รับฟังเสี่ยวโม่อย่างเงียบๆ มาโดยตลอด ก่อนที่ชุยตงซานจะส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ใช่คำพูดเหลวไหล!”
หลังจากที่เฉินผิงอันรำลึกความหลังกับฉีโซ่วเรียบร้อยแล้วก็ย้อนกลับไปทางเดิมตรงคันนา พบว่าชุยตงซานคล้ายจะพูดคุยกับเสี่ยวโม่ได้ไม่เลว บนใบหน้ามีรอยยิ้ม
กลับไปที่ร้านเหล้าบ้านตัวเองในนครบินทะยานด้วยกัน ได้ยินว่าเถ้าแก่รองไม่เพียงแต่กลับมาแล้ว วันนี้ยังมาเปิดประตูร้านต้อนรับลูกค้าด้วยตัวเอง พวกลูกค้าเก่าก็พากันกรูมาที่ร้านทันที คนไม่น้อยต่างก็เร่งรุดขี่กระบี่มาจากนครใต้อาณัติสี่แห่ง ถึงอย่างไรหากไม่ใช่พวกผีขี้เหล้าก็คือชายโสด แน่นอนว่าต้องมีคนที่เป็นทั้งผีขี้เหล้าแล้วก็เป็นชายโสดด้วย เพียงไม่นานผู้คนก็เบียดเสียดแออัดกันอยู่ในร้าน เถ้าแก่รองยังคงชอบไปนั่งยองดื่มเหล้าอยู่ข้างทางเหมือนเดิม ฟังพวกสหายเก่าคุยกันโฉงเฉง แต่ละคนพูดเสียงดัง กลิ่นสุราคลุ้งขึ้นฟ้า แทบไม่ต่างไปจากในปีนั้น เถ้าแก่รองฟังเยอะพูดน้อย เหล้ามื้อนี้อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยที่สุดก็มีหน้าม้าร้านเหล้าไม่น้อยที่เดิมทีปิดบังตัวตนอย่างลึกลับถูกเปิดโปงตัวตนกันก็คราวนี้ ยกตัวอย่างเช่นก่อกำเนิดเฒ่าซ่งโยวเวย
แสงสายัณห์หนาหนัก รอกระทั่งร้านเหล้าถึงเวลาปิดร้าน เฉินผิงอันที่ตอนกลางวันดื่มไปไม่น้อยกลับบอกให้เถาป่านเอาเหล้าทะเลสาบคนใบ้มาหลายๆ ไห จากนั้นให้เฝิงคังเล่อไปบอกพ่อแม่ให้ช่วยทำกับแกล้มอาหารพื้นๆ มาให้โต๊ะหนึ่ง
เจิ้งต้าเฟิงถามอย่างประหลาดใจ “ทำอะไรน่ะ? มอมเหล้าข้าจะมีประโยชน์อะไร? อีกอย่างเจ้าก็อ้วกไปสามรอบแล้ว จะดื่มอีกไหวหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างห้าวเหิม “อย่าพูดมาก ดื่มจนกว่าจะเมาพับกันไปข้าง”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงกันไว้ก่อนนะว่า ใครก็ห้ามยุให้ใครดื่มเหล้า ต้องดื่มด้วยตัวเองเท่านั้น”
เฉินผิงอันตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
เสี่ยวโม่กับชุยตงซานนั่งอยู่บนโต๊ะข้างกัน
เพียงแต่เฉินผิงอันเพิ่งจะดื่มกับเจิ้งต้าเฟิงได้ไม่ถึงสองชามก็มีบุรุษชุดเขียวรูปโฉมเป็นคนหนุ่มเดินมาที่ร้านเหล้าช้าๆ
เจิ้งต้าเฟิงเหลือบมอง จำอีกฝ่ายได้ ดูเหมือนจะเป็นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเมือง แซ่อู๋ หลายปีมานี้มาที่ร้านเหล้าหลายครั้ง แต่กลับไม่ใช่ลูกค้าประจำ หากลองเฉลี่ยดู หนึ่งปีก็มาแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่มาจะต้องมาพลิกอ่านป้ายสงบสุขของที่ร้านเสมอ
ก่อนหน้านี้อาจารย์อู๋มาที่ร้านเหล้ามักจะดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่หนึ่งชามหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เพียงแต่ว่าคราวก่อนที่มาคล้ายจะเปลี่ยนมาดื่มเหล้าทะเลสาบคนใบ้ แล้วยังนำกลับไปด้วยหนึ่งไห
