ตอน บทที่ 911.2 หวนกลับมาที่เดิมเหมือนได้เปิดอ่านตำรา จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 911.2 หวนกลับมาที่เดิมเหมือนได้เปิดอ่านตำรา คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ราวกับคาดเดาไว้ได้ล่วงหน้านานแล้วว่าต้องมีวันนี้ จึงบอกไว้ว่าหากเขาไม่อยู่บนภูเขาพอดี แล้วเทพวารีอวี้เจี้ยนผู้นั้นมาหาเฉินหลิงจวินอีก หากว่ามาแค่ดื่มเหล้าจริงๆ ก็ดีมาก ก็ให้เฉินหลิงจวินพาเขามาเดินเล่นที่ภูเขาลั่วพั่ว แล้วค่อยไปดื่มเหล้าที่ภูเขาพีอวิ๋นสักมื้อก็ยังไม่เป็นปัญหา ให้จูเหลี่ยนบอกกล่าวกับเว่ยป้อสักหน่อย บอกไปว่าตนรับปากเฉินหลิงจวินเอาไว้ แต่หากว่าจะมาขอให้เฉินหลิงจวินช่วยเหลืออีก ถ้าอย่างนั้นหลังจากส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาให้ที่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว จูเหลี่ยนต้องแจ้งให้เว่ยป้อทราบทันที รบกวนเว่ยซานจวินช่วยไปดักรอให้หน่อย หากช่วยได้ก็พยายามช่วย หากจำเป็นต้องหักเป็นเงินเทพเซียนก็ไม่ต้องเกรงใจภูเขาลั่วพั่ว ถือเสียว่าพี่น้องแท้ๆ ก็ยังต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน
แต่ช่วยเตือนเทพวารีอวี้เจียงผู้นั้นให้ดีสักคำว่า ห้ามให้มีคราวหน้าอีก
เว่ยป้อถามอย่างใคร่รู้ “หากวันนี้เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไม่เอ่ยเช่นนี้ เฉินผิงอันจะเลี้ยงเหล้าเขาบนภูเขาจริงหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “แน่นอนสิ ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าจะเป็นยังไง? คุณชายของข้า อันที่จริงรักและตามใจนายท่านใหญ่เฉินผู้นี้จนแทบจะบินขึ้นฟ้าแล้ว ในเมื่อเฉินหลิงจวินโง่ คุณชายก็ได้แต่ทำเป็นโง่ตามไปด้วย”
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่จงใจว่างเว้นตำแหน่งผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของภูเขาลั่วพั่วไว้นานหลายปี
พูดถึงแค่การเดินลงน้ำที่ลำน้ำใหญ่ในอุตรกุรุทวีปของเฉินหลิงจวิน ต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจของคุณชายไปกี่มากน้อย? หากใช้คำพูดของชุยตงซานก็คือตรงไหนมีห้องส้วมอยู่ก็แทบจะระบุพิกัดไว้ให้อย่างละเอียดด้วยแล้ว
จูเหลี่ยนยกมือขึ้น เป่าลมใส่มือเบาๆ ยิ้มถาม “ขอให้ช่วยเรื่องอะไรหรือ?”
เว่ยป้อกระตุกมุมปาก พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังดีที่ไม่ได้เป็นสิงโตอ้าปากกว้าง แค่ว่าการประเมินสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำครั้งนี้ ทางฝั่งจวนเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียง เดิมทีได้อันดับ ‘สามบน’ ข้าก็ช่วยยกระดับให้ขั้นหนึ่งจนเป็น ‘สองล่าง’ แล้ว”
จวนวารีกงโหวสองแห่งในอาณาเขตของห้าขุนเขาและลำน้ำใหญ่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ถึงจะมีคุณสมบัติรับการประเมินขุนเขาสายน้ำที่สิบปีจะมีหนึ่งครั้ง เป็นการประเมินที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนเขาสายน้ำฝ่ายต่างๆ และเทพอภิบาลเมืองระดับต่างๆ ในเขตการปกครองของตัวเอง มีการประเมินทั้งหมดสามระดับคือหนึ่งสองสาม ระดับหนึ่งบนนั้นไม่มีลุ้น อันที่จริงก็แค่มีไว้ให้พอเป็นพิธีเท่านั้น เว้นเสียจากว่ามีคุณความชอบยิ่งใหญ่มาก โดยทั่วไปก็ไม่มีทางได้รับคำประเมินเช่นนี้ อันดับหนึ่งล่าง สามารถเลื่อนขั้นได้อีกระดับ เป็นเหตุให้ระดับหนึ่งกลางก็สามารถกระโดดข้ามขั้นได้
