นักพรตน้อยกอดไม้กวาดไว้ในอ้อมอก เงียบงันไปเนิ่นนาน รู้สึกเพียงว่าเรื่องเล่าของนักพรตผู้นี้ช่างมีสีสันน่าสนใจ ไม่มีบัณฑิตกับปีศาจจิ้งจอก แล้วก็ไม่มีเจินเหรินขึ้นปะรำพิธีไปขับไล่เสนียดความชั่วร้าย ก็แค่ว่าออกจะประหลาดไปสักหน่อย ฟังดูแล้วไม่เลว แต่เขาก็ตัดใจเอาไปเล่าให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องฟังไม่ได้จริงๆ เพราะถึงอย่างไรตนก็ต้องจ่ายเงินตั้งสามอีแปะเชียวนะ สุดท้ายนักพรตน้อยก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่ “ท่านนักพรตมาจากไหนหรือ?”
ลู่เฉินยิ้มพลางโบกมือ “บอกตามตรง ข้าเก่งด้านดูลายมือมาก อาโหย่ว มา แบมือมา ข้าจะช่วยดูดวงให้เจ้า”
นักพรตน้อยเกิดระแวดระวังขึ้นมาทันที นี่คือคิดจะปล่อยสายเบ็ดยาวเพื่อตกปลาตัวใหญ่ สืบสาวราวเรื่องกันแล้วคือคิดจะหลอกเอาเงินจากข้าหรือ?
ลู่เฉินบ่น “ไม่เก็บเงิน!”
นักพรตน้อยถาม “พอท่านดูว่าลายมือไม่ดีก็จะเก็บเงินเพิ่ม เป็นการจ่ายเงินฟาดเคราะห์ใช่หรือไม่?”
ลู่เฉินสูดลมหายใจดังเฮือก สายเต๋าบ้านตนมีอัจฉริยะแบบนี้ได้อย่างไรกัน
วันหน้าติดตามตนไปตั้งแผงดูดวงก็ถือเป็นวัตถุดิบที่ดีชิ้นหนึ่งเลยนะ
นักพรตน้อยลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังมีสีหน้าหม่นหมอง กัดริมฝีปาก วางไม้กวาดลง เอ่ยอำลาท่านนักพรตด้วยการก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋า จากนั้นค้อมเอวลง มือทั้งสองหยิบที่ตักผงเอาใบไม้ร่วงไปเทยังจุดที่ห่างไปไกล
ลู่เฉินถอนหายใจ
เดิมทีเด็กน้อยอยากถามแซ่ของตน เพียงแต่ว่าคำพูดมารออยู่ที่ริมฝีปากแล้ว สุดท้ายก็ยังรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นนั้น
รอกระทั่งเด็กน้อยเทใบไม้ร่วงในที่ตักผงเสร็จ หันหน้าไปมอง นักพรตหนุ่มที่นั่งอยู่บนราวรั้วก็ไม่อยู่แล้ว
ลู่เฉินแอบมาถึงที่ธรณีประตูของตำหนักใหญ่ในอารามเต๋า ทั้งกวักมือทั้งโบกมือให้กับเจ้าอารามผู้เฒ่าที่สวมชุดคลุมเต๋ามอซอซึ่งกำลังนำพาเด็กทั้งกลุ่มท่องหนังสืออยู่ นักพรตเฒ่าเห็นเขาครั้งแรกก็แค่ยิ้มบางๆ พลางส่ายหน้า ท่องหนังสือต่อไป แต่พอหันมาเห็นเป็นครั้งที่สองว่านักพรตหนุ่มแปลกหน้ายังคงโบกมือแรงๆ อยู่ตรงธรณีประตู นักพรตเฒ่าก็ขมวดคิ้วน้อยๆ สายตาบอกเป็นนัยให้รู้ว่าตอนนี้ตนยังไม่ว่าง รอกระทั่งเห็นเป็นครั้งที่สาม เจ้าอารามผู้เฒ่าที่เป็นถึงเจ้าอารามแห่งหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนอย่างโมโห ก้าวยาวๆ ไปที่หน้าประตู เตรียมจะสั่งสอนอีกฝ่าย คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้มือหนึ่งจับชายแขนเสื้อ มือหนึ่งจับมือของตนแล้วตบเบาๆ
เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่ต้องก้มหน้า แค่ลองชั่งน้ำหนักดูก็รู้ เฮ้อ คือวัตถุสีทองสีขาวของล่างภูเขา ช่างเถิดๆ เพียงแต่ว่ามันออกจะเบาไปสักหน่อย
นักพรตหนุ่มควัก ‘เหรียญทองแดง’ ออกมาอีกหนึ่งกำมือ ยัดใส่มือเจ้าอารามผู้เฒ่าต่ออีกครั้ง ฝ่ายหลังก้มหน้าลงเล็กน้อย หลุบตาลงต่ำแล้วดวงตาก็พลันเป็นประกาย หืม?
