ลู่เฉินพูดพึมพำกับตัวเอง “อีกอย่างปีนั้นเมืองเล็กเจอกับหายนะใหญ่มาเยือน ไม่ใช่ว่ามีแค่เซียนเหรินของป๋ายอวี้จิงพวกเราที่เผยหน้า อริยะของสามลัทธิหนึ่งสำนักต่างก็ปรากฏตัวกันแล้ว”
“อย่างมากสุดก็เป็นคนผู้นั้นของหอจื่อชี่พวกเราที่เจ้าอารมณ์ ชิงลงไม้ลงมือก่อนใคร แต่ผินเต้าไม่เหมือนกันนะ ตั้งแต่ต้นจนจบทั้งไม่ได้ต่อสู้กับฉีจิ้งชุน แล้วก็ไม่ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตไว้แม้แต่ครึ่งประโยค สามัคคีปรองดองกันอย่างยิ่ง”
“เฉินผิงอันอาศัยอะไรถึงไม่ไปแก้แค้นรองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋น แล้วก็ไม่ไปถกเหตุผลกับลัทธิพุทธ แต่ดันคว้าจับข้าไว้ไม่ยอมปล่อย รังแกคนนิสัยดีใช่ไหม ใส่ร้ายข้าเกินไปแล้ว”
หลินเจิ้งเฉิงทำท่าประหลาด เค้นรอยยิ้มที่หน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้มมาให้ จากนั้นก็หุบยิ้มทันที
คล้ายกับคนที่ฟังเรื่องตลกจบ หลังจากให้การสนับสนุนแล้ว เจ้าลัทธิลู่เจ้าก็พูดเรื่องตลกของเจ้าต่อไปเถอะ
ลู่เฉินยกชายแขนเสื้อขึ้นชี้ไปที่เจ้าหมอนี่ “บัณฑิต พวกเราล้วนเป็นบัณฑิต มิน่าเล่า นับแต่เด็กมาหลินโส่วอีถึงได้ไม่สนิทกับเจ้า”
อริยะแสวงหาด้านหนึ่งเพื่อสร้างบรรทัดฐานแก่ใต้หล้า รู้ว่าคนเลื่อมใสความสูงศักดิ์ กฎหมายจึงต้องสนใจคนต่ำต้อย เพื่อถมร่องระหว่างความสูงศักดิ์และต่ำต้อยของใต้หล้าให้เสมอกัน
ชุยฉานตั้งชื่อให้ลูกชายของหลินเจิ้งเฉิงว่า ‘โส่วอี’ ถึงขั้นที่ว่ายังช่วยตั้ง ‘นาม’ ตอนที่หลินโส่วอีต้องสวมกวานไว้เรียบร้อยแล้วแต่เนิ่นๆ ด้วย
แซ่หลินชื่อโส่วอี นามว่ารื่อซิน เป็นทั้งอาทิตย์ขึ้นและวันใหม่ ทั้งเป็นการทำที่รอบคอบและระมัดระวัง
เห็นว่าเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนี้ยังแสร้งโง่ หลินเจิ้งเฉิงก็ยกมือขึ้น สองนิ้วทำท่าเหมือนถือหนังสือแล้วแกว่ง
ลู่เฉินถอนหายใจ
ฉลาดเกินไปก็ไม่ดีเลย ง่ายที่จะหาเรื่องคุยกันไม่ได้
ความหมายของหลินเจิ้งเฉิงก็คงจะประมาณว่า เจ้าและข้าสองคนต่างก็เป็นคนที่เปิดหนังสือของเรื่องราวต่างๆ แห่งเมืองเล็ก เบาะแส เส้นสาย การพัวพัน แนวโน้มการดำเนินไปทั้งหมดล้วนเขียนไว้บนตำราอย่างชัดเจน เจ้าและข้าต่างก็เปิดอ่านอย่างกระจ่างชัด ถ้าอย่างนั้นก็เลิกแกล้งโง่ได้แล้ว
ลู่เฉินทอดถอนใจ “หากว่าฮ่องเต้โน้มน้าวเจ้าได้ เจ้าก็โน้มน้าวเฉินผิงอันให้รับปากเป็นราชครูคนใหม่ของต้าหลีได้”
หลินเจิ้งเฉิงเงียบไม่ตอบ
การวางตัวเป็นคนและการทำเรื่องต่างๆ อันที่จริงล้วนง่ายดายอย่างมาก ก็แค่ต้องเข้าใจว่าข้าก็คือข้า
ในเมื่อข้าคือข้า ก็จำเป็นต้องทำเรื่องมากมายที่สมควรทำ และไม่ทำเรื่องมากมายที่ไม่สมควรทำ
ก็เหมือนอย่างการที่หลินโส่วอีไปที่โรงเรียนแห่งนั้นตอนยังเป็นเด็ก มีครั้งหนึ่งหลังจากเลิกเรียนกลับมาบ้าน ดวงตาของเขาแดงก่ำ คล้ายเพิ่งจะร้องไห้มา
ตอนนั้นหลินเจิ้งเฉิงเห็นเข้าพอดีจึงถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น หลินโส่วอีบอกว่ามีเพื่อนร่วมห้องโกงข้อสอบ เขาไปฟ้องครู จากนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ไยดีตนอีก
‘เจ้าคิดว่าตัวเองทำผิดหรือ?’
