อารามเสวียนตูใหญ่ ท่ามกลางป่าท้อมีลำธาร ลำธารใสน้ำตื้น ใสจนมองเห็นถึงก้นบึ้ง
นักพรตผู้เฒ่าเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่งกับคนหนุ่มร่างอ้วนคนหนึ่ง ต่างคนต่างนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ม้วนขากางเกงขึ้น เปลือยเท้าจุ่มน้ำในลำธาร คนหนึ่งดื่มเหล้า คนหนึ่งกอดฝักเมล็ดบัวหอบใหญ่ที่เพิ่งเด็ดมาไว้ในอ้อมอก
เจ้าอ้วนเยี่ยนถาม “เหล่าซุน ตอนนั้นทำไมถึงให้ป๋ายเหย่ยืมกระบี่ล่ะ? อาเหลียงก็บอกแล้วว่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างพวกเราทะยานลมเดินทางไกลหมื่นลี้จำเป็นต้องใช้กระบี่ มีใครเขาเป็นแบบท่านบ้าง กลับกลายเป็นว่าเอากระบี่เซียนให้คนอื่นยืมเช่นนี้ ตอนนี้กลับดีนัก ข้าได้ยินมาว่าที่ป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นมีเซียนจวินไม่น้อยที่ไม่ค่อยเคารพนับถือท่านเหล่าซุนสักเท่าไรเลย บอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับอารามเสวียนตูเหมือนไม้เหี่ยวที่ยันอยู่กับไม้แก่ ฟังดูสิ น่าโมโหเพียงใด ตอนนั้นต่งฮว่าฝูคุยกับข้าเรื่องนี้ ข้าก็โมโหจนควันพุ่งออกจากทวารทั้งเจ็ด เกือบจะบุกไปที่ป๋ายอวี้จิงพร้อมกับเขา คิดว่าจะทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมาให้ท่านเหล่าซุนอย่างไรดี แต่ช่วยไม่ได้ ทุกวันนี้ขอบเขตของข้าต่ำเกินไป กลัวก็แต่ว่าถามกระบี่ไม่สำเร็จ ยังกลับกลายจะทำให้อารามเสวียนตูต้องขายหน้าด้วย”
ในฐานะผู้นำของสายเซียนกระบี่แห่งลัทธิเต๋าในใต้หล้า เวทกระบี่และมรรคกถาของเจ้าอารามผู้เฒ่าล้วนสูงพอๆ กัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางนั่งเก้าอี้ ‘อันดับที่ห้าของใต้หล้า’ ใต้ก้นตัวนั้นได้อย่างมั่นคง
นักพรตซุนหลุดหัวเราะพรืด “มีอะไรก็พูดมาตามตรง ชีวิตนี้ผินเต้าไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อมมากที่สุดแล้ว”
เยี่ยนจั๋วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ แล้วนะ? บอกไว้ก่อนนะว่าเหล่าซุนท่านห้ามอาฆาตแค้นน่ะ”
นักพรตซุนหัวเราะร่า “ต้องการให้ผินเต้าสาบานแรงๆ ก่อนด้วยหรือไม่?”
นักพรตของอารามเสวียนตูอายุตั้งแต่แก่จนเด็ก ลำดับอาวุโส ขอบเขตนับตั้งแต่สูงถึงต่ำ ไม่เคยกลัวว่าจะไปมีเรื่องกับใครก็ตามในใต้หล้ามืดสลัว มีเพียงกลัวว่าจะถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนี้คิดถึง
เห็นว่าเจ้าอ้วนน้อยยังคงไม่ค่อยกล้าพูด นักพรตผู้เฒ่าก็ยิ้มถามว่า “ผายลมที่อั้นไว้อ้อมไปอ้อมมาจะหอมกว่าเดิมหรือ?”
