นครบินทะยาน
วันนี้กิจการร้านเหล้าไม่เลว มีลูกค้ามาเยือนติดๆ กันสองกลุ่ม พวกกลุ่มชายโสดที่มีฟ่านต้าเช่อกับหวังซินสุ่ยเป็นหนึ่งในนั้นเพิ่งจะนั่งลงก็มีกลุ่มของสตรีหลายคนที่มีซือถูหลงชิวและหลัวเจินอี้เป็นหนึ่งในนั้นตามมา
ไม่ต้องให้ตัวแทนเถ้าแก่อย่างเจิ้งต้าเฟิงทิ้งสายตา พวกฟ่านต้าเช่อก็เป็นฝ่ายยกที่นั่งโต๊ะสุดท้ายให้กับฝ่ายหลังด้วยตัวเอง ขยับไปนั่งยองดื่มเหล้าข้างทางกันแต่โดยดี หมายจะรอฟังเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับเทพเซียนตีกันบนเตียงจากพี่น้องต้าเฟิงบ้านตน
คิดไม่ถึงว่าเจิ้งต้าเฟิงจะวิ่งตุปัดตุเป๋ไปนั่งที่โต๊ะตัวนั้นแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเฒ่าคนหนึ่งที่อยู่ข้างทางทอดถอนใจ ชายโสดอายุไม่น้อยผู้นี้ เหล้าชามหนึ่งสามารถดื่มได้นานเป็นครึ่งๆ วัน ทุกครั้งที่ฟังเรื่องเล่าจากเจิ้งต้าเฟิง เหล้าชามหนึ่งอย่างน้อยต้องเหลือเกินครึ่งชาม คอยเงี่ยหูตั้งใจฟังตัวแทนเถ้าแก่
พอถึงช่วงสุดท้ายผู้เฒ่ายังทอดถอนใจด้วยประโยคติดปากบอกว่า คิดไม่ถึงว่าข้าผู้อาวุโสครองตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องมาทั้งชีวิต กลิ่นอายเที่ยงธรรมเต็มร่าง ถึงกับต้องมาได้ยินเรื่องพวกนี้
หลังจากเจิ้งต้าเฟิงทรุดตัวลงนั่งริมขอบของม้านั่งยาว ผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งก็รีบลุกขึ้นยืน ขยับไปนั่งเบียดบนม้านั่งตัวหนึ่งกับสหายสองคนพอดี
เจิ้งต้าเฟิงจึงยกก้นขึ้นไถลไปตามมานั่งยาวเงียบๆ อืม อุ่นจังเลย ยังไม่ทันได้ดื่มเหล้า ในใจของพี่ใหญ่ต้าเฟิงก็อุ่นซ่านเสียแล้ว
สตรีผู้นั้นเห็นภาพนี้คิ้วกิ่งหลิวก็ตั้งชัน เพียงแต่นึกขึ้นได้ว่าด่าไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่แน่ว่ามีแต่จะทำให้เขาพูดจาประหลาดไร้แก่นสารหนักข้อยิ่งกว่าเดิม นางจึงยกชามเหล้าขึ้นกระดกดื่มเหล้าเงียบๆ ไปคำใหญ่
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเจิ้งต้าเฟิงก็คือผู้ฝึกกระบี่หญิงสายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อน หลัวเจินอี้
ใบหน้า รูปร่าง บุคลิก ขอบเขตวิถีกระบี่ของสตรี ล้วนดีเยี่ยมจนไม่มีอะไรให้พูดแล้ว
มองซ้ายมองขวา มองด้านหน้ามองด้านหลัง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็สบายหูสบายตาไปเสียหมด
หลัวเจินอี้ในสายตาของชายหนุ่มแห่งนครบินทะยานทุกวันนี้ก็น่าจะเป็นเหมือนซ่งไฉ่อวิ๋น โจวเฉิงในสายตาและในใจของผู้เฒ่าแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตกระมัง
เจิ้งต้าเฟิงตัวแทนเถ้าแก่ผู้นี้ ปีนั้นตอนที่เพิ่งมารับหน้าที่ดูแลร้านเหล้าได้ไม่นาน อาศัยแค่สามเรื่องก็สามารถหยัดยืนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างมั่นคง
รูปโฉมที่คิ้วเข้มตาโต สง่างามหล่อเหลาดุจต้นไม้หยกรับลม พฤติกรรมการพนันที่ดีเยี่ยมบนโต๊ะสุรา บวกกับการจัดอันดับสองฉบับที่เขาเคาะออกมา ทุกๆ สองสามปีจะเลือกเทพธิดาใหญ่สิบคน ตัวอ่อนสาวงามสิบคน กวาดเรียบไม่มีเหลือ
ทุกๆ สองสามปีจะมีการประเมินทีหนึ่ง หลัวเจินอี้ล้วนติดสามอันดับแรกของสิบเทพธิดาใหญ่ทุกครั้ง
