กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 914

“ใต้หล้าห้าสีในทุกวันนี้ ปลาและมังกรปะปนกัน ผู้ฝึกลมปราณที่ประหลาดแค่ไหนล้วนมีหมด พูดถึงแค่ใต้หล้าไพศาลก็มีตู้ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณ กั้วเค่อ เทพแห่งโรคระบาด ศพงาม เพชฌฆาตและคนขายกระจก ฯลฯ ส่วนใต้หล้ามืดสลัวก็มีโจรขโมยข้าวสาร เซียนสละศพ มือสาวงามม้วนผ้าม่าน คนแบกหาม คนยกโลงศพ ทูตตระเวนภูเขา ขุนนางหญิงแต่งหน้า คนถือดาบ อาจารย์คำเดียว ทาเหลี่ยวฮั่น วิชาอภินิหารที่น่าเหลือเชื่อหลากหลายชนิด วิธีการแปลกประหลาดสารพัดรูปแบบ มีมากมายเกินกว่าจะป้องกันได้หวาดไหว ยกตัวอย่างเช่นโรคระบาดที่มองดูเหมือนปะทุออกมาอย่างไร้ลางบอกกล่าว ไม่แน่ว่าอาจเป็น ‘เทพแห่งโรคระบาด’ ตนใดที่แฝงตัวอยู่ในนครใต้อาณัติบางแห่งมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ภัยพิบัติจากฟ้าหายนะจากคน’ ที่แพร่ไปเป็นวงกว้างซึ่งไม่ได้เล่นงานผู้ฝึกลมปราณเป็นพิเศษ จะต้องมีการเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ เหตุผลเดียวกัน จวนและภูเขาทั้งหมดที่อยู่ในภูเขาจื่อฝู่ วันหน้าจะต้องรับตัวสาวใช้และนักการจำนวนไม่เท่ากันมา ภูเขาแปดลูกจะต้องป้องกันไม่ให้พวกทูตลาดตระเวนภูเขาแฝงตัวเข้าไปใช่หรือไม่? ต้นกำเนิดน้ำของสถานที่ต่างๆ ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานต้องคอยไปลาดตระเวนตามเวลาที่กำหนดไว้หรือไม่?”

“เรื่องนี้นอกจากคฤหาสน์หลบร้อนจะต้องทำการตรวจสอบอย่างลับๆ ไม่สามารถเพิกเฉยได้แม้แต่น้อย ในเรื่องของกิจธุระที่เป็นรูปธรรมจะต้องให้สิงกวานร่วมมือกับเฉวียนฟู่ ช่วยกันเตรียมการแต่เนิ่นๆ ป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน”

“อีกทั้งในเรื่องนี้จำเป็นต้องเป็นความสำคัญในสำคัญที่ศาลบรรพจารย์ยกมาประชุมร่วมกัน”

“นอกจากนี้พวกเจ้าทั้งหลายน่าจะรู้เรื่องหนึ่งชัดเจนดี ปีนั้นคฤหาสน์หลบร้อนของพวกเราอาจจะยังหาตัวหมากลับๆ ของเปลี่ยวร้างไม่เจอทั้งหมด”

เฉินผิงอันยกนิ้วชี้ไปที่ท้องฟ้า “สมมติว่ามีฝนกระหน่ำที่ผ่านการเล่นตุกติกตกลงมา มนุษย์ธรรมดาจะป้องกันอย่างไร? หากมีคนเล่นติกตุกท่ามกลางม่านฝน จะทำอย่างไร? สี่นครใต้อาณัติจะต้องมีคนคอยจับตามองโดยเฉพาะหรือไม่?”

เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ “หากจะบอกว่าอยากเล่นตุกติกกับน้ำฝน ถ้าอย่างนั้นก่อนที่ฝนจะตกต้องมีเมฆดำทะมึนมารวมตัวกัน จะดีจะชั่วก็ยังมีลางบอกเหตุ แล้วลมล่ะ? หรือในอนาคตขยับขยายเมืองออกไป ปลูกพืชพรรณดอกไม้หลากหลายชนิดข้างทาง ถึงเวลานั้นหากเป็นดอกไม้บางอย่างล่ะ?”

เฉินผิงอันเปิดสมุดเล่มหนึ่ง ใช้นิ้วพลิกไปเรื่อยๆ เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “อย่าลืมล่ะว่ายังมีตำราชั้นประถมตามโรงเรียนต่างๆ ด้วย”

เฉินผิงอันคล้ายพูดพึมพำอยู่กับตัวเอง “สายลับและนักรบพลีชีพที่พวกเราปลูกฝังขึ้นในอนาคต จู่ๆ หันไปทำการค้าที่เอนเอียงเข้าหาทั้งสองฝ่าย แล้วคฤหาสน์หลบร้อนควรจะป้องกันและแยกแยะอย่างไร”

