กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 914

สรุปบท บทที่ 914.3 กลอนคู่ประตูมังกร: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 914.3 กลอนคู่ประตูมังกร – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 914.3 กลอนคู่ประตูมังกร ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

“ใต้หล้าห้าสีในทุกวันนี้ ปลาและมังกรปะปนกัน ผู้ฝึกลมปราณที่ประหลาดแค่ไหนล้วนมีหมด พูดถึงแค่ใต้หล้าไพศาลก็มีตู้ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณ กั้วเค่อ เทพแห่งโรคระบาด ศพงาม เพชฌฆาตและคนขายกระจก ฯลฯ ส่วนใต้หล้ามืดสลัวก็มีโจรขโมยข้าวสาร เซียนสละศพ มือสาวงามม้วนผ้าม่าน คนแบกหาม คนยกโลงศพ ทูตตระเวนภูเขา ขุนนางหญิงแต่งหน้า คนถือดาบ อาจารย์คำเดียว ทาเหลี่ยวฮั่น วิชาอภินิหารที่น่าเหลือเชื่อหลากหลายชนิด วิธีการแปลกประหลาดสารพัดรูปแบบ มีมากมายเกินกว่าจะป้องกันได้หวาดไหว ยกตัวอย่างเช่นโรคระบาดที่มองดูเหมือนปะทุออกมาอย่างไร้ลางบอกกล่าว ไม่แน่ว่าอาจเป็น ‘เทพแห่งโรคระบาด’ ตนใดที่แฝงตัวอยู่ในนครใต้อาณัติบางแห่งมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ภัยพิบัติจากฟ้าหายนะจากคน’ ที่แพร่ไปเป็นวงกว้างซึ่งไม่ได้เล่นงานผู้ฝึกลมปราณเป็นพิเศษ จะต้องมีการเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ เหตุผลเดียวกัน จวนและภูเขาทั้งหมดที่อยู่ในภูเขาจื่อฝู่ วันหน้าจะต้องรับตัวสาวใช้และนักการจำนวนไม่เท่ากันมา ภูเขาแปดลูกจะต้องป้องกันไม่ให้พวกทูตลาดตระเวนภูเขาแฝงตัวเข้าไปใช่หรือไม่? ต้นกำเนิดน้ำของสถานที่ต่างๆ ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานต้องคอยไปลาดตระเวนตามเวลาที่กำหนดไว้หรือไม่?”

“เรื่องนี้นอกจากคฤหาสน์หลบร้อนจะต้องทำการตรวจสอบอย่างลับๆ ไม่สามารถเพิกเฉยได้แม้แต่น้อย ในเรื่องของกิจธุระที่เป็นรูปธรรมจะต้องให้สิงกวานร่วมมือกับเฉวียนฟู่ ช่วยกันเตรียมการแต่เนิ่นๆ ป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน”

“อีกทั้งในเรื่องนี้จำเป็นต้องเป็นความสำคัญในสำคัญที่ศาลบรรพจารย์ยกมาประชุมร่วมกัน”

“นอกจากนี้พวกเจ้าทั้งหลายน่าจะรู้เรื่องหนึ่งชัดเจนดี ปีนั้นคฤหาสน์หลบร้อนของพวกเราอาจจะยังหาตัวหมากลับๆ ของเปลี่ยวร้างไม่เจอทั้งหมด”

เฉินผิงอันยกนิ้วชี้ไปที่ท้องฟ้า “สมมติว่ามีฝนกระหน่ำที่ผ่านการเล่นตุกติกตกลงมา มนุษย์ธรรมดาจะป้องกันอย่างไร? หากมีคนเล่นติกตุกท่ามกลางม่านฝน จะทำอย่างไร? สี่นครใต้อาณัติจะต้องมีคนคอยจับตามองโดยเฉพาะหรือไม่?”

เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ “หากจะบอกว่าอยากเล่นตุกติกกับน้ำฝน ถ้าอย่างนั้นก่อนที่ฝนจะตกต้องมีเมฆดำทะมึนมารวมตัวกัน จะดีจะชั่วก็ยังมีลางบอกเหตุ แล้วลมล่ะ? หรือในอนาคตขยับขยายเมืองออกไป ปลูกพืชพรรณดอกไม้หลากหลายชนิดข้างทาง ถึงเวลานั้นหากเป็นดอกไม้บางอย่างล่ะ?”

