กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 914

ริมขอบของลานประลองยุทธมีคนส่งเสียงขึ้นว่า “อ้อ? ต้องระวังอย่างไรหรือ?”

เจียงอวิ๋นหูดี ได้ยินเข้าก็ไม่สบอารมณ์ทันใด “อ้ออะไร ใครไม่เชื่อ? ลุกขึ้นมาเลย!”

คนผู้นั้นยืนอยู่ตรงนั้น ยิ้มตอบว่า “ข้าไม่เชื่อ”

เจียงอวิ๋นขยี้ตา เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดก็กลืนน้ำลายลงคอ กลอกตาเร็วรี่ คิดว่าควรจะแก้ไขอย่างไรจึงจะผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้

คนผู้นั้นยิ้มตาหยียื่นมือมาข้างหนึ่ง “ไม่ต้องแก้ตัวแล้ว มา มาฝึกปรือฝีมือกันหน่อยสิ ถือเสียว่าข้าได้ช่วยตั้งเตาเล็กให้เจ้า จะได้ไม่มีใครไม่เชื่อเจ้า”

เจียงอวิ๋นถูมือเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ใต้เท้าอิ่นกวาน หลายปีมานี้ข้าคิดถึงท่านมากเลย ข้าไม่เหมือนเจ้าพวกคนใจจืดใจจำอย่างสวี่กง หยวนจ้าวฮว่าหรอกนะ ทุกวันก่อนข้าจะฝึกหมัดจะต้องท่องว่าใต้เท้าอิ่นกวานสามครั้งอยู่ในใจถึงจะปล่อยหมัดแรกที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณออกไปได้”

ใช้เหตุผลอธิบายให้เชื่อถือนั้นช่างเถิด ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเถ้าแก่รองขึ้นชื่อว่า ‘ทำการค้ายุติธรรม มีเหตุผลที่สุด’ ถ้าอย่างนั้นนายท่านน้อยอย่างข้าก็จะใช้ความรู้สึกทำให้หวั่นไหวก็แล้วกัน!

รอบด้านลานประลองยุทธพลันมีเสียงฮือฮาดังขึ้นทันมา

คือใต้เท้าอิ่นกวานในตำนานท่านนั้นจริงๆ หรือ?!

ปัญหาคือก็ไม่เห็นว่าเขาจะรูปโฉมหล่อเหลา สูงใหญ่ดุดันสักเท่าไรเลยนะ

มองไปแล้วแค่ผอมๆ สูงๆ อืม เหมือนอาจารย์ในโรงเรียนมากกว่าอีก

เขาคือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธคนหนึ่งจริงๆ หรือ?

อาจารย์เจิ้งบอกว่าเขาเคยชี้แนะวิชาหมัดหลายอย่างให้ใต้เท้าอิ่นกวานอย่างจริงจังตั้งใจมาก่อน ตอนนี้ดูแล้วน่าจะเป็นความจริงกระมัง

เฉินผิงอันปล่อยเจ้าตัวป่วนน้อยเจียงอวิ๋นไปก่อนชั่วคราว เดินเร็วๆ ไปกุมหมัดยิ้มเอ่ยกับผู้ฝึกยุทธต่างถิ่นสองคน “ลำบากแล้ว”

หนึ่งชายหนึ่งหญิงล้วนเป็นขอบเขตร่างทอง อายุประมาณหกสิบปีทั้งคู่ เพียงแต่ว่ารูปโฉมค่อนข้างอ่อนเยาว์ เหมือนคนอายุประมาณสี่สิบต้นๆ

ผู้ฝึกยุทธทั้งสองเอ่ยพร้อมเพรียงกันว่า “มิกล้ารับ!”

