ตอนนั้นหลินเจิ้งเฉิงเคยถามคำถามข้อหนึ่ง ‘เพียงแค่เพื่อเล่นงานอาจารย์ฉีคนเดียว จำเป็นด้วยหรือ?’
ชุยฉานยิ้มตอบว่า ‘ระหว่างลู่เฉินกับฉีจิ้งชุนไม่มีการช่วงชิงบนมหามรรคากัน แต่ขอแค่เพียงเพื่อเจ้าลัทธิใหญ่ที่เป็นศิษย์พี่ผู้นั้น ลู่เฉินก็ต้องจำเป็นต้องทำ’
‘ด้านหนึ่ง เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงท่านนั้นคือคนที่ลู่เฉินเคารพนับถือมากที่สุด นอกจากนี้ลู่เฉินยังมีการแสวงหาที่ใหญ่ยิ่งกว่า มาจากความเห็นแก่ตัว เพราะปีนั้นลู่เฉินรู้สึกว่าปริศนาบางอย่างสามารถได้คำตอบจากศิษย์พี่ของเขา เงื่อนไขก็คือลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋าท่านนี้สามารถทำเรื่องหนึ่งได้สำเร็จ’
ตอนที่ลู่เฉินไม่คิดอะไร ไม่ว่าใครก็สู้ไม่ได้
ตอนที่ลู่เฉินมีความต้องการ ไม่ว่าใครก็สู้ไม่ได้
มีลู่เฉินอยู่ด้วย ไม่ได้บอกว่าฉีจิ้งชุนต้องไม่มีทางเลือกที่สองเสมอไป
แต่ก็เพราะการปรากฏตัวของลู่เฉิน ทำให้สุดท้ายแล้วฉีจิ้งชุนมีทางเลือกแค่สองทาง
ก็เหมือนกับกระดานหมากกระดานหนึ่งที่เล่นกันจนถึงช่วงท้ายแล้วฝ่ายหนึ่งยึดครองความได้เปรียบ
ยังคงชนะอยู่เหมือนเดิม แต่วิธีการเอาชนะของฝ่ายที่ได้เปรียบกลับมีทางให้เดินแค่หนึ่งถึงสองทางเท่านั้น
เจ้าชนะสถานการณ์บนกระดานหมาก ข้าชนะสถานการณ์นอกกระดาน
ยกตัวอย่าง สมมติว่าหลิวเสี้นยนหยางถือเครื่องกระเบื้องที่มีค่าไว้ในมือหลายชิ้น หมายจะไปหาเฉินผิงอันที่ตรอกหนีผิง
ไม่ว่าจะเดินไปทั่วตรอกซอกซอย เปลี่ยนเส้นทางอยู่ในเมืองเล็กอย่างไร สุดท้ายแล้วก็มีทางให้เดินแค่สองทางเท่านั้น เดินผ่านหน้าประตูบ้านของกู้ช่าน กับไม่เดินผ่าน
การดำรงอยู่ของลู่เฉินก็เหมือนอันธพาลคนหนึ่งที่ไม่ถูกกับหลิวเสี้ยนหยาง จึงมาดักรอฝั่งตรอกหน้าประตูบ้านกู้ช่าน ใครมาก็ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนผู้นั้น อีกทั้งไม่ได้แค่แสร้งทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวด้วย
หลิวเสี้ยนหยางเคยคิดว่าจะเล่นงานเจ้าอันธพาลผู้นั้น แต่ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียดูแล้วก็ไม่ดีกว่า ไม่มีความจำเป็น เพราะในมือยังมีเครื่องกระเบื้องที่จะนำไปมอบให้เฉินผิงอัน แน่นอนว่าต้องอ้อมผ่านไปอีกทาง
ลู่เฉินหลุดหัวเราะพรืด ยกมือตบโต๊ะหนึ่งที แสร้งทำเป็นเอ่ยเดือดดาลว่า “นี่มันอะไรกับอะไรกัน อย่าได้ใส่ร้ายคนอื่นสิ ผินเต้าไปถึงเมืองเล็กตอนไหน เวลาแค่กี่ปีกันเอง จะทำเรื่องอะไรได้สำเร็จ เจ้าหลินเจิ้งเฉิงไม่รู้เลยหรือ? อ่างบรรจุอาจมใบนี้ก็เอามาครอบบนหัวผินเต้าได้ด้วยหรือ?! ต่อให้เจ้าเป็นคนไร้คุณธรรม แต่จะใส่ร้ายคนอื่นก็ควรจะต้องมีหลักฐานบ้างกระมัง?!”
หลินเจิ้งเฉิงขมวดคิ้วเอ่ย “เป็นโจวจื่อรึ?”
