หลังจากที่ลู่เฉินออกมาจากสำนักชิงเหลียงของอุตรกุรุทวีปแล้วก็ไม่ได้ตรงกลับไปที่ป๋ายอวี้จิง แต่ไปเยือนแคว้นชิงเฮาก่อนรอบหนึ่ง ได้พบกับบัณฑิตแซ่เฉินที่เดิมทีสมควรแซ่หลี่ที่ถนนต้งเซียน จากนั้นก็แอบกลับไปที่แจกันสมบัติทวีป ต้องการไปพบสหายเก่าที่ขอบเขตแตกต่างจากตน แต่กลับมิอาจดูแคลนสถานะของอีกฝ่ายได้
จากอุตรกุรุทวีปเดินทางข้ามทะเลลงใต้ไปตลอดทาง ทะยานลมมาถึงเหนือพื้นดินของแจกันสมบัติทวีป ไม่ผิดไปจากที่คาด อริยะปราชญ์ศาลบุ๋นที่นั่งพิทักษ์ม่านฟ้าเป็นคนคุ้นเคยกันดี จึงพูดคุยกับลู่เฉินอยู่หลายคำ
ลู่เฉินรู้สึกว่าการรำลึกความหลังที่คำพูดคำจาไม่มากแต่ความผูกพันค่อนข้างมากครั้งนี้ สามารถถือว่าพูดคุยกันอย่างถูกคอได้ ส่วนเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร ลู่เฉินไปควบคุมอะไรไม่ได้
เมืองอวี้จางจังหวัดหงโจว ศูนย์ตัดต้นไม้ที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่
ขุนนางหลักคนแรกที่ดูแลศูนย์ตัดต้นไม้คือคนของเมืองหลวงที่มีชื่อว่าหลินเจิ้งเฉิง
ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้รับหน้าที่อยู่ในที่ว่าการกรมกลาโหมของเมืองหลวง เป็นรองหัวหน้าของหน่วยรายงานข่าว อายุไม่น้อยแล้ว ไม่รู้ว่าคว้าเอางานดีที่ได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาอย่างงามงานนี้มาได้อย่างไร
ใต้เท้าหลินท่านนี้ ทั้งไม่ได้มีการกระทำของขุนนางใหม่ที่ไฟแรงสูงสามกอง แล้วก็ทั้งไม่ได้ไม่สนใจสิ่งใดเอาแต่เสวยสุขอย่างเดียว โดยภาพรวมแล้วถือว่าทำอะไรอยู่ในกฎในเกณฑ์ ขั้นตอนที่ควรปฏิบัติก็ปฏิบัติไปรอบหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นสวมชุดขุนนางพาเสมียนผู้น้อยของที่ว่าการไปจุดธูปกราบไหว้ที่ศาลบุ๋นบู๊และศาลเทพอภิบาลเมืองในพื้นที่ด้วยกัน เนื่องจากศูนย์ตัดต้นไม้เป็นที่ว่าการแห่งใหม่จึงไม่มีงานที่ต้องรับช่วงต่อจากคนก่อนหน้า จึงประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อย
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวเดินตรงเข้าประตูมาโดยไม่แม้แต่จะเคาะประตู มานั่งลงบนม้านั่งข้างกระถางไฟ ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น ตัวสั่นเยือกหนึ่งที หัวเราะร่าถามว่า “นักฆ่าที่ลอบโจมตีหนิงเหยาปีนั้น จนถึงตอนนี้ยังสืบหาผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังไม่เจออีกหรือ?”
หลินเจิ้งเฉิงวางตำราในมือลง เหลือบตาขึ้นมอง ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง หลินเจิ้งเฉิงแค่กุมหมัดเอ่ยคำพูดตามมารยาทว่า “คารวะเจ้าลัทธิลู่”
ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ “พวกเราสองคนเป็นใครกับใคร งี่เง่าแล้วนะ”
ตั้งแผงดูดวงอยู่ในเมืองเล็กมาสิบกว่าปี ทั้งสองฝ่ายรู้ไส้รู้พุงกันดียิ่ง
แต่ก็เหมือนอย่างเฉาเกิงซินแห่งจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาที่จำเป็นต้องจับตามองเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วไว้ให้มากที่สุด แต่ทั้งสองฝ่ายกลับไม่มีโอกาสได้พบหน้าพูดคุยกันสักครั้ง
กับลู่เฉินเอง หลินเจิ้งเฉิงก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
หลินเจิ้งเฉิงคือคนในพื้นที่ของถ้ำสวรรค์หลีจู ยิ่งเป็นฮุนเจ่อรุ่นที่สองที่ซิ่วหู่เลือกมาเองกับมือ
ไม่อย่างนั้นราชครูต้าหลีผู้ยิ่งใหญ่ก็คงไม่ถึงขั้นว่างงานจนไปช่วยตั้งชื่อให้กับลูกชายของขุนนางจวนผู้ตรวจการคนหนึ่งหรอก
ส่วนฮุนเจ่อคนก่อน เมื่อระยะเวลาหกสิบปีที่กำหนดไว้มาถึง ก็ต้องปลดประจำการโดยที่ถือว่าไม่มีคุณความชอบและไม่มีความผิดพลาด แน่นอนว่าซิ่วหู่ชุยฉานย่อมไม่ค่อยพอใจ
ก่อนคนผู้นี้ อันที่จริงยังมีเซียนกระบี่ต่างถิ่นอีกคนหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นฮุนเจ่ออยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้ยาวนานที่สุด อีกทั้งฝ่ายนั้นยังมีสถานะที่ลึกลับอำพรางซึ่งพิเศษอย่างถึงที่สุด นั่นก็คือเป็นจี้กวาน