หากอยู่ที่อื่นในใต้หล้าห้าสี พวกเขาเลือกสถานที่แห่งหนึ่งก่อสำนักตั้งพรรค เดิมทีก็เป็นเรื่องเล็กที่ทำได้อย่างง่ายดาย

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่เลื่อนเป็น ‘ขั้นสามหลอมจิต’ ทั้งสองท่านถึงได้มายังนครบินทะยาน ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์อ่านยาก เพราะต้องการหลบเลี่ยงศัตรูบนภูเขา จึงหนีภัยมาที่นี่

แล้วนับประสาอะไรกับที่นอกจากคฤหาสน์หลบร้อนจะช่วยยืนยันสถานะให้แล้ว ยังมีเจิ้งต้าเฟิงกับเหนี่ยนซินที่จับตามองอยู่ ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดได้แน่

ก็เหมือนอย่างก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่นครอู่ขุยที่มีข้อเรียกร้องให้คนต่างถิ่นเขียนสำมะโนครัวและประวัติความเป็นมาให้ละเอียด คือเรื่องน่าเบื่อที่มองดูเหมือนทำให้พอเป็นพิธีอย่างหนึ่ง ง่ายที่จะตบตาให้ผ่านด่านไปได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นนอกหละหลวมในแน่นหนาตามแบบฉบับที่แท้จริง อีกทั้งยิ่งคนต่างถิ่นที่ถูกบันทึกลงบัญชีมีมากเท่าไร นครบินทะยานก็ง่ายที่จะทำการตรวจสอบร่วมกัน หากค้นพบว่าใครเล่นตุกติก จงใจปิดบังสถานะ ปลอมแปลงประวัติขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปพูดคุยกับเหนี่ยนซินที่ดูแลคุกในทุกวันนี้แล้ว

คนเย็บผ้าผู้หนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันหวาดผวามาจนถึงทุกวันนี้ ฝีมือเป็นอย่างไร แค่คิดก็พอจะรู้ได้

พอเฉินผิงอันปรากฏตัวบนลานประลองยุทธแห่งนี้ก็มีผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ไม่มากไม่น้อย สิบคนพอดี

คนผู้หนึ่งสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว ยืนเบี่ยงข้าง ขณะเดียวกันก็พลิกข้อมือตบไปทางด้านหลัง กดลงบนใบหน้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ลอบโจมตี ผลักลงไปกับพื้น หัวของอีกฝ่ายกระเด้งกระดอนกับพื้นอยู่สามที

จากนั้นพลิ้วกายพลิกหมุนกระชากขาข้างหนึ่งที่ฟาดเหวี่ยงมาอย่างดุดัน มือขวายกขึ้นสูงตีศอกแล้วพลันกระชากลงต่ำ ข้อศอกถองเข้าที่หัวใจของเด็กหนุ่ม ฝ่ายหลังกระแทกลงพื้นดังโครม จากนั้นถูกเฉินผิงอันใช้ปลายเท้าเขี่ยขึ้นมา เด็กหนุ่มพลิกตลบกลางอากาศหลายสิบรอบก่อนจะลงไปนอนพังพาบอยู่บนพื้น พยายามลุกขึ้นหลายครั้งก็ไม่เป็นผล กระอักเลือดไม่หยุด

เด็กสาวที่มีชื่อว่าซุนฉวีตีเข่าเข้าใส่ ผลคือถูกขาข้างหนึ่งของเฉินผิงอันเตะเข้าที่เอวของนางอย่างแรง ร่างของซุนฉวีปลิวกระเด็นออกไป ชนเข้าไปในอ้อมอกของสตรีที่เป็นผู้ฝึกยุทธอีกคนหนึ่งแล้วพากันปลิวลอยออกไป

พริบตานั้นคนทั้งสิบก็ตีวงเข้ารุมล้อม ระหว่างกันและกันไม่จำเป็นต้องพูดคุยก็ร่วมมือกันได้อย่างประณีติงดงาม สุดท้ายก็พากันล้มไปกองอยู่กับพื้น สภาพอเนจอนาถจนแทบมิอาจทนมองได้

