางหลักของจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาก็ยิ่งเปลี่ยนจากเป็นขุนนางผู้ตรวจการหลงโจวไปเป็นรองเจ้ากรมฝ่ายขวากรมโยธาเมืองหลวงแห่งที่สอง จากนั้นเลื่อนขั้นไปเป็นรองเจ้ากรมขุนนางของเมืองหลวงต้าหลี ได้อยู่ในตำแหน่งใจกลางสำคัญของราชสำนัก
ส่วนหยวนเจิ้งติ้งได้เป็นใต้เท้าผู้ว่าของหงโจวเพื่อนบ้านที่อยู่ทางเหนือ
จิ่งควนเจ้าเมืองคนใหม่ของเขตการปกครองเป่าซีจังหวัดฉู่โจวเคยเป็นหลางจงของกองชิงลี่กรมคลังเมืองหลวง ดูแลกระเป๋าเงินของจังหวัดสามแห่งซึ่งมีจังหวัดหงโจวเป็นหนึ่งในนั้น
แต่อันที่จริงในหลายๆ ครั้ง คนเชื่อดาบสำนักโม่ที่ต้องปิดบังอำพรางตัวตนอย่างต่งสุ่ยจิ่งก็ยังรู้สึกอิจฉาหลี่ไหวที่สามารถปล่อยตัวลอยไปตามกระแสคลื่น หรือควรจะพูดว่าพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่?
หลี่ไหวเอ่ยอย่างใจฝ่อ “ข้ารู้ว่าจ้าวเหยาที่เป็นสหายร่วมเรียนของพวกเรา ทุกวันนี้รับหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมอาญาของต้าหลี”
“ยังมีอู๋ยวนขุนนางผู้เป็นดุจบิดรมารดาในอำเภอเมื่อก่อน ทุกวันนี้กลับมาที่นี่ก็รับหน้าที่เป็นใต้เท้าผู้ว่าของจังหวัดฉู่โจวใหม่แล้ว”
“นอกจากนี้ผู้ตรวจการเฉาที่ชอบดื่มเหล้าไม่ชอบไปขานชื่อผู้นั้น เมื่อหลายปีก่อนก็เหมือนว่าจะโยกย้ายไปรับตำแหน่งขุนนางใหญ่ที่กรมขุนนางในเมืองหลวงแล้ว?”
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มถาม “แล้วอย่างไรอีก?”
หลี่ไหวถอนหายใจ “ไม่มีแล้ว”
นักพรตเนิ่นช่วยพูดทวงความเป็นธรรมให้ “ไยคุณชายจะต้องไปพัวพันกับกิจธุระล่างภูเขาที่เกี่ยวพันกับทางการพวกนี้ด้วย?”
หลี่ไหวส่ายหน้า “ต้าหลีของพวกเราไม่เหมือนที่อื่น”
ไม่ว่าตำแหน่งนักปราชญ์นี้ของตนจะหล่นมาจากฟ้าอย่างไร แล้วหล่นมากระแทกหัวของตนได้อย่างไร แต่ในเมื่อเป็นนักปราชญ์แล้ว หลี่ไหวก็ไม่ยินดีจะทำได้แย่กว่าคนอื่นมากนัก
ตอนเด็กระหว่างที่เดินทางไปขอศึกษาต่อ ยามค่ำคืนที่ต้องนอนค้างแรมในชานป่ารกร้าง เฉินผิงอันช่วยดูต้นทางให้ เขาเคยพูดความในใจบางอย่างกับหลี่ไหว ทุกวันนี้เขาจำได้ไม่ค่อยชัดเจนแล้ว หลี่ไหวแค่จำความหมายคร่าวๆ ได้ บอกว่าคนคนหนึ่งตอนที่ยังเล็ก ในช่วงเวลาที่มีเพียงการเรียนหนังสือเท่านั้นที่พอจะทำได้ ไม่กลัวว่าจะจดจำหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในตำราพวกนั้นไม่ได้ กลัวก็แต่ว่าแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ยินดีจะทำให้ดี ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเดินออกจากห้องหนังสือไปก็ไม่ต้องอ่านหนังสืออีกแล้ว เพราะง่ายมากที่จะทำเรื่องถัดไปได้ไม่ดี
ตอนนั้นหลี่ไหวบอกว่า ก็ข้าไม่เหมาะจะเรียนหนังสืออย่างไรล่ะ เฉินผิงอันจึงพูดว่า เขาเองก็ไม่เหมาะจะเผาเครื่องปั้นเหมือนกัน เรียนรู้อะไรได้ช้าเกินไป มือมักจะตามไม่ทัน แต่มีเพียงความพยายามเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสทำเรื่องถัดไปได้ดียิ่งกว่าเดิม
นักพรตเนิ่นรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “คุณชายถ่อมตัวเช่นนี้ ไยต้องกลัดกลุ้มว่าจะทำการใหญ่ไม่สำเร็จ”
ไม่ใช่ว่าเถาถิงไม่มีความกล้าหาญอะไรจริงๆ แต่เป็นเพราะเฒ่าตาบอดผู้นั้นป่าเถื่อนเกินไป
ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้เดินทางไกลมาปกป้องมรรคาให้กับหลี่ไหว เฒ่าตาบอดก็ได้ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้ให้กับเถาถิง หากว่าลูกศิษย์ของข้าได้รับความตกอกตกใจแม้เพียงน้อย ข้าจะตัดขาที่ห้าของเจ้าให้ขาด
นักพรตเนิ่นที่น่าสงสาร ทุกวันนี้กลัวก็แต่ว่าวันใดหลี่ไหวจะไม่ระวังดื่มชาร้อนจนลวกปากหรือไม่ ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง เป็นผู้ปกป้องมรรคามาได้จนถึงขั้นนี้ ไม่พูดว่าต่อจากนี้จะไม่มีใครทำได้ แต่ก่อนหน้านี้ต้องไม่เคยมีใครได้ทำมาก่อนแน่นอน
ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าเฒ่าตาบอดจะยังไม่หายห่วงหลี่ไหว แม้จะอยู่ไกลถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าใช้เวทลับบรรพกาลอะไร ถึงกับสามารถเข้ามาในความฝันของหลี่ไหวได้โดยตรง จากนั้นก็กระชากขอบเขตบินทะยานอย่างเถาถิงให้เข้าไปอยู่ในความฝัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!