การที่เจิ้งต้าเฟิงจดจำได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ก็เพราะกลิ่นอายตำราที่อยู่บนร่างของอีกฝ่ายค่อนข้างพบเห็นได้น้อยในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็เหมือนอย่างตน ต่างก็ถือว่าในท้องมีหนังสือและบทกวี บุคลิกย่อมสง่าด้วยตัวเอง เพียงแต่อีกฝ่ายไม่โดดเด่นเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่อย่างตนก็เท่านั้น
เสี่ยวโม่หรี่ตามองประเมินแล้วรีบเปลี่ยนโต๊ะนั่งทันที ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “คุณชาย คนผู้นี้ไม่ธรรมดา การกระทำก็ค่อนข้างประหลาด คล้ายกับรู้ว่าข้ารับมือได้ไม่ง่าย แต่กลับยังจงใจทำให้ข้ารู้ว่าตัวเขาไม่ธรรมดา”
เสี่ยวโม่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะบอกการคาดเดาในใจของตัวเองออกไป “หรือว่าจะเป็นเจ้าตำหนักอู๋ท่านนั้น?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ต้องใช่แน่นอน”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เหลือบมองเสี่ยวโม่ ยังจะยิ้มออกอีกไหม?
เสี่ยวโม่รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้หัวเราะคุณชายสักหน่อยนะ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ค้อมกายประสานมือคารวะ
อู๋ซวงเจี้ยงเพียงแค่เขย่ามือคารวะกลับคืน
อู๋ซวงเจี้ยงนั่งลงแล้วก็เอ่ยว่า “ที่โรงเรียนแห่งนั้นใช้นามแฝงว่าอู๋อวี่ ทางฝั่งของคฤหาสน์หลบร้อนมีหลักฐานให้ตรวจสอบได้ หากเจ้าสนใจก็ลองไปเปิดอ่านดู”
ได้ยินนามแฝงนี้ เฉินผิงอันก็พลันพูดไม่ออก (อู๋อวี่ 无言 ที่แปลว่าพูดไม่ออก กับอู๋อวี่ 吴语 นามแฝงของอู๋ซวงเจี้ยงออกเสียงเหมือนกัน แต่เขียนคนละแบบ)
เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกอัดอั้นในใจอีกครั้ง ถามว่า “เหมือนกับพี่มู่เม่า เป็นสหายเก่าของเจ้าอีกคนแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันแนะนำให้รู้จักกัน “คือเจ้าตำหนักอู๋แห่งตำนักสุ้ยฉู”
เจิ้งต้าเฟิงพลันกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่า”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มพลางกุมหมัดเอ่ย “หลายปีมานี้ได้ฟังถ้อยคำไพเราะมีรสนิยมมากมายจากอาจารย์เจิ้งเปล่าๆ โดยไม่เคยต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว ทุกครั้งสามารถเอามาดื่มแกล้มเหล้าได้พอดี”
เจิ้งต้าเฟิงยังคงยกเท้าเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่ง วางชามเหล้าลง กุมหมัดคารวะกลับคืน “อาจารย์อู๋ชมเกินไปแล้ว”
