เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “ขอบคุณนักพรตซุนที่รักและเอ็นดู”
อู๋ซวงเจี้ยงพลันถามเสี่ยวโม่ว่า “ในบรรดาผู้ฝึกตนกลุ่มของพวกเจ้าที่ถูกป๋ายเจ๋อปลุกขึ้นมา ไม่ทราบว่าความสามารถในการเข่นฆ่าของสหายโม่เซิงอยู่ในอันดับที่เท่าไร?”
เสี่ยวโม่ตอบอย่างจริงใจ “พลังพิฆาต การป้องกัน วิชาการหลบหนี เสี่ยวโม่ล้วนไม่ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุด แต่ลำดับรายชื่อในแต่ละด้านล้วนถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ เป็นเหตุให้หากจะต้องจับคู่เข่นฆ่ากันขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะเจอกับใครก็ล้วนสามาถรักษาตัวรอดได้ นอกจากคนสองสามคนแล้ว ขอแค่ไม่มีคนอื่นมาขัดขวางก็ล้วนสามารถสังหารได้”
อู๋ซวงเจี้ยงพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ “เสี่ยวโม่คือคนที่ปีนั้นเคยหมักเหล้าร่วมกับเจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวและเคยถามกระบี่กับหยวนเซียงสินะ?”
เสี่ยวโม่ยิ้มอย่างเขินอาย “เรื่องในอดีต ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
เจิ้งต้าเฟิงรีบยกชามเหล้าขึ้น “ข้อนี้เสี่ยวโม่เหมือนข้า มิน่าเล่าถึงได้ถูกชะตากันนัก”
ล้วนเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันนี่นะ ลูกผู้ชายไม่พูดถึงความกล้าหาญในวันวาน เรื่องสกปรกโสมมในอดีตไม่มีค่าพอให้โอ้อวด
เสี่ยวโม่หันหน้าไปหาเจิ้งต้าเฟิง สองมือชูชามเหล้าขึ้นกระดกดื่มรวดเดียวหมด
เฉินผิงอันถาม “ตำหนักสุ้ยฉูมีเหรียญทองแดงแก่นทองที่เหลือใช้บ้างหรือไม่?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “มีอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ไม่ทราบว่า ‘มีอยู่บ้าง’ ของเจ้าตำหนักอู๋คือเท่าไรหรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงตอบ “จะมากหรือน้อยล้วนไม่มีความหมาย ถึงอย่างไรก็ไม่ให้เจ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่น้ำไกลมิอาจดับกระหายใกล้ได้ นกในกรงกระบี่บินเล่มนั้นของเจ้า หากคิดจะสร้างเค้าโครงของแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่งขึ้นมาก็ต้องมาขอเหรียญทองแดงแก่นทองของตำหนักสุ้ยฉูหรือ? ทำไม คิดจะให้ข้าเอาหัวโหม่งใต้หล้าห้าสีออกไปหรืออย่างไร?”
เฉินผิงอันยังไม่ถอดใจ “จะปรึกษากันสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ?”