ลู่เฉินเช็ดหน้า แสดงละครนี่เหนื่อยจริงๆ เขาส่ายหน้าเอ่ย “ในเมื่อมีความเป็นไปได้มากที่สุด ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไม่ใช่แน่นอน โจวจื่อทำอะไรมักจะชอบหยุดแต่พอสมควรเสมอ พาตัวเข้ามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่นิสัยการกระทำของโจวจื่อ หากไม่ทันระวัง จิตแห่งมรรคาก็อาจแหลกสลายโดยตรง หากแค่ขอบเขตถดถอยก็ยังถือว่าดีมากแล้ว”
ลู่เฉินยื่นมือไปตบกวานเต๋าบนศีรษะ จากนั้นยืดแขนออกไป ยกฝ่ามือขึ้นสูงแล้วโบก “เหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพมองดูอยู่ ไม่ว่าคนนอกจะเชื่อหรือไม่ แต่ผินเต้ามีข้อพิถีพิถันในเรื่องนี้อย่างมาก”
ลู่เฉินเงียบไปพักหนึ่ง นับนิ้วคำนวณแล้วคำนวณอีก แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “เถียนหว่านที่น่าสงสาร เดิมทีแค่เอาถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยมาซ่อนไว้ในถ้ำสวรรค์หลีจู นึกว่าสามารถหลอกตัวเองได้ก็จะปิดฟ้าข้ามมหาสมุทรได้ ถึงอย่างไรตบะของนางก็ยังตื้นเขินเกินไป เรื่องอย่างการหลอกตัวเองหลอกคนอื่นประเภทนี้ คิดว่าไม่ว่าใครก็สามารถเรียนรู้และทำได้จริงๆ หรือ? เหล่าไฉรักษาสัญญา ไม่ได้ละโมบอยากครอบครองจักจั่นสีทองตัวนั้น คาดว่าแม้แต่เหล่าไฉก็คงยังคิดไม่ถึงว่าเปลี่ยนมือไปตลอดทาง สุดท้ายก็ยังเป็นหลานรักของเขาที่ได้โชควาสนาที่ ‘ทั้งๆ ที่อยู่ข้างฝ่ามือ แต่กลับเหมือนไกลสุดขอบฟ้า’ นี้ไปอยู่ดี ช่างอัศจรรย์จนเกินจะหาถ้อยคำมาบรรยายจริงๆ คำโบราณกล่าวไว้ได้ดี ชะตากำหนดให้แปดฉื่ออย่าหวังจะได้หนึ่งจั้ง ไม่วาดหวังกลับกลายเป็นว่าอาจจะได้มาครอง”
“แต่หากจะพูดถึงระดับความรักใคร่ที่มีต่อผู้เยาว์ ไม่ว่าใครก็เทียบกับความรู้สึกที่หยางเหล่าโถวมีต่อหลี่ไหวไม่ได้กระมัง ดังนั้นถึงได้บอกว่าคนโง่ก็มีโชคของคนโง่ เรื่องนี้จำเป็นต้องเชื่อ! ครั้งหน้าที่ผินเต้ารับลูกศิษย์ปิดสำนักจะต้องรับคนที่ไม่ฉลาดสักเท่าไร”
ลู่เฉินมองไปยังหลินเจิ้งเฉิง “เกี่ยวกับที่อยู่ของถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยแห่งนั้น เรื่องนี้สามารถนำไปบอกต่อแก่เฉินผิงอันได้ ไม่ต้องคิดมาก ผินเต้ารับรองว่าจะไม่วาดงูเติมขาเด็ดขาด”
หลินเจิ้งเฉิงกระตุกมุมปาก เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะทำเช่นนี้
ปีนั้นร้านขายของงานอวมงคลของเมืองเล็กมีอยู่ไม่น้อย ทว่าร้านขายของมงคลกลับมีอยู่แค่ร้านเดียว เถ้าแก่ร้านคือท่านปู่ของหูเฟิง หลังจากที่ผู้เฒ่าตายไป บนป้ายหินหน้าหลุมศพได้เขียนชื่อจริงลงไป ไฉเต้าหวง
ดังนั้นลู่เฉินถึงได้เรียกอีกฝ่ายคำแล้วคำเล่าว่าเหล่าไฉ
ผู้เฒ่าเคยนั่งเก้าอี้บุคคลอันดับหนึ่งของร้านหมั้นหมายทุกร้านในโลกมนุษย์ยุคบรรพกาล หรือก็คือผู้เฒ่าจันทราที่เรียกกันในโลกยุคหลังนั่นเอง ในอดีตที่ตั้งของสถานที่ประกอบพิธีกรรมของเขามีชื่อว่า ‘ภูเขาฉั่วเหอ’ (จับคู่/เป็นคนกลางติดต่อให้)
ดูแลสมุดชะตาคู่เล่มหนึ่งและการผูกด้ายแดง รวมไปถึงถ้อยคำของแม่สื่อทุกคน
ส่วนหลานชายของเขา หูเฟิง อักษรคำว่าหูประกอบด้วยอักษรกู่ที่แปลว่าโบราณและเยว่ที่แปลว่าดวงจันทร์
หูเฟิงกับเด็กสาวที่อยู่ริมลำคลองชื่อหลินใบถงทวีปล้วนเป็นลูกหลานของช่างสวรรค์ในตำหนักดวงจันทร์บรรพกาลเหมือนกัน เพียงแต่ว่าระบบสายเลือดของหูเฟิงบริสุทธิ์และชอบธรรมมากกว่า ก็เหมือนความต่างระหว่างบุตรภรรยาหลวงกับบุตรอนุภรรยาในครอบครัวมนุษย์โลกยุคหลัง
ลู่เฉินรีบกลับไปนั่งลงข้างกระถางไฟ หากยังไม่กลับไปอีก หลินเจิ้งเฉิงต้องกินมันเทศทุกลูกหมดแน่นอน หยิบชิ้นสุดท้ายขึ้นมาปัดฝุ่นที่อยู่บนนั้นเบาๆ เป่าลมลงไปแรงๆ อีกที ยิ้มถามหน้าทะเล้นเอ่ยว่า “พี่หลิน จะดีจะชั่วผินเต้าก็เป็นเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิง อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวจะเดินกร่างก็ยังได้ ใครกล้าหายใจแรงใส่ผินเต้าบ้างเล่า ส่วนเจ้าทุกวันนี้ก็ไร้ที่พึ่งแล้ว ยังจะกล้าพูดจาไม่ดีกับผินเต้าแบบนี้อีก เจ้าอาศัยอะไร?”