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง ถามว่า “หนังสือบันทึกเหตุการณ์เล่มนั้น?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “เป็นลายมือของข้าเอง แต่ว่าน้ำใจส่วนนี้ที่ข้าติดค้างนครบินทะยาน ข้าได้ใช้คืนให้แล้ว”
ช่วยกำจัดภัยแฝงเล็กๆ สามอย่างให้กับนครบินทะยาน ไม่อย่างนั้นการขยับขยายพื้นที่ของนครบินทะยาน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องถูกถ่วงเวลาไปอีกสามสิบห้าสิบปี
ไม่ใช่แผนการของป๋ายอวี้จิง เต๋าเหล่าเอ้อดูแคลนที่จะทำเช่นนี้ ส่วนลูกศิษย์ปิดสำนักของมรรคาจารย์เต๋า นักพรตหนุ่มที่มีฉายาว่า ‘ซานชิง’ คุณสมบัติการฝึกตนแน่นอนว่าต้องดีมาก แต่เขาไม่มีสมองเช่นนี้ แล้วก็ไม่มีความกล้าหาญในส่วนนี้
อย่าได้ประเมินสายตาอันยาวไกลและวิธีการอันละเอียดรอบคอบบางอย่างของสำนักจ้งเหิงเด็ดขาดเชียว
มักจะมีคนบางส่วนที่บางทีในกระเป๋าเงินอาจมีเงินอยู่แค่ไม่กี่แดง แต่กลับกล้าคิดเรื่องที่จะเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งฟ้าดิน
คนธรรมดากล้าคิดเช่นนี้ ถือว่าเป็นจินตนาการเพ้อฝัน แต่มักจะมีคนอยู่ส่วนหนึ่งที่คิดได้ แล้วก็ทำได้สำเร็จด้วย
แต่อู๋ซวงเจี้ยงไม่มีอารมณ์แล้วก็ไม่มีหน้าที่ที่ต้องมาเปิดเผยเรื่องนี้แก่เฉินผิงอัน
ทุกวันนี้มีแค่นครบินทะยานที่เลือกจะใช้หนังสือบันทึกเหตุการณ์เล่มใหม่นี้ แต่หากว่าในอนาคตตลอดทั้งใต้หล้าห้าสีใช้ตำราเล่มนี้ร่วมกัน แพร่กระจายไปทั่วใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นอู๋ซวงเจี้ยงก็ย่อมมีวิธีที่จะชดเชยน้ำใจครั้งที่สอง
เสี่ยวโม่ไปหยิบชามและตะเกียบมาชุดหนึ่ง มอบให้กับอู๋ซวงเจี้ยง
อู๋ซวงเจี้ยงผงกศีรษะยิ้มให้ “ยินดีต้อนรับเจ้าไปเป็นแขกที่ตำหนักสุ้ยฉูใต้หล้ามืดสลัววันหน้า”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ ตอบกลับ “ต้องดูที่ความต้องการของคุณชาย”
ชุยตงซานยกชามเหล้ามาที่โต๊ะ นั่งลงบนม้านั่งยาวตัวเดียวกับเสี่ยวโม่ นั่งลงตรงข้ามกับอู๋ซวงเจี้ยงพอดี หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ได้พบเจ้าตำหนักอู๋จริงๆ”
อู๋ซวงเจี้ยงพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “เป็นวาสนาที่นำพา”
ชุยตงซานจุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เจ้าตำหนักอู๋ก็คือเจ้าตำหนักอู๋ จิตวิญญาณผสานรวมกับโลกอันกว้างใหญ่ เชื่อมโยงทะลุไปนอกฟ้าดิน ทุกวันนี้เข้าใจฟ้าดินทุกแห่งกระจ่างชัดราวกับฝ่ามือของตัวเอง”
อู๋ซวงเจี้ยงกล่าว “เรื่องบางอย่างไม่ใช่ว่ามีแค่โจวมี่กับซิ่วหู่เท่านั้นที่ทำได้ แล้วคนอื่นจะทำไม่ได้”
ชุยตงซานยิ้มถาม “คิดดูแล้วทางฝั่งของดินแดนพุทธะสุขาวดี เจ้าตำหนักอู๋ก็น่าจะมีร่างจำแลงบางร่างที่รอให้วันใดวันหนึ่งสติปัญญาเปิดออกอยู่ด้วยกระมัง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!