ส่วนต่งปู้เต๋อที่วันนี้ไม่ได้มาดื่มเหล้า ติดอันดับอยู่สองครั้ง ลำดับรายชื่อขึ้นลงไม่แน่นอน ความต่างค่อนข้างมาก ครั้งแรกรายชื่ออยู่รั้งท้าย ครั้งที่สองกลับพุ่งเข้าสามอันดับแรก
แต่การประเมินครั้งถัดไปที่กำลังจะออกจากเตาร้อนๆ แม่นางต่งได้ถูกเจิ้งต้าเฟิงเลือกเป็นการภายในให้เป็นอันดับหนึ่งของรายชื่อแล้ว
ช่วยไม่ได้นี่นะ ก่อนที่กวอจู๋จิ่วจะออกไปจากใต้หล้าห้าสีได้แอบเอาเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งมาให้เขา บอกว่าครั้งนี้แม่นางแก่บางคนต้องอยู่อันดับหนึ่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะขายไม่ออกจริงๆ แล้ว
แม่นางน้อยยังมีมาดของจอมยุทธหญิงที่ทำเรื่องดีไม่ทิ้งนาม กำชับตัวแทนเถ้าแก่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าห้ามบอกใครเด็ดขาดว่าเป็นความชอบของนาง หากแม่นางแก่ถามขึ้นมาจริงๆ ก็บอกไปว่าเป็นเติ้งเหลียงเติ้งอันดับหนึ่งที่ควักเงินจ่าย
ซือถูหลงชิวถาม “ได้ยินอิ่นกวานเล่าว่าแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้ามีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าภูเขาเยี่ยนตั้ง ทัศนียภาพงดงามมาก? แล้วยังได้กลายเป็นภูเขาทายาทอะไรอีกด้วย?”
เมื่อก่อนนางกับสหายรักสองคนเคยขอตราประทับสามชิ้นมาจากเฉินผิงอัน ตราประทับชิ้นที่เป็นของนางมีความเกี่ยวข้องกับสถานที่ท่องเที่ยวของต้าหลงชิวที่มีชื่อว่าภูเขาเยี่ยนตั้ง
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ทัศนียภาพงดงามมากจริงๆ หากมีโอกาสต้องไปดูให้ได้ คราวหน้าพี่ต้าเฟิงจะช่วยนำทางให้ แม่นางซือถูเจ้าไม่รู้อะไร ใต้หล้าไพศาลมีบัณฑิตอยู่เยอะมาก คนที่จริงจังซื่อสัตย์อย่างพี่ต้าเฟิงน่ะมีน้อยยิ่ง”
ซือถูหลงชิวคือลูกอนุภรรยาของตระกูลซือถูบนถนนไท่เซี่ยง ก่อนสงครามใหญ่เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่คอขวดชมมหาสมุทร ฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ในนครบินทะยานแห่งนี้ ภายหลังระหว่างที่ออกไปหาประสบการณ์ในใต้หล้าห้าสีก็ได้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง
นางเป็นสหายรักที่พูดคุยกันได้ทุกเรื่องของต่งปู้เต๋อ ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ซือถูหลงชิวไม่ถือว่าเป็นคนมีพรสวรรค์อะไร แต่เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ดีมาก
ผลคือเมื่อหลายปีก่อนอยู่ดีๆ นางก็ได้ฉายาอย่างหนึ่งมา เป็นฉายาที่ค่อนข้างยาว บอกว่านางคือ ‘รายงานขุนเขาสายน้ำที่เดินได้ฉบับหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่’
ฉายานี้ของนางแพร่ไปทั่วนครบินทะยานอย่างรวดเร็ว ว่ากันว่าแรกเริ่มสุดไม่ทันระวังหลุดมาจากคฤหาสน์หลบร้อน
อันที่จริงเป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่ปีนั้นเผลอหลุดปากโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าพวกลูกสมุนที่ขึ้นชื่อทั้งหลายของคฤหาสน์หลบร้อนพากันทอดถอนใจชื่นชม ตบโต๊ะร้องว่าดี ไปๆ มาๆ จึงเริ่มค่อยๆ แพร่ออกมา
บวกกับที่ในคฤหาสน์หลบร้อนยังมีต่งปู้เต๋ออยู่ด้วย เรื่องนี้จะเป็นความลับได้หรือ?