หลินเจิ้งเฉิงเอ่ยอย่างเฉยเมย “เวลาปกติไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรม กลางคืนย่อมไม่กลัวผีมาเคาะประตูบ้าน”
ลู่เฉินโอดครวญ “มาพบเจอคนบ้านเดียวกันที่ต่างบ้านต่างเมือง เดิมทีคนทั้งสองควรจะมีน้ำตาเอ่อคลอ ไยพี่หลินต้องด่าคนอีกแล้วเล่า”
หลินเจิ้งเฉิงถามตรงๆ “เจ้าลัทธิลู่กลับบ้านเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ลู่เฉินบ่น “ประโยคนี้พูดได้ทำร้ายน้ำใจกันนัก อย่าลืมล่ะว่า พวกเราคือคนบ้านเดียวกันนะ”
หลินเจิ้งเฉิงพูดอย่างไร้ความจริงใจ “อ้อ หากเจ้าลัทธิเฉินไม่พูด ข้าผู้แซ่หลินก็เกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะ”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างโมโหปนขำ “คนอื่นไม่รู้ก็ช่างเถิด แต่ฮุนเจ่ออย่างเจ้าไม่รู้ได้หรือ ผินเต้าเท่ากับทุ่มสุดชีวิตไม่ต้องการ ไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับเฉินผิงอันมารอบหนึ่ง สร้างคุณความชอบที่ทุกใต้หล้าล้วนต้องพากันหันมามอง”
หลินเจิ้งเฉิงพยักหน้าเอ่ยว่า “ก็เพราะว่ารู้เรื่องนี้ คืนนี้ถึงได้ยินดีพูดคุยเรื่องไร้สาระกับเจ้าลัทธิลู่มากมายถึงเพียงนี้อย่างไรล่ะ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าคงไล่แขกไปนานแล้ว”
ลู่เฉินยกสองมือขึ้นทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “ไม่โกรธ ไม่โกรธ ไม่สมควร ไม่สมควร”
หลินเจิ้งเฉิงลังเลอยู่เล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังกุมหมัดเอ่ยเสียงจริงจังว่า “พูดถึงแค่เรื่องนี้ ทำได้ไม่เหมือนลู่เฉินอย่างยิ่ง ข้ายอมรับว่าเจ้าคือลูกผู้ชายคนหนึ่ง”
ก็ยังด่าคนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
แต่ลู่เฉินก็คลี่ยิ้มเจิดจ้าได้อย่างว่องไว “คำพูดดีๆ ที่อบอุ่นใจเช่นนี้ พี่หลินก็น่าจะพูดแต่แรกนะ ไม่แน่ว่าผินเต้าอาจยินดีปกป้องด่านให้กับหลานอย่างหลินโส่วอีก็เป็นได้! ก็แค่จากก่อกำเนิดเลื่อนเป็นหยกดิบเท่านั้น ไม่ใช่จากเซียนเหรินเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานเสียหน่อย เรื่องเล็กน้อย”
“หากเจ้าลัทธิลู่ยินดีเปลี่ยนแซ่ คราวหน้าข้าสามารถเพิ่มชื่อลงไปบนทำเนียบวงศ์ตระกูลได้ ให้ใส่ไว้หน้าแรกก็ยังไม่เป็นปัญหา ถึงอย่างไรจุดธูปคารวะในศาลบรรพชนก็ล้วนจุดเก้าดอกเหมือนกัน”
“พี่หลิน หากว่าเจ้ายังพูดคุยกันแบบนี้จะน่าเบื่อมากแล้วนะ ผินเต้าเป็นคนที่เจ้าอารมณ์ไม่น้อย หากดุร้ายขึ้นมา แม้แต่ญาติมิตรก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!