ยามเช้าตรู่ เฉินผิงอันยื่นมือไปกุมป้ายหยกอิ่นกวานเอาไว้แน่น หดย่อพื้นที่ เดินก้าวเดียวก็มาถึงขั้นบันไดนอกคฤหาสน์หลบร้อน ไม่เหมือนกับคฤหาสน์หลบร้อนในเวลาปกติที่ประตูใหญ่จะปิดสนิทตั้งแต่เช้ายันเย็น นี่ค่อนข้างมีความหมายคล้ายกับเป็นที่ว่าการแห่งหนึ่งแล้ว
ไม่เหมือนกับนครใต้อาณัติเหล่านั้น ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ฝึกตนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู หากมีธุระมาหาถึงที่ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่อย่าได้เดินเที่ยวเล่นส่งเดชไปทั่วก็พอ มีธุระก็ว่ามา พูดจบก็กลับไปซะ รวดเร็วฉับไว
คิดอยากจะให้ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานเอาสุรามาต้อนรับ ฝันไปเถิด
คฤหาสน์หลบร้อนในอดีต นอกจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแล้ว ต่อให้เป็นเฉินซีกับฉีถิงจี้ก็ไม่อาจเดินข้ามประตูใหญ่เข้าไปได้
เมื่อนครบินทะยานหล่นลงพื้น ก่อนที่หนิงเหยาจะมารับตำแหน่งอิ่นกวาน นางก็ไม่เคยเหยียบย่างมาที่คฤหาสน์หลบร้อน
เช้าตรู่ขนาดนี้ฟ่านต้าเช่อก็มากวาดลานบ้านแล้ว ไหล่ถูกคนตบเบาๆ พร้อมเสียงเรียกกลั้วหัวเราะ “ต้าเช่ออ่า”
ฟ่านต้าเช่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยก็เกือบจะน้ำตาไหลอยู่รอมร่อ รีบหันหน้ามาเอ่ยเรียก “ใต้เท้าอิ่นกวาน”
เฉินผิงอันตบแขนของฟ่านต้าเช่อเบาๆ เอ่ยว่า “พวกเราเดินไปคุยกันไป”
อันที่จริงสถานการณ์คร่าวๆ ของสายอิ่นกวานในทุกวันนี้ ก่อนหน้านั้นหนิงเหยาได้เล่าให้ฟังแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าฟ่านต้าเช่อเล่าได้ละเอียดกว่า เฉินผิงอันจึงรับฟังอย่างตั้งใจ
ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มแรกห้าคนที่เข้ามาอยู่คฤหาสน์หลบร้อนล้วนเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่คุณสมบัติดีเยี่ยม ต่อให้ทุกวันนี้พวกเขาจะยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง แต่ก่อนที่พวกเขาจะกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวาน ต่างก็ได้ครอบครองเก้าอี้หนึ่งตัวในศาลบรรพจารย์ของนครบินทะยานแล้ว ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี เด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนี้ก็ทยอยกันกลายมาเป็นสายอิ่นกวานอย่างเป็นทางการ
ทำเนียบหยกทองของนครบินทะยานในทุกวันนี้ นอกจากอาจารย์ผู้สืบทอดของผู้ฝึกตนแต่ละคนแล้ว สามารถแบ่งออกเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ ผู้ฝึกตนสามสายซึ่งมีสิงกวานเป็นหนึ่งในนั้น รวมไปถึงกองกำลังใต้อาณัติของสี่นครแปดภูเขาสิบสองสถานที่ ยกตัวอย่างเช่นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งเติ้งเหลียงได้ครอบครองภูเขาจื่อฝู่ ก็เท่ากับว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนนี้มีคุณสมบัติที่จะบุกเบิกยอดเขาก่อตั้งจวนแล้ว สามารถสืบทอดระบบสายของตัวเองได้ แน่นอนว่าผู้ฝึกตนคนหนึ่งสามารถมีสถานะหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
ตามหลังผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ห้าคน คฤหาสน์หลบร้อนก็รับสมาชิกมาอีกกลุ่มหนึ่ง ยังคงเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวที่คุณสมบัติไม่เลวเหมือนเดิม
แต่พวกเขายังได้แค่ถือว่าเป็นตัวสำรองเท่านั้น ยังต้องรอทดสอบตามเกณฑ์อีกสามถึงห้าปี นี่คือกฎข้อหนึ่งที่ปีนั้นหลินจวินปี้กับซ่งเกาหยวนร่วมมือกันตั้งไว้ คล้ายคลึงกับจิ้นซื่อที่เข้าสอบในวงการขุนนางโลกมนุษย์ล่างภูเขา จะต้อง ‘เดินไปตาม’ ที่ว่าการแห่งต่างๆ ถือเป็นการฝึกประสบการณ์ก่อนจะได้เข้ารับตำแหน่งที่ว่างอยู่อย่างเป็นทางการ แต่ไม่ใช่ว่าตัวสำรองทุกคนจะสามารถกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานได้อย่างแท้จริง ผู้ฝึกกระบี่บางส่วนที่สุดท้ายแล้วมิอาจเป็นสมาชิกได้อย่างเป็นทางการ น้ำดีไม่ไหลเข้านาคนนอก พวกเขาจึงต้องไปอยู่นครปี้สู่ ทำงานภายใต้การดูแลของต่งปู้เต๋อและสวีหนิง
เฉินผิงอันพยักหน้า “ในเรื่องนี้ สายอิ่นกวานตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าคัดเฉพาะส่วนที่ดีที่สุดไปจริงๆ นั่นแหละ”
ฟ่านต้าเช่อยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวาน นครบินทะยานไม่มีใครกล้าแย่งกับพวกเรา อีกอย่างสำหรับผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยพวกนั้นแล้ว การได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานของพวกเรา แน่นอนว่าต้องเป็นตัวเลือกแรกอย่างไม่ต้องสงสัย หากไม่เป็นเพราะธรณีประตูของพวกเราสูงเกินไป ผู้ฝึกกระบี่ของคฤหาสน์หลบร้อนในทุกวันนี้ อย่างน้อยต้องมีคนมากกว่านี้หนึ่งเท่าตัว!”