โดยทั่วไปแล้วราชสำนักต้าหลีจะรับผิดชอบเรื่องการตรวจสอบเท่านั้น จะไม่คัดค้านผลการประเมินใดๆ เว้นเสียจากได้คำประเมินเป็น ‘หนึ่งบน’ ที่จำเป็นต้องให้ฮ่องเต้ออกราชโองการเรียกประชุมขุนนาง หากมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำได้รับการประเมินหนึ่งกลาง จะมีการเสนอระเบียบวาระในห้องทรงพระอักษรหลังจากเลิกการประชุมในท้องพระโรง ส่วนหนึ่งล่าง จำเป็นต้องให้รองเจ้ากรมพิธีการที่ดูแลทำเนียบขุนเขาสายน้ำโดยเฉพาะติดต่อไปยังซานจวินห้ามหาบรรพต หรือจวนกงโหวลำน้ำใหญ่เป็นการส่วนตัวก็พอ
จูเหลี่ยนจุ๊ปาก “นี่ยังถือว่าช่วยเหลือเป็นน้ำใจเล็กน้อยอีกหรือ? ตามกฎของขุนเขาสายน้ำต้าหลี หากถูกประเมินอยู่เป็น ‘อันดับสาม’ ก็ต้องแบกรับผลที่ตามมาเอาเองแล้ว”
หากเป็นอันดับสามล่างซึ่งเป็นระดับสุดท้ายก็จะหลุดจากตำแหน่งเทพไปโดยตรง อันดับสามกลาง ร่างทองจะถูกลดระดับขั้นหนึ่งขั้น สามบน ระดับขั้นไม่เปลี่ยน แต่นอกจากจะถูกลงโทษสถานเบาและรอดูพฤติกรรมในภายหลังแล้ว หากการประเมินครั้งถัดไปยังไม่ได้ถึงระดับสองกลาง ต่อให้เป็นสองล่างก็ยังต้องถูกลดระดับตำแหน่งเทพอยู่ดี
เชื่อว่านี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงถึงได้กล้ามาหาเฉินหลิงจวินถึงภูเขาลั่วพั่ว
ไม่อย่างนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ อย่าว่าแต่เทพวารีขั้นห้าชั้นโทของแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติของต้าหลีเลย ต่อให้อยู่อันดับสูงอย่างขั้นสามชั้นเอก ขอแค่ไม่ได้สะสมความสัมพันธ์ควันธูปไว้ในอดีต ใครก็ไม่กล้ารับประกันว่ามาถึงหน้าประตูภูเขาลั่วพั่วแล้วจะเดินขึ้นเขามาได้
นี่จึงเป็นเหตุให้ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ภูเขาลั่วพั่วแห่งหนึ่ง สมาชิกทำเนียบรวมกันมีอยู่เท่านั้น เจ้าอยากให้ใครมาเป็นคนรับรองแขกเล่า? จะเป็นเจ้าขุนเขาที่เป็นเซียนกระบี่หนุ่มของภูเขาลั่วพั่ว? หรือจะให้เป็นเฉินผิงอันอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ดีล่ะ?!
เว่ยป้อยิ้มเอ่ย “อันที่จริงข้าก็แค่ให้เวลาแม่น้ำอวี้เจียงเพิ่มอีกสิบปี หากว่าการประเมินใหญ่ครั้งหน้ายังไม่ได้ ‘สองกลาง’ ถ้าอย่างนั้นกองการประเมินขุนเขาเหนือของข้าก็คงต้องคิดทั้งบัญชีเก่าและบัญชีใหม่รวมกันแล้ว”
“แม้ว่าข้าจะไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ แต่เจ้าหมอนั่นกลับฟังเข้าใจ ถึงอย่างไรด้วยรากฐานของแม่น้ำอวี้เจียง หากตั้งใจสักหน่อย จากนั้นเอาทรัพย์สินออกมาจากคลังสมบัติอีกเล็กน้อย ทุ่มเงินเทพเซียนให้กับแม่น้ำอวี้เจียงและแม่น้ำสาขาแยกมากหน่อย ได้ระดับสองกลางก็ไม่ได้ยากเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่หากได้อันดับสองกลางมาจริงๆ ยังจะได้รับเงินเหรียญทองแดงแก่นทองก้อนหนึ่งที่ฝ่ายมอบรางวัลและลงโทษนำไปมอบให้ เงินก้อนนี้คิดให้ชัดเจนได้ง่ายมาก แม่น้ำอวี้เจียงขาดทุนไม่มากหรอก”
จูเหลี่ยนเอ่ยสัพยอก “อย่างอื่นไม่พูดถึง พูดถึงแค่เรื่องที่ทำให้ใต้เท้าซานจวินของพวกเราออกหน้าไปขวางทางด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการโน้มน้าวด้วยคำพูดดี หรือการพูดกระทบกระเทียบ ก็กลายเป็นเรื่องเล่างดงามบนโต๊ะสุราที่จ่ายเงินกี่มากน้อยก็ซื้อหามาไม่ได้”
เว่ยป้อมองไปทางประตูภูเขาแวบหนึ่ง อดไม่ไหวถามว่า “เจ้าว่านายท่านใหญ่เฉินของพวกเราจะคาดเดาถึงความวกวนอ้อมค้อมในเรื่องนี้ออกหรือไม่?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เขาน่ะมันคนโง่ของแท้ เดาไม่ออกหรอก ไม่มีทางคิดไปถึงทางนี้เลย”
เว่ยป้อพยักหน้ายิ้มรับ “หากมีมันสมองเช่นนั้นจริงๆ ป่านนี้ก็คงเป็นขอบเขตหยกดิบไปนานแล้ว หางจะไม่ชี้ขึ้นฟ้าเลยหรือ”
ถึงอย่างไรจูเหลี่ยนก็ยังเข้าข้างคนกันเอง “นับว่ายังดี”
เว่ยป้ออดไม่ไหวถามอีก “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ สรุปแล้วเฉินหลิงจวินคิดอย่างไรกันแน่ ต่อให้จะโง่แค่ไหนก็น่าจะพอรู้ได้บ้าง สรุปว่าเขาโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่?”