กวอจู๋จิ่วที่เป็นลูกศิษย์ อาจารย์ไม่อยู่นครบินทะยาน แน่นอนว่านางจึงต้องเป็นคนรับกรรมแทน
ในเมื่อมีข้อพิถีพิถันที่ว่าหนี้ของบิดาบุตรใช้คืนให้ ถ้าอย่างนั้นหนี้ของอาจารย์ลูกศิษย์ใช้คืนก็ยิ่งเป็นกฎที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ในยุทธภพจะมีบุญคุณความแค้นอะไรที่คุยกันไม่ได้ คลายปมไม่ออก แน่จริงก็มาหาเรื่องข้าเลยสิ!
ดังนั้นจุดจบของกวอจู๋จิ่วก็คือตึงๆๆ
เจิ้งต้าเฟิงพลันถามว่า “แม่นางซือถู เจ้าคิดว่าพี่ต้าเฟิงเป็นคนอย่างไร?”
ซือถูหลงชิวเหลือบตามองชายฉกรรจ์ ก่อนตอบว่า “ไม่รู้ว่าจะใช้งานได้หรือไม่ แต่ที่รู้ๆ คือหน้าตาใช้ไม่ได้เลย”
แม่นางที่เป็นแบบนี้ นครบินทะยานที่เป็นเช่นนี้ จะให้เจิ้งต้าเฟิงไม่ชื่นชอบได้อย่างไร?
ไม่ต่างจากบ้านเกิดของตนเลยสักนิด
เจิ้งต้าเฟิงชูชามเหล้าขึ้น “สาวงามพูดจามักจะเชื่อถือไม่ได้ ต้องฟังเป็นความหมายตรงกันข้าม”
หลัวเจินอี้เหยียบเท้าสหายเบาๆ อยู่ใต้โต๊ะ
สตรีที่มีชื่อว่ากวานเหมยตวัดค้อนใส่สหาย ก่อนจะยิ้มถามเจิ้งต้าเฟิงว่า “ตัวแทนเถ้าแก่ หนิงเหยากลับจากใต้หล้าไพศาลมา ไม่ได้เอาข่าวอะไรกลับมาด้วยหรือ? ยกตัวอย่างเช่นพวกหลินจวินปี้กลับบ้านเกิดไปแล้ว ทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ระหว่างที่เดินทางมา หลัวเจินอี้ให้นางช่วยถามเจิ้งต้าเฟิงเรื่องหนึ่ง บอกว่านางอยากรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นกลุ่มของคฤหาสน์หลบร้อน ทุกวันนี้เป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว
กวานเหมยมีความประทับใจที่ดีมากต่อเจิ้งต้าเฟิง พูดจาตลกขบขัน อีกทั้งยังนิสัยดี ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรเขาก็ไม่โกรธ แม้ว่าคำพูดสัปดนจะมากไปสักหน่อย ขอแค่เจอสตรีรูปร่างดี ดวงตาก็ราวกับเปล่งประกาย ทว่าตัวแทนเถ้าแก่ร้านเหล้าขนาดเล็กแห่งนี้ไม่เคยมือไม้ไม่อยู่สุขเลย
เจิ้งต้าเฟิงนวดคลึงปลายคาง ทำสีหน้าลำบากใจ เรียกว่าตัวแทนเถ้าแก่ออกจะห่างเหินกันไปแล้ว เจ็บปวดใจจนพูดไม่ออกเลย
กวานเหมยรีบโน้มตัวไปด้านหน้า รินเหล้าชามหนึ่งให้เจิ้งต้าเฟิง พูดจาออดอ้อนว่า “พี่ต้าเฟิง บอกหน่อยเถอะ ถือว่าข้าขอร้องท่านล่ะ”
เจิ้งต้าเฟิงใช้สองมือรับชามเหล้ามา ยืดคอยาวมองไปในคอเสื้อให้แน่ชัด ปากเอ่ยว่า “น้องกวานเหมย หากเจ้าพูดแบบนี้ พี่ต้าเฟิงจะเสียใจแล้วนะ ขอร้องไม่ขอร้องอะไรกัน อยู่กับพี่ต้าเฟิงของเจ้ายังต้องขอร้องด้วยหรือ?”
กวานเหมยจงใจค้างอยู่ในท่ารินเหล้า ไม่รีบร้อนถอยกลับไปนั่ง นางเขย่าไหล่ออดอ้อน “เล่าเถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!