พวกหลัวเจินอี้ฟังด้วยอาการชาไปทั้งหนังศีรษะ

เฉินผิงอันพลันคืนสติ เอ่ยว่า “คนที่มองอยู่นอกสถานการณ์เห็นได้ชัดเจน ดังนั้นจะต้องให้ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์บางคนของคฤหาสน์หลบร้อนพาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ สมมติว่าตัวเองคือศัตรูของนครบินทะยาน ทำการอนุมานการโจมตีและป้องกันบนสนามรบกับพวกเจ้า”

“ศัตรูของผู้ฝึกกระบี่นครบินทะยาน ไม่ใช่ว่าจะต้องเข่นฆ่ากันตัวต่อตัวแค่บนสนามรบเท่านั้น แผนการชั่วร้ายที่วกวนอ้อมค้อมพวกนี้ ยิ่งนานวันจะยิ่งมีมากขึ้น”

“สิ่งที่สามารถป้องกันลมฝนให้กับนครบินทะยานได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ค่ายกลใหญ่พิทักษ์เมืองที่ยืนนิ่งไม่ขยับ แต่เป็นในนี้ เป็นพวกเจ้า เป็นคฤหาสน์หลบร้อนและผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานอย่างพวกเรา”

“แต่สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว หากคิดจะแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ก็เป็นแค่เรื่องของการถามกระบี่เท่านั้น ในใต้หล้าห้าสี ไม่มีเรื่องใดที่การถามกระบี่ของนครบินทะยานแก้ไขไม่ได้ หากว่ามี ก็ถามสองครั้ง หากยังไม่พอก็สามครั้ง ถามจนกระทั่งคนทั้งใต้หล้าต่างอกสั่นขวัญผวา ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ายื่นมือเข้ามาแตะนครบินทะยานง่ายๆ”

“ยกตัวอย่างเช่นกองกำลังเบื้องหลังบางอย่างที่ถูกพวกเจ้าสาวเบาะแสลากตัวออกมาในวันหน้า นครบินทะยานก็จำเป็นต้องเชือดไก่ให้ลิงดู ไม่มีอะไรให้ต้องลังเลใจ การถามกระบี่ครั้งนั้นต้องเร็วแม่นยำและอำมหิตมากพอ จำเป็นต้องมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่มากพอ ผู้ที่เป็นศัตรูด้วย ไม่ว่าจะเป็นสำนักบนภูเขาหรือราชวงศ์ล่างภูเขา แค่ดึงรากถอนโคน สะบั้นควันธูป สะบั้นชะตาแคว้นของอีกฝ่ายให้พอ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อก็ทำการตัดรากถอนโคนให้ได้อย่างแท้จริง”

ในที่สุดฟ่านต้าเช่อก็มีโอกาสได้เปิดปากพูด ถามเสียงเบาว่า “จัดงานประชุมศาลบรรพจารย์ขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วให้ใต้เท้าอิ่นกวานพูดเรื่องพวกนี้จะไม่ดีกว่าหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ครั้งนี้ข้าอยู่ได้ไม่นาน อีกไม่กี่วันที่ใบถงทวีปจะต้องจัดงานฉลองก่อตั้งสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ข้าจำเป็นต้องกลับไป ครั้งหน้าที่กลับมาที่นี่ก็อาจต้องรออีกยี่สิบสามสิบปี อีกทั้งบวกกับเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเหมาะที่ข้าจะปรากฎตัวในศาลบรรพจารย์”

เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว “ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งท่านนั้นของพวกเรา ในอนาคตต้องก่อตั้งพรรคอยู่ในใต้หล้าห้าสีแน่นอน อีกทั้งเกินครึ่งเติ้งเหลียงจะต้องรับตำแหน่งเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างภูเขาจิ่วตู”

หลัวเจินอี้ขมวดคิ้วน้อยๆ ถามว่า “กังวลว่าเติ้งเหลียงก่อตั้งสำนักเบื้องล่างแล้วจะกลายเป็นสำนักวิถีกระบี่ที่มีแต่ผลงานไม่มีชื่อเสียงหรือ?”

ก็เหมือนอย่างอารามเสวียนตูใหญ่ของใต้หล้ามืดสลัว ในฐานะผู้นำสายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋า แน่นอนว่าผู้ฝึกตนในอารามต่างก็มีสถานะในทำเนียบนักพรต แต่แท้จริงแล้วลูกศิษย์ผู้สืบทอดส่วนหนึ่งกลับเป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวที่สวมยศนักพรต การฝึกตนทุกอย่างของนักพรตกลุ่มนี้ก็คือการศึกษามรรคกถาอาคมเซียนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของอารามเสวียนตูเพื่อช่วยเหลือเวทกระบี่ของตัวเอง

ฉางไท่ชิงเอ่ย “ด้วยนิสัยใจคอของเติ้งอันดับหนึ่ง ต่อให้ในอนาคตเขาจะหลุดพ้นไปจากนครบินทะยาน แต่ก็เชื่อว่าเขาต้องเป็นฝ่ายเลือกที่จะถอนตัวอย่างบริสุทธิ์ นอกจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดกลุ่มน้อยแล้วย่อมไม่มีทางพาผู้ฝึกกระบี่ไปด้วยมากกว่านั้น”

ฉางไช่ชิงไม่กล้าพูดให้ตรงไปตรงมามากกว่านี้ ต่อให้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งอย่างเติ้งเหลียงกล้าคิดอย่างนี้ แต่เขาจะกล้าทำเช่นนี้หรือ?