ถึงกับเป็นเงินเกล็ดหิมะบนภูเขาสามเหรียญ?!
เจ้าอารามผู้เฒ่ารออยู่พักหนึ่ง เห็นว่าอีกฝ่ายไม่คลำชายแขนเสื้อแล้วก็กำหมัดเบาๆ บิดหมุนข้อมือเก็บเหรียญใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่ต้องมีบทสนทนา ลากอีกฝ่ายเดินไปยังทิศไกล ถามโดยตรงว่า “สหายรู้ได้อย่างไรว่า ‘อารามชิวหาว’ ของผินเต้ามีหนังสือรับรองส่วนตัวเหลืออยู่? กฎระเบียบของที่นี่ สหายเข้าใจหรือไม่?”
ความนัยในคำพูดก็คือ ถึงอย่างไรหนังสือรับรองส่วนตัวของอารามก็ไม่อาจเทียบกับหนังสือรับรองทางการของสำนักได้ ทุกวันนี้ราชสำนักต้าหลีควบคุมเข้มงวด การมอบโองการกันเป็นการส่วนตัว ในอนาคตเอาไปใช้ตั้งแผงข้างทางพอจะทำได้ แต่ยากจะเดินเข้าบ้านธรณีประตูสูง พูดง่ายๆ ก็คือคิดจะหลอกเอาเงินจากจักรพรรดิอัครเสนาบดีหรือชนชั้นสูงก็ยากแล้ว
นักพรตหนุ่มยิ้มอย่างรู้กัน “ไม่เข้าใจจะมาได้หรือ? ข้าแค่จะเอาไปโอ้อวดกับพวกคนที่ไม่เข้าใจเท่านั้นแหละ”
เจ้าอารามผู้เฒ่าทอดถอนใจ ยื่นสองนิ้วทำท่าขยี้เบาๆ “สหายเข้าใจกฎระเบียบแต่กลับไม่เข้าใจราคาตลาดนะ ต้องเพิ่มเงิน”
เจ้าอารามผู้เฒ่ากดเสียงลงต่ำอีกครั้ง “ตกลงกันไว้ก่อนว่า ไม่มีการคืนเงิน!”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “หากต้องเพิ่มเงินก็ช่างเถิด ข้าแค่มาปูทางให้กับอาโหย่วเท่านั้น”
นักพรตเฒ่าอึ้งตะลึง “เจ้าคือบิดาที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปีของอาโหย่วหรือ?”