เฉินผิงอันเปิดสมุดเล่มหนึ่ง ใช้นิ้วพลิกไปเรื่อยๆ เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “อย่าลืมล่ะว่ายังมีตำราชั้นประถมตามโรงเรียนต่างๆ ด้วย”

เฉินผิงอันคล้ายพูดพึมพำอยู่กับตัวเอง “สายลับและนักรบพลีชีพที่พวกเราปลูกฝังขึ้นในอนาคต จู่ๆ หันไปทำการค้าที่เอนเอียงเข้าหาทั้งสองฝ่าย แล้วคฤหาสน์หลบร้อนควรจะป้องกันและแยกแยะอย่างไร”

พวกหลัวเจินอี้ฟังด้วยอาการชาไปทั้งหนังศีรษะ

เฉินผิงอันพลันคืนสติ เอ่ยว่า “คนที่มองอยู่นอกสถานการณ์เห็นได้ชัดเจน ดังนั้นจะต้องให้ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์บางคนของคฤหาสน์หลบร้อนพาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ สมมติว่าตัวเองคือศัตรูของนครบินทะยาน ทำการอนุมานการโจมตีและป้องกันบนสนามรบกับพวกเจ้า”

“ศัตรูของผู้ฝึกกระบี่นครบินทะยาน ไม่ใช่ว่าจะต้องเข่นฆ่ากันตัวต่อตัวแค่บนสนามรบเท่านั้น แผนการชั่วร้ายที่วกวนอ้อมค้อมพวกนี้ ยิ่งนานวันจะยิ่งมีมากขึ้น”

“สิ่งที่สามารถป้องกันลมฝนให้กับนครบินทะยานได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ค่ายกลใหญ่พิทักษ์เมืองที่ยืนนิ่งไม่ขยับ แต่เป็นในนี้ เป็นพวกเจ้า เป็นคฤหาสน์หลบร้อนและผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานอย่างพวกเรา”

“แต่สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว หากคิดจะแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ก็เป็นแค่เรื่องของการถามกระบี่เท่านั้น ในใต้หล้าห้าสี ไม่มีเรื่องใดที่การถามกระบี่ของนครบินทะยานแก้ไขไม่ได้ หากว่ามี ก็ถามสองครั้ง หากยังไม่พอก็สามครั้ง ถามจนกระทั่งคนทั้งใต้หล้าต่างอกสั่นขวัญผวา ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ายื่นมือเข้ามาแตะนครบินทะยานง่ายๆ”

“ยกตัวอย่างเช่นกองกำลังเบื้องหลังบางอย่างที่ถูกพวกเจ้าสาวเบาะแสลากตัวออกมาในวันหน้า นครบินทะยานก็จำเป็นต้องเชือดไก่ให้ลิงดู ไม่มีอะไรให้ต้องลังเลใจ การถามกระบี่ครั้งนั้นต้องเร็วแม่นยำและอำมหิตมากพอ จำเป็นต้องมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่มากพอ ผู้ที่เป็นศัตรูด้วย ไม่ว่าจะเป็นสำนักบนภูเขาหรือราชวงศ์ล่างภูเขา แค่ดึงรากถอนโคน สะบั้นควันธูป สะบั้นชะตาแคว้นของอีกฝ่ายให้พอ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อก็ทำการตัดรากถอนโคนให้ได้อย่างแท้จริง”

ในที่สุดฟ่านต้าเช่อก็มีโอกาสได้เปิดปากพูด ถามเสียงเบาว่า “จัดงานประชุมศาลบรรพจารย์ขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วให้ใต้เท้าอิ่นกวานพูดเรื่องพวกนี้จะไม่ดีกว่าหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ครั้งนี้ข้าอยู่ได้ไม่นาน อีกไม่กี่วันที่ใบถงทวีปจะต้องจัดงานฉลองก่อตั้งสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ข้าจำเป็นต้องกลับไป ครั้งหน้าที่กลับมาที่นี่ก็อาจต้องรออีกยี่สิบสามสิบปี อีกทั้งบวกกับเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเหมาะที่ข้าจะปรากฎตัวในศาลบรรพจารย์”

เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว “ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งท่านนั้นของพวกเรา ในอนาคตต้องก่อตั้งพรรคอยู่ในใต้หล้าห้าสีแน่นอน อีกทั้งเกินครึ่งเติ้งเหลียงจะต้องรับตำแหน่งเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างภูเขาจิ่วตู”

หลัวเจินอี้ขมวดคิ้วน้อยๆ ถามว่า “กังวลว่าเติ้งเหลียงก่อตั้งสำนักเบื้องล่างแล้วจะกลายเป็นสำนักวิถีกระบี่ที่มีแต่ผลงานไม่มีชื่อเสียงหรือ?”