เฉินผิงอันถามคำถามยาวเหยียดติดต่อกัน “ด้านนอกไม่มีคำนินทาอะไรบ้างเลยหรือ? มีใครที่ชี้ไม้ชี้มือใส่การลงมือของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานพวกเราหรือไม่? คฤหาสน์หลบร้อนไม่มีเจ้าพวกคนที่ช่วยพูดทวงความเป็นธรรม เปิดสมุดบัญชีขึ้นมาโดยเฉพาะบ้างเลยหรือ?”
ฟ่านต้าเช่อยิ้มเขินอาย “คำซุบซิบนินทาก็มีบ้าง เพียงแต่ไม่มากนัก พวกเราจึงไม่ได้ถือสา”
เฉินผิงอันตบไหล่ของฟ่านต้าเช่อ “ต้าเช่ออ่า พวกเจ้ายังคงเป็นคนซื่อกันอยู่เหมือนเดิม”
ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานในเวลานี้ หลักๆ แล้วรับผิดชอบสามเรื่อง ตรวจตรา รวบรวมรายงานข่าว อบรมปลูกฝังนักรบเดนตาย มีอำนาจเต็มที่ในการดูแลกิจธุระน้อยใหญ่ในนครปี้สู่
ผู้ฝึกกระบี่ที่วันนี้อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน อันที่จริงมีไม่ถึงครึ่งหนึ่ง
หลัวเจินอี้กับฟ่านต้าเช่อ หลายปีมานี้คอยดูแลกิจธุระทั่วไปของคฤหาสน์หลบร้อนอยู่ตลอด
หวังซินสุ่ยกับฉางไท่ชิงรับผิดชอบรวบรวม คัดกรองและตรวจสอบรายงานข่าวประเภทต่างๆ ต่งปู้เต๋อคือเจ้านครปี้สู่ สวีหนิงคือรองเจ้านคร ทุกวันจะต้องมาขานชื่อตรงเวลา เรื่องของการอบรมปลูกฝังสายลับและนักรบพลีชีพก็ตกเป็นหน้าที่ของนครปี้สู่
กู้เจี้ยนหลงยังฝึกประสบการณ์อยู่ข้างนอก ในฐานะผู้ปกป้องมรรคาของสายอิ่นกวาน จึงต้องออกเดินทางฝึกประสบการณ์ร่วมกับสายสิงกวาน ต่างคนต่างพาผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งไปยังแดนบินห่างไกลที่มีป้ายศิลาตั้งไว้
ผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์นครบินทะยานห้าคนนั้น ทุกวันนี้ก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ต่างคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง คอยฝึกประสบการณ์อยู่ด้านนอก
ด้านนอกประตูของห้องโถงใหญ่คฤหาสน์หลบร้อนมีกลอนคู่บทหนึ่งแขวนไว้ คือกลอนประตูมังกร (กลอนคู่ประเภทหนึ่งที่แต่ละด้านจะเขียนตัวอักษรสองบรรทัดหรือสองบรรทัดขึ้นไปเรียงกัน ทำให้ดูเหมือนตัวอักษร ‘门’ ที่แปลว่าประตู จึงมีชื่อว่ากลอนประตูมังกร) ที่ไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนัก เขียนด้วยตัวอักษรที่ใช้แกะสลักลงบนป้ายศิลาซึ่งมีกลิ่นอายความเก่าแก่โบราณ
กวีนิพนธ์เฉิดฉายนานนับพันปี ขุนเขาสายน้ำจำแลงกลายเป็นปราณบริสุทธิ์ ภูเขาสูงน้ำลึกปราณกระบี่ยาว มีเพียงแสงกระบี่ของข้าที่เหมือนสายรุ้ง ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก้มหัวกราบกรานหมื่นปี
นครเดียวดายสูงตระหง่าน ฟ้าดินตะวันจันทราจักรวาลกว้างใหญ่ ฟ้ากว้างดินไกลรสสุราพรั่งพร้อม ผู้ฝึกกระบี่ของบ้านเกิดข้ามากมายดุจก้อนเมฆ แบ่งผู้ฝึกกระบี่สองประเภทจากเก้าทวีปแห่งไพศาล
ฟ่านต้าเช่อยิ้มอย่างรู้ใจ
กลอนคู่บทนี้แน่นอนว่าต้องเป็นลายมือของใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเรานั่นเอง
ว่ากันว่าปีนั้นช่วงปลายปีระหว่างที่พักรบ เซียนกระบี่โฉวเหมียวได้ขอให้อิ่นกวานเขียนกลอนคู่หนึ่งบท อิ่นกวานไม่ยอม บอกว่าตัวอักษรของตัวเองไม่ได้เรื่อง ผลคือแม้แต่ผู้พิทักษ์ใหญ่ทั้งสี่ซึ่งมีกวอจู๋จิ่วเป็นผู้นำก็ยังพากันจู่โจมเขา อิ่นกวานจึงได้แต่บอกเนื้อหา ให้โฉวเหมียวกับหลินจวินปี้เขียนแทน แยกกันเขียนกลอนด้านบนกับด้านล่าง ผลคือก็ยังไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงมีกลอนที่คนแก่และเด็กทั่วทั้งนครบินทะยานล้วนรู้จักบทนี้เกิดขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!