ลู่เฉินหัวเราะหึหึ “เจ้าอารามลองเดาดูสิ”
นักพรตเฒ่ายังไม่ยอมปล่อยเจ้าคนที่มือเติบหลอกง่ายผู้นี้ไป เอ่ยโน้มน้าวต่ออีกว่า “สหายเจ้าก็น่าจะเข้าใจ อารามแห่งนี้ของผินเต้ามีขนาดเล็ก แต่รายชื่อลู่เซิงของทุกๆ สิบปีกลับไม่มีทางหนีไปไหนได้ นี่คือกฎที่ฉีเทียนจวินของพวกเราตั้งไว้นานแล้ว ถึงอย่างไรอาโหย่วก็อายุยังน้อย ในอารามยังมีศิษย์พี่กับอาจารย์อาอีกกลุ่มใหญ่ ต้องรอปีไหนถึงจะวนมาถึงคราวของเขาได้? ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์มีการทดสอบที่เข้มงวดมากเลยล่ะ ก็ไม่ใช่ว่าใครไปแล้วก็จะต้องได้ทำพิธีรับโองการ หากคนที่แนะนำไปไม่ผ่านการรับโองการ อีกสิบปีถัดมาก็จะเสียสิทธิ์นั้นไปแล้ว แต่ว่าในอารามชิวหาวแห่งนี้ล้วนมีแต่คนกันเอง ผู้ฝึกบำเพ็ญตนไม่ดูที่นิสัยใจคอว่าดีหรือร้ายแล้วจะต้องดูที่อะไร บรรพจารย์ได้ตั้งกฎเอาไว้ข้อหนึ่งบอกว่า ‘หากว่ามีคนที่คุณธรรมความดีเหนือเกินกว่าผู้ใด ผู้ที่ตบะสูงโดดเด่นก็จะสามารถแหกกฎมอบหนังสือรับรองให้ได้’ หากจะว่ากันจริงๆ อารามชิวหาวของพวกเรานั้นสามารถมอบโองการให้กันเองได้ แม้ว่าจะไม่ได้ล้ำค่าเท่าศาลบรรพจารย์ของสำนักก็จริง แต่สถานะลู่เซิงก็เป็นของจริงเหมือนกัน ถึงเวลานั้นบนศีรษะสวมกวานดอกบัว แล้วจะไม่ใช่นักพรตเจินเหรินได้อย่างไร? สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าผินเต้าพูดเอาเองส่งเดช สหายเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าเห็นว่านักพรตหนุ่มพยักหน้าอืมๆๆ แต่กลับไม่ยอมควักเงิน เขาก็ให้ร้อนใจนัก
ลู่เฉินมองเจ้าอารามผู้เฒ่าที่ชุดคลุมเต๋าถูกซักจนเริ่มซีดขาว แล้วก็มองไปยังความคิดจิตใจของเขาที่อยากจะทาทองทับให้เทวรูปของบรรพจารย์ดีๆ สักชั้น ตำหนักบรรพจารย์ก็ต้องซ่อมใหม่หมด ทำอย่างไรมีหน้ามีตาก็จะทำอย่างนั้น วันหน้าจะได้เอาไปโอ้อวดกับอารามทั้งหลายที่เป็นเพื่อนบ้านกัน ในอนาคตตอนที่จุดธูปกราบไหว้บรรพจารย์บ้านตนเอวก็จะได้ยืดตรงขึ้นได้หลายส่วน…ความคิดทั้งหลายนี้ของเขาทำเอาลู่เฉินไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่ว่าจะอย่างไร แม้อารามจะยากจนไปบ้าง แต่ขนบธรรมเนียมกลับไม่เลว
ลู่เฉินตบไหล่ของนักพรตเฒ่า ยิ้มเอ่ย “เอาล่ะๆ เลิกโอดครวญว่ายากจนกับข้าสักทีเถอะ ทำเอาบรรพจารย์อย่างข้าได้ฟังแล้วน้ำตาจะไหล วันหน้าเดี๋ยวข้าจะไปบอกฉีเจินสักคำ ให้เขาจัดงานพิธีรับโองการขึ้นมาโดยเฉพาะ มอบสถานะลู่เซิงที่จริงแท้แน่นอนให้กับอาโหย่ว…”
ได้ยินนักพรตหนุ่มพูดจาระยำไร้ความยำเกรง เจ้าอารามผู้เฒ่าก็โมโหจนยกหมัดต่อยลงบนหน้าอกของอีกฝ่าย “หุบปาก!”