ก็เหมือนอย่างอารามเสวียนตูใหญ่ของใต้หล้ามืดสลัว ในฐานะผู้นำสายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋า แน่นอนว่าผู้ฝึกตนในอารามต่างก็มีสถานะในทำเนียบนักพรต แต่แท้จริงแล้วลูกศิษย์ผู้สืบทอดส่วนหนึ่งกลับเป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวที่สวมยศนักพรต การฝึกตนทุกอย่างของนักพรตกลุ่มนี้ก็คือการศึกษามรรคกถาอาคมเซียนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของอารามเสวียนตูเพื่อช่วยเหลือเวทกระบี่ของตัวเอง

ฉางไท่ชิงเอ่ย “ด้วยนิสัยใจคอของเติ้งอันดับหนึ่ง ต่อให้ในอนาคตเขาจะหลุดพ้นไปจากนครบินทะยาน แต่ก็เชื่อว่าเขาต้องเป็นฝ่ายเลือกที่จะถอนตัวอย่างบริสุทธิ์ นอกจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดกลุ่มน้อยแล้วย่อมไม่มีทางพาผู้ฝึกกระบี่ไปด้วยมากกว่านั้น”

ฉางไช่ชิงไม่กล้าพูดให้ตรงไปตรงมามากกว่านี้ ต่อให้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งอย่างเติ้งเหลียงกล้าคิดอย่างนี้ แต่เขาจะกล้าทำเช่นนี้หรือ?

จะว่าไปแล้ว สำหรับส่วนลึกในใจของฉางไท่ชิงแล้ว เติ้งเหลียงก็ยังถือว่าเป็นคนนอกครึ่งตัว อย่างมากสุดก็ได้แค่ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ของบ้านเกิดครึ่งตัวเท่านั้น

ขนาดฉางไท่ชิงยังเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปในท้องถิ่นเลย

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ต่อให้เติ้งเหลียงพาผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นกลุ่มหนึ่งไปสวามิภักดิ์กับภูเขาจื่อฝู่ แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่อาจนับเป็นอะไรได้ ข้าไม่ได้ถือสาเรื่องพวกนี้ ต่อให้สำนักแห่งนั้นจะมีผู้ฝึกกระบี่เยอะ ยึดครองเอาโชคชะตาวิถีกระบี่ส่วนหนึ่งของนครบินทะยานไป แต่ก็ยังไม่ใช่ปัญหาอะไร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เติ้งเหลียงและสำนักในอนาคตของเขาสมควรได้ อีกทั้งใต้หล้าห้าสีกว้างขวางถึงเพียงนี้ ต่อให้มีสำนักวิถีกระบี่เพิ่มมาแห่งหนึ่ง แล้วก็เป็นของเติ้งเหลียงและของภูเขาจิ่วตูพอดี สำหรับนครบินทะยานและเติ้งเหลียงแล้วกลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องดี”

“ข้าก็แค่กังวลถึงคนที่จะมารับตำแหน่งเจ้าสำนักต่อจากเติ้งเหลียง รวมไปถึงสมาชิกศาลบรรพจารย์ พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ควันธูปอะไรกับนครบินทะยานแล้ว แต่คนผู้นี้กลับจะคิดว่านครบินทะยานสมควรที่จะต้องยอมถอยให้สำนักของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า”

นอกจากสถานะของผู้ฝึกกระบี่แล้ว เติ้งเหลียงยังเป็นเจ้าของยอดเขาซู่หรานแห่งภูเขาจิ่วตู และยิ่งมีสถานะที่ลึกลับอำพรางอย่างตำแหน่งเหวยเปียนหลางที่อยู่บนทำเนียบเขียว บนร่างแบกรับโชคชะตาส่วนหนึ่งของภูเขาจิ่วตู

นี่จึงเป็นเหตุให้ตัวของเติ้งเหลียงเองก็คือสะพานที่เชื่อมโยงระหว่างภูเขาจิ่วตูกับใต้หล้าห้าสีอย่างที่มองไม่เห็น

บนมือของเติ้งเหลียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดประตูของใต้หล้าห้าสีครั้งหน้า ผู้ฝึกลมปราณของภูเขาจิ่วตูกรูกันเข้ามา ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่ปีก็จะสามารถบ่มเพาะผู้ฝึกตนผีวิญญาณหยินกลุ่มใหญ่ได้ ไม่แน่ว่าในเวลาสั้นๆ แค่สามปีห้าปี ภูเขาจิ่วตูของใต้หล้าไพศาลก็อาจจะอาศัยสิ่งนี้กระโดดเลื่อนขั้นมาเป็น ‘สำนักดั้งเดิม’ ที่ได้ครอบครองทั้งสำนักเบื้องบนและสำนักเบื้องล่าง

ด้วยคุณสมบัติในการฝึกตนของเติ้งเหลียง รวมไปถึงความสัมพันธ์แนบชิดระหว่างเขากับพวกผู้ฝึกกระบี่สามท่านอย่างเซ่อโจว เขาก็จะต้องได้เรียนรู้วิชาอภินิหารที่สืบทอดมาของสายเรือนโป้จีแน่นอน