จะว่าไปแล้ว สำหรับส่วนลึกในใจของฉางไท่ชิงแล้ว เติ้งเหลียงก็ยังถือว่าเป็นคนนอกครึ่งตัว อย่างมากสุดก็ได้แค่ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ของบ้านเกิดครึ่งตัวเท่านั้น

ขนาดฉางไท่ชิงยังเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปในท้องถิ่นเลย

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ต่อให้เติ้งเหลียงพาผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นกลุ่มหนึ่งไปสวามิภักดิ์กับภูเขาจื่อฝู่ แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่อาจนับเป็นอะไรได้ ข้าไม่ได้ถือสาเรื่องพวกนี้ ต่อให้สำนักแห่งนั้นจะมีผู้ฝึกกระบี่เยอะ ยึดครองเอาโชคชะตาวิถีกระบี่ส่วนหนึ่งของนครบินทะยานไป แต่ก็ยังไม่ใช่ปัญหาอะไร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เติ้งเหลียงและสำนักในอนาคตของเขาสมควรได้ อีกทั้งใต้หล้าห้าสีกว้างขวางถึงเพียงนี้ ต่อให้มีสำนักวิถีกระบี่เพิ่มมาแห่งหนึ่ง แล้วก็เป็นของเติ้งเหลียงและของภูเขาจิ่วตูพอดี สำหรับนครบินทะยานและเติ้งเหลียงแล้วกลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องดี”

“ข้าก็แค่กังวลถึงคนที่จะมารับตำแหน่งเจ้าสำนักต่อจากเติ้งเหลียง รวมไปถึงสมาชิกศาลบรรพจารย์ พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ควันธูปอะไรกับนครบินทะยานแล้ว แต่คนผู้นี้กลับจะคิดว่านครบินทะยานสมควรที่จะต้องยอมถอยให้สำนักของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า”

นอกจากสถานะของผู้ฝึกกระบี่แล้ว เติ้งเหลียงยังเป็นเจ้าของยอดเขาซู่หรานแห่งภูเขาจิ่วตู และยิ่งมีสถานะที่ลึกลับอำพรางอย่างตำแหน่งเหวยเปียนหลางที่อยู่บนทำเนียบเขียว บนร่างแบกรับโชคชะตาส่วนหนึ่งของภูเขาจิ่วตู

นี่จึงเป็นเหตุให้ตัวของเติ้งเหลียงเองก็คือสะพานที่เชื่อมโยงระหว่างภูเขาจิ่วตูกับใต้หล้าห้าสีอย่างที่มองไม่เห็น

บนมือของเติ้งเหลียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดประตูของใต้หล้าห้าสีครั้งหน้า ผู้ฝึกลมปราณของภูเขาจิ่วตูกรูกันเข้ามา ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่ปีก็จะสามารถบ่มเพาะผู้ฝึกตนผีวิญญาณหยินกลุ่มใหญ่ได้ ไม่แน่ว่าในเวลาสั้นๆ แค่สามปีห้าปี ภูเขาจิ่วตูของใต้หล้าไพศาลก็อาจจะอาศัยสิ่งนี้กระโดดเลื่อนขั้นมาเป็น ‘สำนักดั้งเดิม’ ที่ได้ครอบครองทั้งสำนักเบื้องบนและสำนักเบื้องล่าง

ด้วยคุณสมบัติในการฝึกตนของเติ้งเหลียง รวมไปถึงความสัมพันธ์แนบชิดระหว่างเขากับพวกผู้ฝึกกระบี่สามท่านอย่างเซ่อโจว เขาก็จะต้องได้เรียนรู้วิชาอภินิหารที่สืบทอดมาของสายเรือนโป้จีแน่นอน

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันก็ได้แค่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ก็เหมือนอย่างที่ฉางไท่ชิงพูด เขาเชื่อมั่นในนิสัยใจคอของเติ้งเหลียง

เฉินผิงอันแค่กังวลว่าอดีตสหายร่วมงานที่เป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครบินทะยานในทุกวันนี้ และเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างภูเขาจิ่วตูในอนาคต เนื่องจากสถานะค่อยๆ เปลี่ยนไป วันใดวันหนึ่งจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มิอาจทำได้ถึงขั้นที่ว่าพบเจอด้วยดีจากลากันด้วยดี เริ่มต้นด้วยดีจบลงด้วยดีกับนครบินทะยานได้

หากอิงตามการแบ่งอำนาจหน้าที่ของที่ว่าการในราชวงศ์ล่างภูเขา สายสิงกวานก็น่าจะเท่ากับว่าได้ควบคุมกรมขุนนางและกรมกลาโหม

สายเฉวียนฝู่ควบคุมกรมคลังและกรมโยธา คฤหาสน์หลบร้อนเทียบเท่าได้กับกรมอาญา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!