ลู่เฉินขยับไปด้านข้างหลบหมัดนั้นมาได้ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกต่อยแล้วเสียหน้า แต่เป็นเพราะกังวลว่าหากหมัดนี้โดนตัวเขาจริงๆ จะไม่ดีต่อเจ้าอารามผู้เฒ่า ลู่เฉินยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มหน้าทะเล้นเอ่ยว่า “แค่นี้ก็เจรจาไม่สำเร็จแล้วหรือ? เอาเงินคืนข้ามา!”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหน้าเขียว ถอนหายใจ ทำท่าจะควักเอาเงินที่เข้ามาอยู่ในกระเป๋าแล้วออกมา แต่ปากกลับเอ่ยว่า “สหายขี้เหนียวจริงๆ”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ “อ้อ?”
นาทีถัดมา เจ้าอารามผู้เฒ่าก็ต้องขยี้ตาแรงๆ
นักพรตหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า บนศีรษะสวมกวานดอกบัว
และกวานดอกบัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักพรตตัวจริงหรือนักพรตตัวปลอมก็ไม่มีทางกล้าทำความผิดมหันต์เช่นนี้เด็ดขาด ใครจะกล้าปลอมแปลงกวานเต๋านี้ขึ้นมาโดยพลการ ยิ่งไม่กล้าสวมกวานนี้บนศีรษะตัวเองเดินโอ้อวดไปทั่ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่อารามชิวหาวยังอยู่ในอาณาเขตของสำนักโองการเทพ
เป็นเหตุให้นาทีถัดมา น้ำตาร้อนๆ เอ่อคลอดวงตาของเจ้าอารามผู้เฒ่า เขาซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด ถอยหลังไปหลายก้าว คุกเข่าลงพื้นเสียงดังตุ้บ แล้วก็เริ่มโขกศีรษะให้กับบรรพจารย์บ้านตน นักพรตเฒ่าริมฝีปากสั่นระริก พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ทรุดตัวหมอบอยู่กับพื้น น้ำตาอาบเต็มใบหน้า ถึงกับทนไม่ไหวส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังลั่น
หลายปีที่ผ่านมานี้ นับตั้งแต่ตนที่โง่เขลาคุณสมบัติย่ำแย่ได้มาเป็นเจ้าอารามคนปัจจุบัน จากนั้นผลักดันกันมาตลอดทาง เจ้าอารามแต่ละรุ่น ดูเหมือนว่าการฝึกตนตลอดชีวิตก็ฝึกได้แค่คำว่ายากจนตัวโตๆ ออกมาเท่านั้น ชีวิตช่างยากลำบากเหลือเกิน
ลู่เฉินทรุดตัวลงนั่งยอง ตบไหล่ของนักพรตเฒ่า ยากจนจนมีแต่กระดูกคลำไม่เจอเนื้อหนังแล้ว ยิ้มเอ่ยปลอบใจเสียงเบาว่า “รู้แล้วๆ ทุกคนต่างก็ไม่ง่ายเลย”
นักพรตเฒ่าร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างแท้จริง เนิ่นนานกว่าจะนึกขึ้นได้ว่าคนที่นั่งยองอยู่ข้างกายตนคือบรรพจารย์บ้านตน คือเจ้าลัทธิแห่งป๋ายอวี้จิง รีบเช็ดน้ำตา กำลังจะลุกขึ้น แต่เงยหน้าก็เห็นว่าบรรพจารย์นั่งลงบนพื้นแล้ว เจ้าอารามผู้เฒ่าจึงหดคอห่อไหล่นั่งลงบนพื้นข้างกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ลู่เฉินถึงได้ลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “ไปแล้วๆ จำไว้ว่ารอให้ฉีเจินกลับมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เจ้าก็ไปบอกกับฉีเจินว่า ทุกวันนี้อาโหย่วคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้าแล้ว ให้เขาตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไร”
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้ารับอย่างแรง ตาพร่าลายไปหนึ่งทีก็ไม่เห็นร่องรอยของบรรพจารย์บ้านตนแล้ว
ลู่เฉินเดินทางไกลข้ามทวีป ผ่านมหาสมุทรใหญ่ที่คั่นกลางระหว่างสองทวีปก็ก้มหน้าลง
ปลาแย่งชิงกันลงน้ำ คนแย่งชิงกันพิสูจน์มรรคา
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ดูเหมือนว่าจะเคยได้ยินการถามตอบกับหูตัวเองมาก่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!