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันก็ได้แค่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ก็เหมือนอย่างที่ฉางไท่ชิงพูด เขาเชื่อมั่นในนิสัยใจคอของเติ้งเหลียง

เฉินผิงอันแค่กังวลว่าอดีตสหายร่วมงานที่เป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครบินทะยานในทุกวันนี้ และเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างภูเขาจิ่วตูในอนาคต เนื่องจากสถานะค่อยๆ เปลี่ยนไป วันใดวันหนึ่งจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มิอาจทำได้ถึงขั้นที่ว่าพบเจอด้วยดีจากลากันด้วยดี เริ่มต้นด้วยดีจบลงด้วยดีกับนครบินทะยานได้

หากอิงตามการแบ่งอำนาจหน้าที่ของที่ว่าการในราชวงศ์ล่างภูเขา สายสิงกวานก็น่าจะเท่ากับว่าได้ควบคุมกรมขุนนางและกรมกลาโหม

สายเฉวียนฝู่ควบคุมกรมคลังและกรมโยธา คฤหาสน์หลบร้อนเทียบเท่าได้กับกรมอาญา

“หากว่าสี่อย่างน้อยใหญ่นี้ต่างก็ไม่ขัดแย้งกันเอง นี่ก็คือมหามรรคา”

“ดวงตะวันลอยขึ้น ดวงจันทราลดลงต่ำ ดวงดาวเคลื่อนย้าย ผู้ฝึกกระบี่ส่งกระบี่ เดินไปบนมหามรรคา”

ฉางไท่ชิงพยักหน้ารับเบาๆ

หลัวเจินอี้เหม่อลอยไป

หวังซินสุ่ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตบโต๊ะร้องตะโกน “วิสัยทัศน์ดุจอิฐเทกระเบื้องสร้างเป็นบ้านสูง หน้าอกกว้างใจใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่กลับอธิบายหลักการเหตุผลที่ลึกล้ำให้ตื้นเขินฟังง่าย ก็มีเพียงใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราแล้ว ไม่มีใครทำได้อีกเป็นคนที่สอง!”

ใต้เท้าอิ่นกวานตีหน้าเคร่งไม่พูดไม่จา

ประมุขกวอแห่งภูเขาเล็กบางลูกไม่อยู่ ลูกสมุนอีกสามคนที่เหลือก็ขาดการประชุม หวังซินสุ่ยจึงรู้สึกพิพักพิพ่วนนิดๆ ฟ่านต้าเช่อเองก็จริงๆ เลย ไม่รู้จักให้การสนับสนุนกันเสียบ้าง

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากว่าข้าไม่เปิดปากพูด อย่างน้อยบรรยากาศก็ต้องวังเวงไปอีกครึ่งชั่วยาม”

หวังซินสุ่ยหัวเราะหึหึ

หันหน้าไปมองแสงแดดนอกห้องโถงใหญ่ วันนี้ทำให้ใจคนอบอุ่นมากเป็นพิเศษ

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “บอกตามตรง ไม่เพียงแค่คฤหาสน์หลบร้อนของพวกเรา สองสายที่เหลืออย่างสายสิงกวานและเฉวียนฝู่ อันที่จริงต่างก็ทำได้ดีมาก”

“พูดถึงแค่สายสิงกวานของฉีโซ่ว หากข้าคิดจงใจอยากจะจับผิดเขาก็ยากมากเหมือนกัน”

เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าหลังจากตนพูดประโยคนี้จบไปแล้ว สายตาของพวกฟ่านต้าเช่อก็เปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาดอยู่บ้าง

เฉินผิงอันจึงได้แต่พูดแก้ตัวว่า “ไม่ได้มีความนัยอะไรแฝงอยู่หรอกนะ”

หวังซินสุ่ยรีบพูดทันที “คำพูดของใต้เท้าอิ่นกวานใหญ่สุด!”

พูดถึงแค่สายผู้ฝึกยุทธของคฤหาสน์หลบหนาว ฉีโซ่วรู้ดีว่าเหนี่ยนซินสนิทกับสายอิ่นกวานมาก แต่กระนั้นก็ยังอบรมปลูกฝังผู้ฝึกยุทธกลุ่มนั้นอย่างเต็มกำลัง จัดหาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองสองคนและผู้ฝึกตนสำนักการทหารหลายคนที่มาเข้าร่วมกับสายสิงกวานมาให้โดยเฉพาะ เพื่อให้ไป ‘ป้อนกระบี่’ และ ‘ป้อนกระบวนท่า’ ให้ที่คฤหาสน์หลบหนาวตรงเวลา ช่วยให้ผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ที่ตอนนี้มีโอกาสลงมือไม่มากพยายามเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้ที่แท้จริงให้ได้มากที่สุด

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!