หวงจงโหวได้ยินอย่างนี้กลับกลายเป็นว่าถอนหายใจโล่งอก ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นเหมือนฝันหวานที่แหลกสลาย ทำให้เขาไม่กล้าเชื่อว่าเป็นความจริง
“ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็ตามมาแล้ว เรื่องนี้จะแก้ไขอย่างไร?”
ลู่เฉินถามเองตอบเอง โยนกาเหล้าว่างเปล่าในมือออกไป กระทืบเท้าหนักๆ อีกหนึ่งที “ก็อยู่ในเหล้าสองกาของเจ้าหวงจงโหวนี่แหละ”
หากว่าหวงจงโหวมอบเหล้าให้แค่กาเดียว ภูเขาเมฆาเรืองย่อมไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แน่นอน
กาเหล้าที่ถูกโยนไปกลางอากาศกับกาเหล้าที่หล่นลงพื้นไปแล้ว หนึ่งลอยอยู่บนฟ้าอีกหนึ่งอยู่บนพื้นดิน เมื่อลู่เฉินกระทืบเท้า พริบตานั้นอาณาเขตของภูเขาเมฆาเรืองก็เกิดลมพัดหอบเมฆกระโชกแรง เห็นเพียงว่ากาเหล้าสองใบพลันขยายใหญ่เท่าขุนเขา คล้ายกับว่าในกาเหล้ามีอีกจักรวาลหนึ่ง ต่างก็มีกลิ่นอายแห่งมรรคาไหลพรั่งพรูออกมา สุดท้ายรวมตัวกันกลายเป็นรูปปลาหยินหยางที่ค่อยๆ ว่ายล้อมวนช้าๆ ปกคลุมอยู่รอบภูเขาเมฆาเรืองพอดี ต่อมาค่ายกลก็หล่นร่วงลงบนพื้น ประหนึ่งภาพวาดน้ำหมึกผืนยาวที่ปูแผ่ลงบนพื้นดิน ก่อนจะหายวับไปไม่เหลือร่องรอย
และภาพผิดปกติแห่งฟ้าดินที่ลมปราณกลืนกินขุนเขาสายน้ำนี้ได้เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก็หายไป
ภูเขาเมฆาเรืองทั้งลูก นอกจากหวงจงโหวที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ตระการตานี้แล้ว คนที่สามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติมีเพียงสองคน หนึ่งคือไช่จินเจี่ยนแห่งยอดเขาลวี่กุ้ย อีกหนึ่งคือเด็กน้อยคนหนึ่งที่เหม่อมองฟ้า อีกทั้งการที่คนทั้งสองสัมผัสได้ต่างก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขอบเขต แต่ขึ้นอยู่กับโชควาสนาเท่านั้น
ลู่เฉินชี้ไปที่มุมหนึ่ง ยิ้มเอ่ยกับหวงจงโหวว่า “เด็กคนนั้นคุณสมบัติไม่เลว ต่อให้ต้องแย่งชิงก็ต้องแย่งชิงมาอยู่ที่ยอดเขาเกิงอวิ๋นให้ได้ วันหน้าสามารถเอามาใช้งานใหญ่ได้ ตัวเลือกคนที่จะมาเป็นเจ้าขุนเขาภูเขาเมฆาเรืองคนถัดถัดไปของพวกเจ้าก็มีแล้ว”
ส่วนเจ้าขุนเขาภูเขาเมฆาเรืองคนถัดไป แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองแห่งยอดเขาเกิงอวิ๋นตรงหน้าผู้นี้
ลู่เฉินขยับไปสองสามก้าว ตบไหล่หวงจงโหว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนที่สามารถไม่สนใจการยุให้ดื่มเหล้าจากคนบางคนได้ แล้วยังข่มขู่คนบางคนว่าดื่มไปหนึ่งกาแล้วต้องอาเจียนออกมาสองกา มีไม่มากหรอกนะ อย่างมากสุดผ่านไปอีกร้อยปีเจ้าก็สามารถเอาเรื่องนี้ไปคุยโวกับคนอื่นได้ทั่วแล้ว”
ไม่รอให้หวงจงโหวคืนสติกลับมา นักพรตผู้นั้นก็หายไปไม่เหลือเงาแล้ว
หวงจงโหวรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ถึงกับไม่ทราบนามต้องห้ามของเจินเหรินท่านนี้
ในทะเลสาบหัวใจมีเสียงของเจินเหรินผู้นั้นดังขึ้นมา “ฉายาของผินเต้าคือ ‘อี้หมิง’ (ไม่ระบุนาม)”
หวงจงโหวรู้สึกจนใจเป็นทบทวี หลังจากนี้จะอธิบายเรื่องนี้ให้ทางศาลบรรพจารย์ฟังอย่างไรว่าผู้มีพระคุณที่ช่วยให้ภูเขาเมฆาเรืองบ้านตนข้ามพ้นหายนะมาได้คือนักพรตต่างถิ่นที่มีฉายาว่า ‘อี้หมิง’?
