กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 914

สรุปบท บทที่ 914.5 กลอนคู่ประตูมังกร: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

บทที่ 914.5 กลอนคู่ประตูมังกร – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 914.5 กลอนคู่ประตูมังกร จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ในห้องโถงใหญ่ของนครทัวเยว่วันนี้มีการประชุม นอกจากเจ้านครหลักรองสองท่านแล้วก็ยังมีฉีโซ่วแห่งสายสิงกวานและสุ่ยอวี้สายของเรือนโป้จี คนทั้งกลุ่มกำลังอ่านกระดาษปึกหนึ่ง

นอกจากผู้ฝึกกระบี่สี่คนที่อายุพอๆ กันแล้วยังมีก่อกำเนิดเฒ่าอีกคนหนึ่ง

สุ่ยอวี้สะบัดกระดาษในมือ จุ๊ปากยิ้มเอ่ย “ช่างเป็นชื่อที่ประหลาดจริงๆ”

นามแฝงโต้วอี้ อี้ คำนี้เป็นตัวอักษรที่พบเห็นได้ไม่บ่อยจริงๆ

ผู่อวี้ยิ้มเอ่ย “อักษรอี้ มีความหมายว่าบริหารปกครอง สงบเรียบร้อย หากเพิ่มอักษรอีกตัวเข้าไปเป็นคำว่า ‘อี้อัน’ ก็จะมีความหมายว่า ‘ใต้หล้าสงบสุข’”

ในเมื่อถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีความหวังในการฝ่าทะลุขอบเขต ผู่อวี้จึงสงบใจเป็นเจ้านครของตัวเองไป หลายปีมานี้เก็บสะสมตำราเบ็ดเตล็ดเอาไว้ไม่น้อย ไม่มีเรื่องก็เปิดด่าน ผู่อวี้ถึงขั้นคิดว่าวันใดที่ปลดระวางจากตำแหน่งเจ้านคร ตนจะไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือได้หรือไม่?

ฉีโซ่วดื่มชาเงียบๆ รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ด้วยพฤติกรรมของเจ้าหมอนั่นจะต้องเปลี่ยนวิธีมาหาเรื่องตนแน่นอน

ในช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิเจียชุนปีที่เจ็ด นครบินทะยานเคยมีการจัดประชุมศาลบรรพจารย์อย่างเป็นทางการเป็นครั้งที่สอง

หรือก็คือการประชุมที่สำคัญอย่างถึงที่สุด ตัดสินการแบ่งภาระหน้าที่ฝ่ายในของนครบินทะยานและแผนการการขยับขยาย

ปีนั้นในศาลบรรพจารย์วางเก้าอี้ไว้สี่สิบเอ็ดตัว ภายหลังก็ทยอยเพิ่มมาอีกหกตัว แต่เก้าอี้สองตัวที่อยู่ใต้ภาพแขวนกลับปล่อยวางไว้อยู่ตลอด

ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเฒ่าสองคนที่ถือว่าอยู่ในสายของสิงกวานมาจากถนนไท่เซี่ยงและถนนอวี้ฮู่ ต่างก็เป็นคนของตระกูลที่เคยพึ่งพิงตระกูลใหญ่สองตระกูลอย่างสกุลเฉินและน่าหลัน

หลายปีมานี้ผู้เฒ่าทั้งสองคนคอยถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับคนรุ่นเยาว์มาโดยตลอด