‘ไม่!’
‘ทำเรื่องที่ถูกต้องก็ต้องได้รับผลตอบแทนที่ดีเสมอหรือ?’
‘แล้วไม่ใช่หรือ? ไหนพูดกันว่าคนทำดีย่อมได้ดีตอบแทนอย่างไรล่ะ’
‘ไม่แน่เสมอไปหรอก’
‘หา?’
‘ไม่อย่างนั้นจะต้องให้พวกเจ้าเล่าเรียนไปทำไม’
‘ท่านพ่อ อาจารย์ฉีคุยกับข้าแล้ว เขาก็พูดทำนองนี้เหมือนกัน แต่ข้ารู้สึกว่าอาจารย์ฉีพูดได้ดีกว่าหน่อย บอกว่าให้ข้าเชื่อว่าคนดีต้องได้ดีตอบแทน นี่ไม่ค่อยเหมือนกับที่ท่านพูดสักเท่าไร ท่านพ่อ ตอนที่ท่านเรียนหนังสือก็เคยถูกคนมาดักรอซ้อมท่านในตรอกเหมือนที่ข้าโดนเหมือนกันหรือ?’
‘ไสหัวไปอ่านหนังสือซะ’
‘อ้อ’
‘ใช่แล้ว ใครเป็นคนตีเจ้า?’
‘เจ้าอ้วนหม่าของตรอกเอ้อหลาง’
‘เขาคนเดียวหรือ?’
‘อืม’
‘ไสหัวไป!’
จะโทษที่ลูกกลัวพ่อไม่ได้จริงๆ พ่อลูกสองคนไม่เคยสนิทสนมกัน ขอแค่หลินเจิ้งเฉิงเห็นหลินโส่วอีเกเรตอนเด็กสักเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นทำการบ้านไม่เสร็จก็กล้าไปเล่นสนุก หลินเจิ้งเฉิงที่กลับจากที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผามาถึงที่บ้าน แล้วเจอเข้าพอดี ก็จะใช้เข็มขัดปรนนิบัติบรรพบุรุษน้อยท่านนี้ ตีจนหลินโส่วอีวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน มักจะไปหลบอยู่ใต้เตียงไม่ยอมออกมา
การที่หลินเจิ้งเฉิงไม่สนใจโรงเรียนที่สุกลเฉินลำธารหลงเหว่ยสร้างขึ้นในภายหลังก็เพราะรู้สึกว่าพวกอาจารย์เกรงใจพวกเด็กๆ มากเกินไป อธิบายหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์บนตำรามากเกินไป ตีเด็กน้อยเกินไป ไม้บรรทัดและไม้ขนไก่พวกนั้นมีไว้เป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ผู้เฒ่าที่อายุมากหลายคนที่คงเป็นเพราะสำรวมในสถานะผู้รอบรู้ด้านการประพันธ์ บรมครูด้านวรรณคดีของตัวเอง จึงพิถีพิถันในข้อที่ว่าวิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ ภายหลังหลินเจิ้งเฉิงทนมองต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงเขียนฎีกาลับฉบับหนึ่งขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพียงไม่นานก็โยกย้ายเอาตัวอาจารย์อายุน้อยกลุ่มหนึ่งมาที่โรงเรียนได้ เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าที่สกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยจ้างมาแล้ว ความรู้ของฝ่ายหลังต่ำกว่าเล็กน้อย น้ำหมึกน้อยกว่าเล็กน้อย แต่เป็นผู้สอบเคอจวี่ของต้าหลีที่มีหวังจะมีรายชื่อติดกระดานทองคำ ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับเด็กนักเรียนประถมที่สวมกางเกงเปิดก้นกลุ่มหนึ่ง แน่นอนว่ามากพอเหลือแหล่ อีกทั้งยังกระตือรือร้นในด้านการสอนมากยิ่งกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้สกุลเฉินหลงเหว่ยก็ผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน เพราะถึงอย่างไรผู้เฒ่าพวกนั้น ใครบ้างที่ไม่ยินดีจะกลับบ้านเกิดไปใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลาย มีความสุขอยู่กับลูกหลาน หรือไม่ก็เป็นผู้ดูแลสำนักศึกษาในท้องถิ่นสักแห่ง เพื่อที่จะได้ช่วยอบรมปลูกฝังคนของบ้านเกิดให้กลายเป็นจิ้นซื่อรุ่นใหม่ของต้าหลี?
ลู่เฉินเหลือบมองหลินเจิ้งเฉิง ไม่รบกวนการรำลึกความหลังของบิดาเมตตาบุตรกตัญญูที่หาได้ยากของฮุนเจ่อรุ่นสุดท้ายท่านนี้ เงียบงันไปครู่หนึ่ง รอให้หลินเจิ้งเฉิงเก็บความรู้สึกทั้งหมดกลับมาได้แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องคุยว่า “เกาเซวียนคือฮ่องเต้ที่ดี ราชสำนักต้าหลีของพวกเจ้าควรจะระวังไว้สักหน่อย หากว่าซิ่วหู่ยังอยู่ หรือไม่ก็เปลี่ยนซ่งจี๋ซินที่ได้เป็นฮ่องเต้ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เกาเซวียนได้เป็นฮ่องเต้ของต้าสุยต่อไปเป็นแน่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!