เจียงอวิ๋นที่ตาเขียวจมูกบวมนั่งอยู่บนพื้น เงยศีรษะขึ้นสูงเพราะว่าเลือดกำเดาไหล

เด็กผู้ชายตัวปลอมในอดีต แม่นางใหญ่ในวันนี้อย่างหยวนจ้าวฮว่านั่งอยู่บนพื้น นางใช้หมัดทุบลงบนพื้นอย่างแรง

สวี่กงแห่งตรอกมู่เหมิงนวดคลึงหัวใจ แสยะปากแยกเขี้ยว

เจียงอวิ๋น สวี่กง หยวนจ้าวฮว่า

คนทั้งสามมีคุณสมบัติดีเยี่ยมที่สุด เรียนหมัดเร็วที่สุด อาศัยการประทานพรจากฟ้าอำนวยของใต้หล้าใหม่เอี่ยม เจียงอวิ๋นจึงได้รับโชคชะตาบู๊มาสามครั้ง สวี่กงกับหยวนจ้าวฮว่าได้คนละสองครั้ง

นอกจากนี้ก็มีอีกหลายคนที่ได้การประทานพรจากโชคชะตาบู๊หนึ่งครั้ง

อันที่จริงนี่ก็มีความเกี่ยวข้องกับการที่หนิงเหยาฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางได้นั่งครองตำแหน่งบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าอย่างแท้จริง บวกกับที่นครบินทะยานได้รับการดูแลบางอย่างจากฟ้าดินจึงเป็นเหตุให้ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในสายของคฤหาสน์หลบหนาวได้รับการประทานพร ซึ่งแน่นอนว่าเด็กน้อยในอดีตพวกนี้ก็มานะที่จะฝึกวรยุทธกันอย่างจริงจัง ต่างก็อดทนกับความยากลำบากได้ ไม่เคยใช้พรสวรรค์ส่วนตัวและโชควาสนาที่ได้มาเพิ่มเติมอย่างสิ้นเปลืองเสียเปล่า

เพียงแต่จำต้องยอมรับว่าโชคชะตาบู๊ที่ได้มาจากการเป็นผู้ ‘แข็งแกร่งที่สุด’ ในขอบเขตใดขอบเขตหนึ่งประเภทนี้ เมื่อเทียบกับใต้หล้าแห่งอื่นแล้วกลับถือว่ามีน้ำหนักอย่างมาก อีกทั้งน้ำหนักนั้นยังยิ่งใหญ่มากด้วย

หากว่าอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล มีพรรคมีสำนักใดบ้างที่ได้ครอบครองผู้ฝึกยุทธเกือบสิบคน โชคชะตาบู๊ที่ทยอยได้มาอย่างถี่กระชั้นเช่นนี้ ไม่ใช่เปิดร้านโชคชะตาบู๊เป็นของตัวเองแล้วจะเรียกว่าอะไร?

เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากว่าเป็นการประลองฝีมือที่หยุดแต่พอสมควร ร่วมมือกันเล่นงานขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งกลับไม่เป็นปัญหามากนัก”

เรียนวรยุทธเดินขึ้นสู่ที่สูง จะรีบร้อนไม่ได้

สายของผู้ฝึกยุทธคฤหาสน์หลบหนาว หากคิดจะแบ่งเบาภาระให้กับนครบินทะยานอย่างแท้จริงก็ยังจำเป็นต้องขัดเกลาตัวเองอีกยี่สิบสามสิบปีจริงๆ

ถึงเวลานั้นมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลอยู่สักคนสองคน การออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกก็จะมั่นคงอย่างมากแล้ว ไม่ต้องให้ผู้ฝึกกระบี่คอยปกป้องมรรคาด้วยซ้ำ

แต่หากว่าเป็นการลอบโจมตีที่มีการวางแผนล่วงหน้ามาก่อน ไม่พูดถึงเจิ้งต้าเฟิงและการป้อนหมัดของอาจารย์สองคน ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งของนครบินทะยานที่เคยไปเยือนสนามรบ หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ก็สามารถสังหารคฤหาสน์หลบหนาวได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!