สิงกวานอยู่ในนครบินทะยานและนครทัวเยว่แบ่งแยกกันก่อตั้งหน่วยค้นภูเขาและศูนย์กำจัดปีศาจขึ้นมา ก่อกำเนิดเฒ่าทั้งสองแยกกันพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่ง บางครั้งก็จะออกไปจากนครบินทะยานอย่างเงียบเชียบ เพื่อคอยปกป้องมรรคาให้กับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างที่ออกไปหาประสบการณ์ด้านนอกอย่างลับๆ และคำว่า ‘ฝึกประสบการณ์’ นี้ก็ไม่ใช่การไปเที่ยวเล่นขุนเขาสายน้ำของผู้ฝึกตนทำเนียบในใต้หล้าไพศาล อะไรคือฝึกประสบการณ์ท่ามกลางธุลีแดง การบาดเจ็บล้มตายของผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ในนครบินทะยานต่างก็ปรากฎขึ้นท่ามกลางการฝึกประสบการณ์ เพื่อบุกเบิกอาณาเขต มั่นใจว่าเส้นทางปลอดภัย เสี่ยงอันตรายไปตรวจสอบพื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำที่แปลกประหลาดพวกนั้น เจอกับเรื่องประหลาดที่ไม่เคยพบไม่เคยได้ยินมาก่อน อาจารย์กระบี่ผู้ปกป้องมรรคาหลายคนต่างก็ต้องตายดับไปเพราะเหตุนี้ ถึงขั้นที่ว่าไม่เหลือแม้แต่ซากศพ สุดท้ายล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนทั้งหลายของนครบินทะยานซึ่งรวมถึงหนิงเหยาที่ต้องพกกระบี่มุ่งหน้าไปยังสถานที่อันตรายเหล่านี้

ก็เหมือนอย่างครั้งนี้ที่ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานร่วมมือกับสายสิงกวานออกไปฝึกประสบการณ์ข้างนอก ผู้ปกป้องมรรคาที่อยู่เบื้องหลังก็คือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเฒ่าคนหนึ่ง

หมื่นปีที่ผ่านมา หากไม่นับผู้ฝึกกระบี่ที่เกิดมาก็มีขีดจำกัดอยู่ที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่เคยมี ‘ผู้ฝึกกระบี่ที่อ่อนแอ ขอบเขตดุจกระดาษเปียก’ มาก่อน

การสืบทอดนี้ นครบินทะยานจะทิ้งไปไม่ได้เด็ดขาด

แต่ก็จำต้องยอมรับว่า หลังออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่ทุกคน ยิ่งนานก็ยิ่งช้าลง

แน่นอนว่าหนิงเหยาคือข้อยกเว้น

และการปรากฏตัวของผู้ฝึกกระบี่ที่อายุน้อยที่สุด ยิ่งนานก็ยิ่งไม่อาจสืบเนื่องติดต่อกัน มิอาจเป็นดั่งหน่อไม้ที่ผุดหลังฝนฤดูใบไม้ผลิอย่างเหมือนก่อนหน้านี้ได้อีก

ขณะเดียวกันผู้เฒ่าสองคนยังดูแลกุญแจของหอถามกระบี่แห่งหนึ่งด้วย

แม้จะบอกว่าผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานในทุกวันนี้ยังคงมีการสืบทอดเป็นของตัวเอง แต่นครบินทะยานได้สร้างหอเก็บตำราแห่งหนึ่งขึ้นมา ตั้งชื่อให้ว่าหอถามกระบี่

ปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่ผ่านการปรับปรุงให้ดีขึ้นของอาเหลียง ทุกวันนี้ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนล้วนสามารถฝึกฝนได้ ส่วนสุดท้ายแล้วจะฝึกได้ถึงแก่นถึงจิตวิญญาณได้สักกี่ส่วนก็อยู่ที่วาสนาของใครของมัน

นอกจากนี้คาถา คัมภีร์กระบี่ ตำราลับจำนวนมากที่ผู้ฝึกกระบี่แต่ละรุ่นทิ้งไว้ซึ่งเดิมทีมีตราผนึกหนาชั้นซึ่งได้ผ่านการรวบรวมและจัดระเบียบจากคฤหาสน์หลบร้อนในปีนั้น ก็ล้วนถูกนำไปรวมกันไว้ที่หอถามกระบี่ที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนาแห่งนั้น

เวทกระบี่หลายบทที่เดิมทีควันธูปขาดสะบั้นไปนานแล้วจึงมีโอกาสที่จะตามหาลูกศิษย์ ‘ข้ามรุ่น’