นี่เป็นความลับที่ราชครูชุยเพิ่งจะเปิดเผยให้หลินเจิ้งเฉิงทราบในการพบหน้ากันครั้งสุดท้าย ผู้ฝึกกระบี่ที่ออกจากบ้านเกิดไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านภูเขาห้อยหัวมาเยือนใต้หล้าไพศาล คือจี้กวานคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่หนิงเหยาเดินทางไปเที่ยวเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู หยางเหล่าโถวก็ได้เปิดเผยความลับสวรรค์แก่นาง เพียงแต่ว่าตอนนั้นผู้เฒ่าพูดจาค่อนข้างคลุมเครือ พูดแค่ว่ามีผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นคนหนึ่งที่ตายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเมืองเล็ก ก่อนหน้านั้นผู้ฝึกกระบี่คนนี้ได้รวบรวมสิ่งที่พบเห็นระหว่างขุนเขาสายน้ำเรียบเรียงขึ้นเป็นเล่ม สุดท้ายได้ทิ้งบันทึกท่องเที่ยวเล่มหนึ่งเอาไว้ มีบางครั้งที่จะหยิบมาเปิดอ่านดู
หนิงเหยาในเวลานั้นแค่กึ่งเชื่อกึ่งกังขา ตอนนั้นนางไม่ได้คิดลึก ภายหลังหยางเหล่าโถวจึงเปลี่ยนเรื่องคุย ถามคำถามสุดท้ายกับนางว่าอะไรคือเสียงในใจ
เด็กสาวพลันเข้าใจกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา นาทีนั้นนางก็ได้เข้าสู่สภาวะลี้ลับมหัศจรรย์คล้ายการเข้าฌานของลัทธิพุทธ และคล้ายการเดินเข้าไปสู่เรือนใจของลัทธิเต๋าอย่างหนึ่ง
หลินเจิ้งเฉิงเดาว่าผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในสามขุนนางของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ตั้งใจมาที่นี่เพราะกระบี่โบราณที่แขวนอยู่ใต้สะพาน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ได้รับการตอบรับเสียที เขาก็เลยอยู่ต่อที่ถ้ำสวรรค์หลีจู หันมาเป็นฮุนเจ่อแทน เพียงแต่ว่าเวลานั้นเกิดก่อนที่ชุยฉานจะมารับหน้าที่เป็นราชครูต้าหลีนานมาก สกุลซ่งต้าหลียังคงถูกปิดหูปิดตา จึงไม่รู้ว่ามีความเชื่อมโยงกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ลึกล้ำถึงเพียงนี้
แต่จี้กวานท่านนี้ นอกจากภายนอกจะเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วยังมีสถานะที่แอบแฝงยิ่งกว่านั้น คือยังเป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธคนหนึ่งที่อยู่บนยอดเขา ใต้ฝ่าเท้าไร้เส้นทางให้เดินแล้ว
ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางมีน้อยจนนับนิ้วได้
คนสุดท้ายคือป๋ายเลี่ยนซวง แล้วยังเป็นสตรีผู้หนึ่ง
นี่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ต่อให้โชคชะตาบู๊ของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะถูกปราณกระบี่สยบกำราบไว้แค่ไหน จำนวนของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตเก้า ขอบเขตสิบก็ไม่น่าจะน้อยถึงเพียงนี้
ยึดครอง
เพราะว่ามีคนยึดครองโชคชะตาบู๊ไปเพียงลำพัง
บุคคลอันดับหนึ่งด้านการเรียนวรยุทธของใต้หล้าไพศาล ‘หลงป๋อ’ จางเถียวเสีย ในอดีตตอนที่คนผู้นี้ยังไม่หมดอาลัยตายอยาก ช่วงเวลาที่ปณิธานหมัดอยู่บนยอดเขาสูงสุด จางเถียวเสียในเวลานั้นเรียกได้ว่าเปี่ยมไปด้วยปณิธานฮึกเหิม มองตำแหน่งเทพแห่งการต่อสู้เหนือขอบเขตปลายทางเป็นของในกระเป๋าตัวเองอย่างสิ้นเชิง มีความคิดทำนองที่ว่าหากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครไปได้
ผลคือบนมหาสมุทรกว้างใหญ่เคยมีการถามหมัดกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไม่ทราบนามคนหนึ่ง
จางเถียวเสียไม่แพ้ แต่ก็ไม่ชนะ
แต่หลังจากนั้นมาจางเถียวเสียก็หันไปฝึกตน สุดท้ายกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่มีอายุขัยยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาล
สำหรับยศตำแหน่ง คำเรียกขานที่ไพเราะมากมายซึ่งโลกภายนอกตั้งให้เขา ยกตัวอย่างเช่นบุคคลอันดับหนึ่งของวิถีวรยุทธในใต้หล้า จางเถียวเสียล้วนไม่เคยยอมรับ พวกเจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดไป ถึงอย่างไรข้าจางเถียวเสียก็ไม่ยอมรับ ไม่สนใจ
การที่ลู่เฉินรู้เรื่องนี้ยังต้องยกคุณความชอบให้กับเซียนฉาคนพายเรือเฒ่าลูกศิษย์ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของตน
เซียนฉาก็คือคนที่ชมศึกเพียงหนึ่งเดียวในการถามหมัดครั้งนั้นพอดี
สงครามบนยอดเขาสูงสุดของวิถีวรยุทธครั้งนั้น เรือนกายของสองฝ่ายขยับว่องไวดุจสายฟ้าแลบ ความเร็วนั้นเหนือกว่ากระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ ตีกันจนมหาสมุทรในรัศมีพันลี้รอบด้านยุบหายลงไปเป็นแถบๆ มองเห็นก้นบึ้งของทะเลหลายจุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!