อันที่จริงเยี่ยนจั๋วเริ่มเสียใจภายหลังแล้วที่คุยเรื่องนี้กับเจ้าอารามผู้เฒ่า เพียงแต่ว่าลูกธนูพาดสายแล้วจำต้องปล่อยออกไป จึงทุบไหที่แตกให้แหลกเสียเลย บอกเรื่องที่ตัวเองคุยกับต่งฮว่าฝูเป็นการส่วนตัวให้เจ้าอารามผู้เฒ่าฟังเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ “เทพเซียนน้อยใหญ่ที่ป๋ายอวี้จิงต่างก็พูดกันว่าปีนั้นหากท่านไม่ให้ป๋ายเหย่ยืมกระบี่ ท่านก็สามารถเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้จริงๆ แต่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว หากยังคิดจะต่อสู้กับเจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิงก็ต้องยังสู้ไม่ได้แน่นอน”
“ดังนั้นท่านจึงจงใจมอบกระบี่เซียน ‘ไท่ป๋าย’ ให้ป๋ายเหย่ยืม ทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะได้แสดงมาดแห่งผู้อาวุโสได้อย่างเต็มที่ ได้รับชื่อเสียงที่ดีงาม ทั้งยังทำให้ป๋ายเหย่ติดค้างน้ำใจใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่ง ช่วยให้ใต้หล้าไพศาลมีผู้ที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์เพิ่มมาอีกคน และทางฝั่งศาลบุ๋นก็ต้องเห็นแก่น้ำใจควันธูปส่วนนี้ และในเมื่อท่านหยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตบินทะยานก็ย่อมไม่ต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเต๋าเหล่าเอ้อ แล้วนับประสาอะไรกับที่ด้วยนิสัยของผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงผู้นั้นแล้ว ขอแค่ท่านเป็นขอบเขตบินทะยานอยู่ตลอด เขาก็ไม่สะดวกจะรังแกคน จึงได้แต่ไม่ถือสาอะไรท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่ายิงธนูนัดเดียวได้นกสามถึงสี่ตัวแล้ว”
นักพรตผู้เฒ่าฟัง ‘เรื่องเล่าลือภายนอก’ พวกนี้แล้วก็ลูบหนวดหัวเราะร่า ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนจากอับอายพานมาเป็นความโกรธ
เจ้าอ้วนเยี่ยนถาม “เหล่าซุน ท่านแสร้งทำเป็นวางมาดสง่างามเพื่อนำมาใช้ปิดบังไฟโทสะที่ระอุอยู่เต็มอกของตัวเองหรือ? อย่าเลย พวกเราสองคนคือใครกับใคร ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ลำดับอาวุโสสามารถวางไว้ตรงนั้นไม่ต้องไปสนใจ หากว่าโมโหจริงๆ ก็อย่าปิดบังอำพรางอีกเลย อย่าว่าแต่ท่านเลย ข้าได้ยินแล้วไฟโทสะยังลุกท่วมสามจั้ง นี่ก็ไม่ใช่ว่าตกลงกับต่งฮว่าฝูเรียบร้อยแล้วหรอกหรือ จะจดบันทึกรายชื่อของพวกเทพเซียนผู้เฒ่าที่พูดจาไร้มารยาทพวกนั้นเอาไว้ วันหน้ารอให้ข้าเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานเมื่อไหร่ก็จะไปไล่ถามกระบี่กับพวกเขาที่ป๋ายอวี้จิงทีละคน เหล่าซุนหากว่าท่านไม่เชื่อ ข้าสามารถให้คำสาบานแรงๆ ได้!”
นักพรตผู้เฒ่าแกว่งกาเหล้า “ฝันไปเถอะ เจ้าอ้วนเยี่ยนอย่างเจ้าน่ะหรือ ความกล้าน้อยนิดแค่นั้นล้วนไปอยู่บนหัวการค้ากับเนื้ออ้วนๆ บนร่างหมดแล้ว ทุกวันนี้ยังมีสถานะทำเนียบของอารามเสวียนตู คาดว่าคงไม่กล้าขยับเข้าใกล้ป๋ายอวี้จิงด้วยซ้ำ คำพูดทำนองนี้มีเพียงนักพรตน้อยเฉินที่เป็นคนพูดเท่านั้น ข้าถึงจะยอมเชื่อ”
เยี่ยนจั๋วถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ากลัวจะแพ้ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงคนนั้นจริงๆ สินะ?”