ยกตัวอย่างเช่นเถาเหวิน อู๋เฉิงเพ่ย ซ่งไฉ่อวิ๋น อินเฉิน และยังมีเกาขุยที่การออกกระบี่ครั้งสุดท้ายในชีวิตก็คือการถามกระบี่กับหลงจวิน เป็นต้น

ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เซียนกระบี่สองคนอย่างลั่วซานและจู๋อานที่ทรยศออกจากสายอิ่นกวานก็มีผู้สืบทอดด้วย

เวทกระบี่เฉพาะของผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้ ขอแค่เคยมีบันทึกไว้ที่คฤหาสน์หลบร้อน ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ทุกคนของนครบินทะยานก็มีหวังที่จะได้เรียนรู้ แต่ไม่ได้บังคับว่าผู้ฝึกกระบี่รุ่นหลังจะต้อง ‘นับบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูล’ เพียงแค่ว่าผู้ฝึกกระบี่ที่เรียนเวทกระบี่บทหนึ่งสำเร็จ ท่ามกลางขั้นตอนของการสืบทอดสายเวทกระบี่ที่ตัวเองบุกเบิกออกมาก็ห้ามจงใจปิดบังอำพรางเรื่องนี้เด็ดขาด ต้องบอกกล่าวความเป็นมาของการสืบทอดส่วนนี้ให้ชัดเจน

ตอนนั้นคฤหาสน์หลบร้อนได้เรียบเรียงตำราเล่มเล็กที่เนื้อหาละเอียดเล่มหนึ่งออกมา ระบุคร่าวๆ ถึงข้อเรียกร้องของการสืบทอดสายเวทกระบี่และธรณีประตูในการฝึกตนไว้อย่างชัดเจน

เป็นเหตุให้หากคิดจะสืบทอดเวทกระบี่เหล่านั้นก็มีข้อเรียกร้องอยู่สองอย่าง หนึ่งคือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองกับเวทกระบี่ต้องสอดคล้องกัน นอกจากนี้คือต้องมีคุณความชอบในการสู้รบที่มากพอ จากนั้นก็ต้องได้รับการยืนยันและยอมรับจากสองสายอย่างสิงกวานและอิ่นกวาน ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ถึงจะสามารถไปเปิดอ่านตำรากระบี่บางเล่มหรือเวทลับบางเล่มที่สอดคล้องกับการฝึกตนของตัวเองที่หอถามกระบี่ได้

ก่อกำเนิดผู้เฒ่าถามอย่างใคร่รู้ “ก่อนหน้านี้เดินทางไกลไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หนิงเหยาเล่าอย่างคลุมเครือ บอกแค่ว่าใต้เท้าอิ่นกวานเป็นผู้นำ ทว่าในเมื่อกลุ่มของพวกเขาจัดการบินทะยานสองตนอย่างเสวียนผู่แห่งนครเซียนจานและหยวนซงแห่งภูเขาทัวเยว่ได้ หรือว่าที่หัวกำแพงเมืองจะมีการแกะสลักตัวอักษรใหม่อีกสองตัวแล้ว?”

อันที่จริงแม้แต่ผู้ฝึกตนเฒ่าผู้นี้ก็เพิ่งจะรู้ว่าที่แท้กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีสิงกวานนามว่าหาวซู่อยู่ด้วย

สะบั้นนครเซียนจานขาดออกเป็นสองท่อน แน่นอนว่ารู้สึกสาแก่ใจอย่างยิ่ง แต่สำหรับผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว เรื่องของการแกะสลักตัวอักษร นับแต่โบราณมาก็คือเรื่องใหญ่ที่สุดท่ามกลางฟ้าดินที่กว้างใหญ่