ส่วนเรื่องที่ว่าอู๋ซวงเจี้ยง ‘เข้าใจดุจฝ่ามือ’ ของตัวเองถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ตอนอยู่คฤหาสน์หลบร้อนและตอนที่คุยเล่นกับเกาเหย่โหวในจวนเฉวียนฝู่ รวมไปถึงตอนรำลึกความหลังกับฉีโซ่ว ดูเหมือนว่าอู๋ซวงเจี้ยงจะรู้ชัดเจนดี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเดาแล้ว ถึงอย่างไรก็เดาไม่ออก
และแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้น ต่อให้ถูกตนสร้างขึ้นมาได้จริงๆ ก็ใช่ว่าจะไม่ต้องเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่ส่วนเดียว ในอนาคตก็ยังต้องการ ‘น้ำเป็น’ ที่มีต้นกำเนิดไม่ขาดสายเช่นกัน ใช้สิ่งนี้มาเพิ่มระดับน้ำ ถึงขั้นที่ว่าขยับขยายท้องน้ำ พูดง่ายๆ ก็คือ ในอนาคตจันทร์กลางบ่อจะสามารถจำแลงกระบี่บินหนึ่งล้านเล่ม นกในกรงก็สามารถสร้างแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งขึ้นมาสายหนึ่งได้เช่นกัน วิชาอภินิหารหลายอย่างของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มช่วยเหลือกันและกัน และเมื่อเฉินผิงอันกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน ถ้าอย่างนั้นยามเจอกับอู๋โจวหรือไม่ก็ป๋ายโอ่วที่ใต้หล้ามืดสลัวก็ไม่ต้องหันเลี้ยวเผ่นหนีโดยไม่ทันได้พูดได้จา อย่างน้อยที่สุดก็มีต้นทุนซึ่งเป็นเรี่ยวแรงในการสู้รบแล้ว
อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในเมื่อทุกเรื่องล้วนปรึกษากันได้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็เว้นไว้เถอะ”
เฉินผิงอันซักถาม “มีประโยชน์ต่อตำหนักสุ้ยฉูหรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้า ให้คำตอบแบบขอไปที “ก็เหมือนกับหน้าผาสังหารมังกรนั่นแหละ ไม่มีประโยชน์ที่แท้จริงอะไร ก็แค่เก็บไว้แล้วน่ามอง ของที่ขายง่ายซื้อยาก ใครเล่าจะรังเกียจว่ามีมากไป”
เฉินผิงอันรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย
“ถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าชีวิตนี้เจ้าไม่มีทางเป็นชุยฉานได้ หากเป็นเขา ป่านนี้คงทำการค้ากับศาลบุ๋นไปนานแล้ว เศษชิ้นส่วนร่างทอง ที่ใดในโลกมนุษย์ที่มีมากที่สุด? แน่นอนว่าต้องเป็นใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เมื่อสงครามใหญ่บังเกิดขึ้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในแต่ละสถานที่ไม่ได้มีขาเสียหน่อย จะหนีไปไหนได้ ก็แค่ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง มีอะไรให้ต้องลำบากใจเล่า?”
“ไม่ตอบตกลงซ่งเหอเป็นราชครูต้าหลีคนใหม่ก็ถือว่าเจ้าเฉินผิงอันรู้จักตัวเองอยู่บ้าง”
เจิ้งต้าเฟิงฟังด้วยความเบิกบานใจ
อู๋ซวงเจี้ยงไม่เห็นเป็นสำคัญ “โลกมนุษย์เป็นเช่นนี้ แล้วนอกฟ้าล่ะ? เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าเช่นนี้จะพูดประโยคว่าข้าจะทำอะไรก็เรื่องของข้าให้สมกับเป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวได้อย่างไร”
เจิ้งต้าเฟิงเริ่มพัดลมกระพือไฟ “เฉินผิงอันมีเรื่องที่เฉินผิงอันทำอย่างชุยเฉิงหรืออู๋ซวงเจี้ยงไม่ได้ อู๋ซวงเจี้ยงก็มีเรื่องที่อู๋ซวงเจี้ยงทำอย่างเฉินผิงอันไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มน้อยๆ “ข้าก็แค่บอกว่าเฉินผิงอันมิอาจเป็นซิ่วหู่ได้ ไม่ได้บอกว่าข้าเป็นซิ่วหู่หรืออิ่นกวานได้เสียหน่อย คนละเรื่องกัน ไม่ขัดแย้งกัน อาจารย์เจิ้งไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลมาปฏิเสธเหตุผล”
เจิ้งต้าเฟิงรีบดื่มเหล้าระงับความตกใจ รับมือได้ค่อนข้างยากอยู่นะ จึงโยกหัวไปทางชุยตงซาน ความหมายคือตาเจ้าบ้าง
ชุยตงซานเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “เคยสู้แล้ว สู้ไม่ได้”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าตำหนักอู๋เตรียมจะไปจากนครบินทะยานแล้วหรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “กลับไปดูที่นั่นสักหน่อย มีคนรุ่นเยาว์ที่คุณสมบัติพอใช้ได้อยู่หลายคนที่จำเป็นต้องให้ข้าไปชี้แนะด้านการฝึกตนด้วยตัวเอง อีกทั้งข้ายังรับปากซุนไหวจงไว้ด้วยว่าจะช่วยปกป้องมรรคาให้กับนักพรตหญิงแห่งอารามเสวียนตู เนื่องจากนางคือเสาคานของอารามเสวียนตูในอนาคต ข้าจึงต้องทำตามสัญญา”
กลับ?
เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปเงียบๆ หนึ่งอึก
ในฐานะหนึ่งในกองกำลังลัทธิเต๋าของใต้หล้ามืดสลัว นักพรตสามคนซึ่งมีนักพรตของตำหนักสุ้ยฉูเป็นหนึ่งในนั้นได้จับมือกันเร่งเดินทางมายังใต้หล้าห้าสี ตำหนักสุ้ยฉูอยู่ทางทิศตะวันออก วาดวงกลมเป็นรัศมีของอาณาเขตขุนเขาสายน้ำ กับภูเขาใต้อาณัติที่อารามเสวียนตูมาสร้างไว้ในใต้หล้าห้าสีก็ตั้งอยู่หนึ่งเหนือหนึ่งใต้ของกองกำลังป๋ายอวี้จิงพอดี
ก็เหมือนกับ ไม่ใช่เหมือนกับอะไรแล้ว แต่เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเราสองบ้านจงใจทำให้ป๋ายอวี้จิงของพวกเจ้าสะอิดสะเอียน
จะไม่ยอมให้ป๋ายอวี้จิง ‘เดินทางเก่า’ กลายเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวอย่างในใต้หล้ามืดสลัวอีกแน่นอน
ผู้ฝึกตนที่กล้างัดข้อกับป๋ายอวี้จิงอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
ตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัวก็มีแค่อู๋ซวงเจี้ยงกับนักพรตซุนแล้ว
ผู้ฝึกตนของตำหนักสุ้ยฉูขึ้นชื่อว่าไม่กลัวตาย
สายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าของอารามเสวียนตูนั้นเป็นที่รู้กันว่าชอบต่อยตี หรือพูดให้ถูกก็คือชอบรุมตี
อู๋ซวงเจี้ยงลุกขึ้นยืน เตรียมจะจากไปแล้ว
เฉินผิงอันลุกขึ้นกุมหมัดเอ่ย “ขออวยพรให้อาจารย์อู๋เดินทางราบรื่น”
การค้าขายไม่สำเร็จ มิตรภาพยังคงอยู่
อู๋ซวงเจี้ยงมองอิ่นกวานหนุ่มที่มองดูเหมือนสะอึกอึ้งอยู่ตลอดเวลาผู้นี้ เหอะ เจ้าคนเลว ตอนนี้ต้องคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะตีสนิทกับเหวยเซ่ออย่างไรแน่นอน
นี่คือข้อดีที่เก็บงำได้อย่างมิดชิดของเฉินผิงอัน มีสะพานเดินข้ามสะพาน มีถนนเดินบนถนน ใต้ฝ่าเท้าไร้เส้นทางก็ลุยลำธารข้ามขุนเขา
แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่วันนี้อู๋ซวงเจี้ยงเลือกจะเป็นฝ่ายปรากฏตัวโดยที่ไม่ใช่แค่จากไปอย่างเงียบเชียบ
คนผู้หนึ่งพกกระบี่บินทะยานมุ่งหน้าไปยังใต้หล้าไพศาล
คนผู้หนึ่งยอมให้ศาลบุ๋นหักคุณูปการอย่างไม่เสียดายเพื่อเร่งรุดเดินทางมายังใต้หล้าห้าสี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!