นักพรตผู้เฒ่าพยักหน้า “ไม่ได้กลัวแพ้ แต่กลัวตาย”
หากเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วต้องถามกระบี่กับอวี๋โต้ว แน่นอนว่าไม่มีทางแค่แบ่งแพ้ชนะเท่านั้น จะต้องตัดสินเป็นตายกันแน่
เยี่ยนจั๋วมีสีหน้าตกตะลึง
นักพรตผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ความกลัวนี้ไม่ใช่ความกลัวแบบทั่วไป ไม่ได้กลัวว่ากายดับมรรคาสลายถึงได้ตัดใจตายไม่ลง แต่เป็นเพราะกลัวว่าน้ำหนักในการตายจะมีไม่มากพอ กังวลว่าจะตายอย่างไม่คุ้มค่า ความอัดอั้นที่สะสมในใจมานานเป็นพันปีนั้น ต่อให้ตายไปก็ยังระบายออกมาไม่ได้ หากว่าได้แค่ระบายออกมาอย่างครึ่งๆ กลางๆ ก็คงเหมือนผีที่ผูกคอตาย ร่างแกว่งไปแกว่งมา หัวไม่ถึงฟ้า เท้าเหยียบไม่ถึงพื้น ไม่สมกับเป็นลูกผู้ชายที่ค้ำฟ้ายันดินได้แม้แต่น้อย ผินเต้าย่อมตายตาไม่หลับ แต่แรกเริ่ม อันที่จริงผินเต้าไม่ได้คิดอะไรมากมายขนาดนี้ ปีนั้นเท้าข้างหนึ่งได้เหยียบลงบนธรณีประตูแล้ว ในขณะที่กำลังจะยกเท้าอีกข้างหนึ่งกลับมีคนมาเป็นแขกที่อารามเสวียนตูโดยที่ไม่มาเร็วกว่านั้นไม่มาช้ากว่านั้น มาพูดคุยกับผินเต้า หลังจากนั้นมาผินเต้าถึงได้ไปผ่อนคลายอารมณ์ที่ใต้หล้าไพศาล ตามข้อตกลง หากว่าตอนไปพกกระบี่ไปด้วย แล้วตอนกลับก็ยังพกกระบี่อยู่ ก็ต้องตรงไปที่ป๋ายอวี้จิง เขาจะไม่มีทางขัดขวางข้าที่จะไปถามกระบี่กับอวี๋โต้วแน่นอน”
เยี่ยนจั๋วถาม “เจ้าลัทธิลู่หรือ?”
นักพรตผู้เฒ่าส่ายหน้า “คือศิษย์พี่ของเฉินเสี่ยวซานกับเต๋าเหล่าเอ้อ เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงที่มากคุณธรรมและบารมีท่านนั้น”
เยี่ยนจั๋วยกนิ้วโป้ง “ยังคงเป็นเหล่าซุนที่มีหน้ามีตา”
นักพรตผู้เฒ่าหัวเราะ “นี่จะนับเป็นอะไรได้ ปีนั้นตอนที่ข้าสร้างอารามเสวียนตู ในบรรดาแขกที่มาเข้าร่วมงานพิธีก็มีมรรคาจารย์เต๋า เพียงแต่ว่ามรรคาจารย์เต๋าท่านไม่ยินดีจะเป็นแขกที่แย่งบทบาทเจ้าภาพ บดบังความมีหน้ามีตาของข้า ก็เลยปกปิดสถานะ แต่ก็อยู่จนกระทั่งงานพิธีสิ้นสุดลง มรรคาจารย์เต๋าดื่มเหล้าหนึ่งจอกถึงได้จากไป”
เยี่ยนจั๋วถามอย่างกังขา “เรื่องแบบนี้ทำไมไม่เห็นมีบันทึกไว้บนทำเนียบประจำปีของอารามเต๋าพวกเราเลยเล่า?”
นักพรตซุนย้อนถาม “มรรคาจารย์เต๋าเข้าร่วมงานพิธี อารามเสวียนตูของพวกเราก็ต้องบันทึกไว้เป็นพิเศษด้วยหรือ? ถ้าอย่างนั้นจะยังมีอารามเสวียนตูอย่างในทุกวันนี้อีกไหม? ตอนนั้นมรรคาจารย์เต๋าจะต้องมาเข้าร่วมงานพิธีทำไม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!