ฉีโซ่วเห็นสายตาทั้งหลายที่มองมาก็ได้แต่เอ่ยอย่างระอาใจว่า “ต่อให้ข้าไปถาม แต่จะมีประโยชน์หรือ? เห็นๆ กันอยู่ว่าหนิงเหยาไม่ยินดีจะพูดอะไรมาก”

สุ่ยอวี้เองก็รู้สึกแปลกใจเป็นทบทวี “ในเมื่อทำเรื่องใหญ่มากมายขนาดนี้ ทำไมถึงไม่บอกกล่าวให้ทั้งนครบินทะยานทราบไปเลยเล่า? ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ไม่เห็นมีเหตุผลให้ต้องปิดบังเลยนี่นา”

ผู่อวี้ยิ้มเอ่ยสัพยอก “คิดไม่เข้าใจก็ถูกแล้ว ดังนั้นเจ้าถึงเข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้อย่างไรล่ะ”

ปีนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนของเรือนโป้จี้อยากเข้าคฤหาสน์หลบร้อนกันจริงๆ น่าเสียดายที่หนิงเหยาไม่ตอบตกลง

ไม่อย่างนั้นสายอิ่นกวานในทุกวันนี้ ศักยภาพก็จะสามารถงัดข้อกับสายสิงกวานได้อย่างเต็มที่แล้ว

แต่หากว่าเฉินผิงอันแกะสลักตัวอักษรตัวหนึ่งไว้บนหัวกำแพงจริงๆ ก่อกำเนิดเฒ่าก็ยินดีจะไปดื่มลงโทษตัวเองที่ร้านเหล้าสามชาม

ถึงอย่างไรชามเหล้าของที่นั่นก็ไม่ใหญ่อยู่แล้ว

ก่อกำเนิดเฒ่าไม่สนใจเรื่องของตราประทับที่สุดแล้ว หลายปีมานี้เขาเองก็บ่นไว้ไม่น้อย ทำแต่เรื่องฉูดฉาดลูกไม้เยอะ แน่จริงอิ่นกวานอย่างเจ้าก็ไปแกะสลักตัวอักษรที่หัวกำแพงเมืองสิ

เรื่องของการดื่มเหล้า ทั้งอยากแล้วก็ไม่อยาก

แต่พอคิดอย่างละเอียดอีกที ผู้เฒ่าก็ยังหวังอย่างยิ่งให้อิ่นกวานหนุ่มคนนั้นได้แกะสลักตัวอักษรไว้จริงๆ

คฤหาสน์หลบหนาวที่เดิมทีเป็นสมบัติส่วนตัวของสายอิ่นกวาน ทุกวันนี้เหมือนจะกลายมาเป็นอาณาเขตของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสายสิงกวานแล้ว

เพียงแต่ว่าเรื่องนี้สองฝ่ายรู้ใจกันดีอยู่แก่ใจ ฝ่ายหนึ่งยังไงก็ได้ อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่พูดถึง

กำแพงเมืองปราณกระบี่มีขุนนางเก่าแก่อยู่แค่สามตำแหน่ง นอกจากอิ่นกวาน สิงกวานแล้ว อันที่จริงยังมีจี้กวาน เพียงแต่ว่าสายจี้กวานขาดการสืบทอดไปนานแล้ว

เล่าลือกันว่าคฤหาสน์หลบหนาว แรกเริ่มสุดเคยเป็นที่ทำการของจี้กวาน เพียงแต่ว่าสายของอิ่นกวานนั้น เมื่ออยู่บนมือของเซียวสวิ้นกลับสะดุดตาเกินไป จึงยึดครองคฤหาสน์หลบหนาวที่ถูกทิ้งร้างไว้ ถึงอย่างไรเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ไม่พูดอะไร นานวันเข้าคฤหาสน์หลบหนาวจึงถูกมองเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของสายอิ่นกวาน เป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยหลายคนที่ไม่ชอบเปิดปฏิทินเหลืองไม่รู้เลยว่าในประวัติศาสตร์บ้านเกิดของตนยังมีจี้กวานอะไรด้วย

ตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธกลุ่มแรกสุดของคฤหาสน์หลบหนาวนั้น เด็กกลุ่มแรกที่เข้าไปฝึกหมัดเรียนวรยุทธในสถานที่นี้ล้วนเติบใหญ่กันหมดแล้ว

ในฐานะสายของผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในการดูแลของสิงกวาน ทุกวันนี้มีจำนวนคนเกือบร้อยคนแล้ว อีกทั้งยิ่งเป็นช่วงหลังๆ จำนวนคนและกองกำลังยิ่งนานก็ยิ่งมากน่าดูชม

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หน้าตาหมดจดคมคายคนหนึ่ง วันนี้ระหว่างที่หยุดพักจากการสอนหมัดของอาจารย์ทั้งสองท่าน เขามาอยู่บนลานฝึกยุทธเพียงลำพัง ออกหมัดเหมือนมังกรที่ร้องคำรามเรียกลม

ด้านข้างมีเด็กน้อยตัวเท่าก้นนั่งยองกันอยู่ไม่น้อย ล้วนเป็นคนที่ลำดับอาวุโสน้อยที่สุด หากจะพูดว่าการกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ต้องดูที่ว่าสวรรค์จะประทานข้าวให้หรือไม่ ไม่อย่างนั้นต่อให้ขอร้องก็ไม่ได้มาครอง ถ้าอย่างนั้นการเรียนวรยุทธที่ต้องรีบเรียนแต่เนิ่นๆ ก็เป็นเรื่องที่ได้รับการยอมรับทั่วไป

เจิ้งต้าเฟิงที่เป็นอาจารย์ใหญ่ ทุกวันจะต้องมาช่วยสอนหมัดให้กับคฤหาสน์หลบหนาวสองครั้งเช้าเย็น รอบละครึ่งชั่วยาม

เจียงอวิ๋นออกหมัดพลางชมเชยตนเองไปด้วย

“ปีนั้นอิ่นกวานมาที่นี่เพื่อตั้งใจสอนหมัดให้กับพวกเรา ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเพียงหนึ่งเดียวที่ได้สัมผัสชายเสื้อของอิ่นกวาน ดังนั้นคุณสมบัติการเรียนวรยุทธของข้าเป็นอย่างไร พวกเจ้าคงเข้าใจแล้วกระมัง?”

“อันที่จริงอิ่นกวานเคยตั้งใจมาหาข้าเป็นการส่วนตัว เขาบอกแล้วว่าปีนั้นในบรรดาคนสิบคนก็เป็นข้าที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมที่สุด สูงกว่าคนอื่นหนึ่งระดับใหญ่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตั้งเตาไฟเล็กๆ ให้ข้า (เปรียบเปรยถึงให้เงื่อนไขหรือการปฏิบัติที่เหนือกว่าปกติ) จึงจะถือว่าไม่สิ้นเปลืองคุณสมบัติด้านการเรียนวรยุทธของข้า ตั้งเตาไฟเล็กหมายความว่าอะไร เจ้ารู้ใช่ไหม?”

“ดูให้ดีล่ะ วิชาคว้าจับที่ใช้มือเปล่าคว้าใบมีด สามารถจับกระบี่บินได้อย่างง่ายดายนี้ของข้าก็คือวิชาการสืบทอดที่แท้จริงของอิ่นกวาน ตามกฎเกณฑ์ของบ้านเกิดเขา ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปคือวิชาที่หากไม่ใช่ผู้สืบทอดจะไม่ยอมถ่ายทอดให้เด็ดขาด แม้แต่กวอจู๋จิ่วก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เรียนรู้ ทุกวันนี้ข้าปล่อยหมัดหนึ่งออกไป เกินครึ่งคือครามที่เกิดจากต้นครามแต่เหนือกว่าคราม ดังนั้นต่อให้อิ่นกวานเป็นคนป้อนหมัดให้ข้าอีกครั้งก็ต้องระวังเหมือนกัน…”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!