อาณาเขตของสำนักโองการเทพ อารามเต๋ามากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า และในอารามเต๋าขนาดใหญ่ที่เป็นศาลบรรพชนในภูเขาก็กำลังจัดงานพิธีรับโองการนักพรตที่สิบปีจะจัดหนึ่งครั้ง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับพิธีการของลัทธิเต๋าในครั้งก่อนๆ วันนี้กลับมี ‘คนนอก’ เพิ่มมาสองคน คนหนึ่งคือขุนนางกรมพิธีการเมืองหลวงสำรองต้าหลีที่ตั้งใจเดินทางมาเยือนสำนักโองการเทพโดยเฉพาะ อีกคนหนึ่งคือเต้าลู่ที่อยู่ใต้การปกครองของหน่วยฉงซวีเมืองหลวงต้าหลี มีหน้าที่รับผิดชอบจดบันทึกรายชื่อนักพรตทุกคนที่ได้รับโองการนักพรตซึ่งเป็นหนังสือรับรองการออกบวช
สำหรับเรื่องนี้ลู่เฉินไม่ได้มีความเห็นต่างอะไรมากนัก หากพูดให้ใหญ่หน่อยก็หนีไม่พ้นว่าสว่างมีกฎหมายบ้านเมือง มืดมีมรรคกถา กฎแห่งเต๋าปกครองตนเอง กฎหมายบ้านเมืองปกครองคน
หรือหากจะพูดให้สูงส่งลึกล้ำอีกสักหน่อย กฎหมายบ้านเมืองจัดการกับคนที่ละเมิดกฎหมายไปแล้ว ส่วนกฎแห่งเต๋ากลับตรวจสอบพันธนาการใจคนในช่วงแรกเริ่มของการหลงผิด
บนภูเขาขนาดเล็กที่ห่างจากศาลบรรพจารย์สำนักโองการเทพไปไกลมาก ในอารามเต๋าขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่สะดุดตาซึ่งแขวนกรอบป้ายคำว่า ‘อารามชิวหาว’ เอาไว้ นักพรตเฒ่าคนหนึ่งกำลังนำพานักพรตน้อยกลุ่มหนึ่งให้ทำการบ้านช่วงค่ำ พวกเขาพากันท่องคัมภีร์ลัทธิเต๋าบทหนึ่งอย่างมีกฎเกณฑ์ คนที่อายุมากหน่อยก็ท่องจำ อายุน้อยหน่อยก็ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง ทำเอาลู่เฉินที่โผล่หัวมองมาจากหน้าประตูถอนหายใจ ไปดีกว่า ฟังแล้วหงุดหงิดนัก เอาสองมือไพล่หลัง เดินโคลงศีรษะอยู่ในอาราม เห็นนักพรตน้อยคนหนึ่งกวาดพื้นพลางท่องตำราไปด้วย ท่องได้ไม่คล่องนัก มักจะท่องผิดๆ ถูกๆ อยู่เสมอ เหมือนกับว่าตัวเองเปิดอ่านหนังสือ พอท่องผิดก็ต้องท่องวนใหม่ตั้งแต่ต้น ลู่เฉินไม่รบกวน ‘การฝึกตนอย่างสงบด้วยวิธีเฉพาะ’ ของนักพรตน้อย เขาเดินไปที่ใต้ต้นไม้แล้วโยกมันเบาๆ
กว่านักพรตน้อยจะกวาดใบไม้ที่ร่วงเต็มพื้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นนักพรตอยู่บนภูเขาเซียนไม่ง่ายเลยจริงๆ นะ ต้นไม้หลายต้นบนภูเขาล้วนเขียวขจีอยู่ตลอดทั้งสี่ฤดูกาล ใบไม้ร่วงอยู่ตลอดไม่มีวันหยุดพัก ไม่เหมือนอารามล่างภูเขาที่หากต้องทำความสะอาดก็มีแค่ฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นที่เหนื่อยที่สุด พอเข้าหน้าหนาวก็แอบอู้ได้แล้ว
ผลคือรอกระทั่งนักพรตน้อยหันหน้ากลับมาเห็น เจ้าตัวดี คนเลวจากไหนกัน กินอิ่มว่างงานแล้วถึงได้มาเขย่าต้นไม้ให้ใบไม้ร่วง ด้วยความโมโห นักพรตน้อยจึงถือไม้กวาดพุ่งเข้าไปหา รอกระทั่งนักพรตหนุ่มหันหน้ากลับมา นักพรตน้อยก็ชั่งน้ำหนักอยู่พักหนึ่ง หากตีกันตนต้องสู้ไม่ได้แน่ จึงใช้จังหวะนี้วางไม้กวาดลงพื้นแสร้งทำความสะอาดพื้นต่ออีกครั้ง
ลู่เฉินยิ้มถาม “เจ้าตัวน้อย เคยปวารณาตนได้รับโองการหรือยัง? ทุกวันนี้เป็นลู่เซิงแล้ว ได้เพิ่มยันต์กี่ครั้งแล้ว?” (ผู้ที่เป็นนักพรตของลัทธิเต๋าจะต้องมีการปวารณาตนเป็นนักพรตเต๋าและทำพิธีรับโองการนักพรต ธรรมโองการหรือฝ่าลู่ คือเอกสารที่นักพรตเต๋าจำเป็นจะต้องยึดถือธำรงไว้ และขณะเดียวกันก็เป็นใบรับรองการบำเพ็ญธรรมและวิทยฐานะของนักพรต โดยเชื่อว่าโองการนี้เปรียบเสมือนใบสัญญากับสวรรค์ ว่าจะต้องต้องจิตเผยแพร่ธรรมสั่งสมกุศล เมื่อกุศลถึงพร้อมก็จะได้บรรลุเป็นเซียน โดยจะมีฉายาทางธรรม มียันต์ประจำตน)