จูเหลี่ยนยิ้มไม่ตอบ
พ่อครัวเฒ่าเพียงแค่นั่งอยู่บนขั้นบันได สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
เมฆก่อเกิดร่องลึกใหญ่ดินแดนไร้คน ค้นหาพิศมองเรื่องราวมากมายจึงร่ายออกมาได้เป็นผลงาน
เว่ยป้อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “กลอนคู่ที่ภูเขาลั่วพั่วมอบไปให้ ทางฝั่งของวัดกว่างฝูชื่นชอบมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเอาไปแขวนคู่ไว้กับกลอนคู่ที่วัดเสวียนคงของแผ่นดินกลางมอบให้หรอก”
จูเหลี่ยนหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
วัดพุทธที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นอักษรจงของแจกันสมบัติทวีปแห่งนั้นมีมังกรคชสารลัทธิพุทธที่ชื่อเสียงคุณธรรมสูงส่งอยู่คนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะจัดงานฉลองการเลื่อนขั้นไป
ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไหว้วานคนให้มาหาเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋น จากนั้นจึงมาหาภูเขาลั่วพั่วอีกที ด้วยค่อนข้างจะฉุกละหุก ไม่อาจรั้งรอได้นาน เว่ยป้อจึงให้จูเหลี่ยนทำหน้าที่แทน มอบกลอนคู่บทหนึ่งไปให้
เดิมทีจูเหลี่ยนอยากจะส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังภูเขาเซียนตู ตามเหตุตามผลแล้วเรื่องนี้ควรต้องให้เจ้าขุนเขาเป็นคนเขียนด้วยตัวเอง เพียงแต่เวลากระชั้นชิดไม่ทันกาลจริงๆ จึงได้แต่เลียนแบบลายมือของคุณชายตัวเอง อีกทั้งคุณชายยังตั้งใจทิ้งตราประทับส่วนตัวคำว่า ‘เฉินผิงอัน’ ไว้ที่เรือนไม้ไผ่ เดิมก็ให้จูเหลี่ยนเอามาใช้ได้ตามสบายอยู่แล้ว เมื่อเขียนกลอนคู่บทนั้นเสร็จ เขาจึงประทับตราส่วนตัวลงไป แล้วให้เว่ยป้อนำไปส่งที่วัดพุทธ ส่วนภิกษุเฒ่าที่เพิ่งจะมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสก็มีพระธรรมที่ลึกซึ้ง ทั้งยังมีพจนะพุทธสองคำว่าเก็บเมฆและปล่อยพยัคฆ์อยู่ด้วย
เก็บเมฆเติมเสื้อคลุม ปล่อยพยัคฆ์กลับภูเขา ขนบธรรมเนียมสำนักดุจมังกร เห็นจิตดั้งเดิมบรรลุธรรม
ขึ้นนั่งบัลลังธรรม ดุจสิงโตคำราม ห้องมืดพันปี ตะเกียงหนึ่งดวงก็สว่างไสว
เว่ยป้อเตรียมจะกลับไปยังภูเขาพีอวิ๋น หากจะบอกว่าหนังสือราชการกองเป็นภูเขามากดุจน้ำในมหาสมุทรก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
คิดไม่ถึงว่าคำพูดบางคำของจูเหลี่ยนจะไม่เพียงแต่ทำให้เว่ยป้อหยุดเท้า ยังนั่งลงบนบันไดด้วย
“คนบางคนอ่านหนังสือ ชอบอ่านย้อนหลังกลับ”
จูเหลี่ยนเท้าคางด้วยสองมือ ยิ้มตาหยี เอ่ยเสียงเบาว่า “เฉินหลิงจวินเป็นเช่นนั้น เจ้าเว่ยป้อก็ใช่ เพียงแต่ว่าเนื้อหาที่พวกเจ้าเปิดอ่านไม่เหมือนกันก็เท่านั้น”
ต่งกู่หัวเราะร่า
ตามคำสัญญาที่ให้ไว้ในปีนั้น หร่วนฉงลงจากตำแหน่งเจ้าสำนัก มอบตำแหน่งผู้นำให้หลิวเสี้ยนหยางที่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบคนแรกของสำนักกระบี่หลงเฉวียนมารับช่วงต่อ แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้กลับตัดสินใจกันบนโต๊ะอาหารมื้อหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็ไม่มีการจัดงานพิธีอะไร เป็นเหตุให้ทุกวันนี้คนของแจกันสมบัติทวีปที่รู้เรื่องนี้มีแค่ภูเขาตระกูลเซียนไม่กี่แห่งเท่านั้น มีแค่เจ้ากรมพิธีการคนหนึ่งจากราชสำนักต้าหลีที่นำคนมาแสดงความยินดีชดเชยกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนด้วยตัวเอง จำนวนคนไม่มาก แต่น้ำหนักไม่น้อย