นักพรตน้อยร้องเหอะหนึ่งที ไม่ใช่สมบัติประจำตระกูลหรือยันต์ส่วนตัวที่แค่มีเงินก็ให้กันได้เสียหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ตนก็ไม่มีเงินด้วย
มีเงินแล้วจะต้องมากวาดพื้นอยู่ตรงนี้หรือ? ศิษย์พี่วัยเดียวกันหลายคนในอารามก็ไม่ใช่ว่าที่บ้านมีเงินถึงได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากอาจารย์ ไม่เคยล้างห้องน้ำล้างกระโถนหรอกหรือ แต่ตนกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น ตอนนี้ดีแล้ว เอาอาจมไปรดสวนผัก ทำบ่อยจนเกิดเป็นความชำนาญ กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้แล้ว
ลู่เฉินนั่งลงบนราวรั้ว ด้านหลังคือสระน้ำขนาดเล็กที่เลี้ยงปลาหลีไว้ สองมือกอดอกเอ่ยว่า “เต๋าอยู่ที่อึและฉี่ ก็ดีมากนี่นะ”
นักพรตน้อยถูกพูดแทงเรื่องเจ็บปวดในใจจึงเงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่ เห็นว่านักพรตหน้าเหม็นที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนผู้นั้นกำลังยกมือขึ้น งอนิ้วครั้งแล้วครั้งเล่า นักพรตน้อยจึงเข้าใจ ‘คำเตือน’ ของอีกฝ่ายได้ทันที จึงได้แต่ก้มหน้าลงไป กวาดพื้นต่ออย่างอัดอั้น แล้วก็จริงดังคาด นักพรตคนนั้นพึมพำกับตัวเองว่า “เรือนกายที่แข็งแกร่งนี้ของผินเต้าล้วนเป็นกำลังทรัพย์ที่สะสมมาจากการปลูกต้นไม้ ตัดต้นไม้ แล้วก็ปลูกต้นไม้อีกครั้งอย่างยากลำบากตลอดหลายปี ฝีมือย่อมร้ายกาจ ชายฉกรรจ์ทั่วไปขยับเข้าใกล้ร่างผินเต้าไม่ได้หรอกนะ”
นักพรตน้อยพึมพำเสียงเบา “ท่านบรรพจารย์พูดถึงจะดีถึงจะถูก เจ้าพูดมาล้วนมีแต่ผายลม”
ลู่เฉินยิ้มถาม “นี่เพราะเหตุใด ไม่ใช่ว่าคำพูดเหมือนกันก็ต้องมีหลักการเหตุผลเหมือนกันหรอกหรือ?”
นักพรตน้อยเพิ่มแรงกวาดจนใบไม้ปลิวกระจายไปทั่ว “จะเหมือนกันได้อย่างไร ต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เอาเป็นว่าหลักการเหตุผลน่ะข้าเข้าใจ ก็แค่พูดไม่เป็น”
ลู่เฉินถาม “หรือจะเหมือนประโยคที่ว่า ‘หากคนบนโลกเอาอย่างข้า ก็เหมือนเดินเข้าสู่วิถีมาร’?”
นักพรตน้อยเงยหน้าขึ้น “หมายความว่าไง? เป็นเกาเจินท่านไหนพูดในตำราเล่มใด?”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เป็นภิกษุสมณศักดิ์สูงของลัทธิพุทธเป็นคนพูด”
อันที่จริงลู่เฉินรู้ ‘ความคิดวุ่นวายเหลวไหล’ ของนักพรตน้อยแล้ว คำตอบในใจค่อนข้างน่าสนใจ แต่เพียงแค่เพราะนักพรตน้อยพูดไม่ออกเท่านั้นจริงๆ
นักพรตน้อยร้องอ้อหนึ่งที “เจ้าเข้าใจอะไรไม่น้อยเลย”
ก้มหน้ามองใบไม้ร่วงเต็มพื้น ขณะเดียวกันก็นินทาในใจไปประโยคหนึ่ง ทำไมไม่ทำตัวเป็นคนดีๆ
ลู่เฉินถาม “เจ้าชื่อว่าอะไร?”
นักพรตน้อยก้มหน้ากวาดใบไม้ร่วงใส่ที่ตักผงอย่างหมดอาลัยตายอยาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านนักพรตเรียกข้าว่าอาโหย่วก็ได้แล้ว โหย่วที่แปลว่ายามโหย่วน่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!