และเรื่องแรกที่หลิวเสี้ยนหยางทำหลังจากรับตำแหน่งเจ้าสำนักก็คือ ‘ตัดสินใจเองโดยพลการ’ ไปหาเว่ยซานจวินที่ภูเขาพีอวิ๋น ให้เขาร่ายวิชาอภินิหารช่วยย้ายภูเขาทั้งหลายซึ่งรวมถึงภูเขาเสินซิ่วเป็นหนึ่งในนั้นให้มาอยู่ที่นี่
ตบไหล่ต่งกู่แล้ว หลิวเสี้ยนหยางก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดี “ศิษย์พี่ต่ง ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดีนะ เป็นถึงผู้คุมกฎของสำนักกระบี่หลงเฉวียนผู้ยิ่งใหญ่ กลับยังเป็นแค่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง ไม่เข้าท่าเลย”
หลังจากนั้นหลิวเสี้ยนหยางก็พาแม่นางหน้ากลมไปเดินเล่นที่ภูเขาลูกอื่นด้วยกัน คนทั้งสองเดินอยู่บนเส้นทางกึ่งกลางภูเขา หลิวเสี้ยนหยางสวมเสื้อบุนวมเช่นเดียวกับนาง ก้มหน้าสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่อย่างนั้นหน้าหนาวจะเรียกว่าฤดูแมวหนาว (เปรียบเปรยว่าหลบอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน) ได้อย่างไร
แม่นางหน้ากลมที่ตั้งชื่อให้ตัวเองว่าอวี๋เชี่ยนเยว่ถามว่า “สร้างสำนักเบื้องล่าง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเขาถึงไม่เชิญเจ้าไป?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “กลัวว่าข้าจะไปแย่งความมีหน้ามีตาน่ะสิ หากข้าปรากฏตัว ใครจะยังสนใจเขาเฉินผิงอันกัน”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าเฉินผิงอันได้อธิบายให้หลิวเสี้ยนหยางฟังนานแล้ว
เซอเยว่กลอกตามองบน
อยู่ดีๆ หลิวเสี้ยนหยางก็หัวเราะออกมา “คนคนเดียวกัน เผชิญความทุกข์กับเสวยสุข คือความรู้สองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
เซอเยว่พยักหน้า “พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง”
หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย เขาหยุดเดินมองไปยังทิศไกล “สร้างเรือนแห่งใจ เหตุผลหลักการ ความโลภแย่งชิงกันเป็นนาย”
อยู่ด้วยกันนานวันเข้า เซอเยว่เกือบจะลืมไปแล้วว่าเจ้าหมอนี่เคยไปขอศึกษาต่ออยู่กับสกุลเฉินผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปนานหลายปี
เซอเยว่ถาม “นับตั้งแต่เด็กเจ้าก็สนิทกับเฉินผิงอันมากเลยหรือ?”
“แน่นอน!”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะเสียงดัง “ว่าไม่ใช่!”
เซอเยว่จึงประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ใช่?
หลิวเสี้ยนหยางทรุดตัวลงนั่งยอง หาอยู่นานก็ยังหาหญ้าหวานๆ สักต้นไม่เจอ เลยได้แต่ล้มเลิกความคิด เอ่ยเนิบช้าว่า “ต่างก็พูดกันว่านิสัยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของสหายสองคนถึงจะยาวนาน นิสัยของข้ากับเฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าเหมือนกันหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!