ม่านฟ้าที่ตั้งอยู่แถบใจกลางของใต้หล้าห้าสี
แสงกระบี่สองเส้นผุดขึ้นมาจากในนครบินทะยาน ตรงดิ่งขึ้นสู่ม่านฟ้า อยู่ระหว่างฟ้าและดิน ทะเลเมฆที่บ้างสูงบ้างต่ำเหล่านั้นถูกแสงกระบี่ปั่นป่วนจนเกิดเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์ลูกแล้วลูกเล่า
แสงกระบี่พร่างพราวระหว่างก้อนเมฆและก้อนดินต่างก็ลากเอาเส้นวิถีโค้งเส้นหนึ่งมาหยุดอยู่ตรงความสูงพอๆ กับประตูใหญ่บนม่านฟ้า เพียงแต่ว่ายังอยู่ห่างอีกหลายหมื่นลี้ แสงกระบี่ก็พลันหยุดนิ่ง พริบตานั้นก็ปรากฏเงาร่างของคนสองคน คนหนึ่งปักปิ่นหยกบนศีรษะ สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว คนหนึ่งสวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ในมือถือไม้เท้าเดินป่า
ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองต่างก็จำแลงแสงกระบี่ออกมาหลายสิบเส้น พุ่งตรงมายังประตูใหญ่บานนี้ เป็นวิชาการหลบหนีที่เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ความเร็วนั้นเหนือกว่าเรือหลิวเสียเสียอีก
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่เรือนกายผอมเพรียวคนหนึ่งลูบหนวดยิ้ม “จำต้องยอมรับว่า หากพูดถึงแค่เรื่องของการเร่งเดินทาง ยังคงเป็นพวกเซียนกระบี่ที่สง่างามยิ่งกว่า แสงกระบี่เปล่งวาบหนึ่งทีก็พุ่งไปรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ฟ้าดินไร้พันธนาการ ทำเอาคนที่มองรู้สึกรวดเร็วฉับไวไม่อืดอาดชักช้าแม้แต่น้อย”
ผู้เฒ่าอีกคนพยักหน้าเอ่ยว่า “ปีนั้นก็แค่เพราะข้าไม่มีคุณสมบัติจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะยินดีตรากตรำศึกษาวิชาความรู้เช่นนี้”
อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปในศาลบุ๋นสองท่านที่นั่งพิทักษ์ม่านฟ้าของใต้หล้าห้าสี คนหนึ่งคือผู้อำนวยการใหญ่คนแรกของสถานศึกษาหลี่จี้ อีกคนหนึ่งก่อตั้งสำนักศึกษาเหอซ่าง
ผู้เฒ่าทั้งสองคนต่างก็พาลูกศิษย์สายบุ๋นบ้านตัวเองมาด้วยคนหนึ่ง ต่างก็เป็นวิญญูชนอายุน้อย จำต้องเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่เป็นเวลาหกสิบปี ทุกวันนี้ทำหน้าที่บันทึกการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การหมุนเวียนของโชคชะตาภูเขาสายน้ำในสถานที่ต่างๆ ของใต้หล้าอย่างละเอียด แรกเริ่มสุดเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเข้ามาในใต้หล้าใหม่เอี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องจับตามองประตูใหญ่สองบานเหนือใต้ที่เชื่อมโยงอยู่กับใบถงทวีปและฝูเหยาทวีป ไม่ให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดและผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองทั้งหลายทำลายกฎ ในเวลาหลายปีนั้น อริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นทั้งสองคนยังลากเอาตัวของผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกตนที่ใจหวังว่าจะโชคดีออกมาได้ไม่น้อย ทุกวันนี้คนเหล่านั้นยังคง ‘ตรากตรำอ่านตำราอริยะปราชญ์’ อยู่ในฟ้าดินเล็กจักรวาลชายแขนเสื้อของอาจารย์ผู้เฒ่าทั้งสองอย่างยากลำบากกันอยู่เลย
รอกระทั่งได้พบอิ่นกวานหนุ่มที่หวนกลับคืนมายังสถานที่เดิมอีกครั้ง ผู้เฒ่าทั้งสองต่างก็มีรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันอาศัยประตูใหญ่บนม่านฟ้าของใบถงทวีปมาเยือนใต้หล้าห้าสี ลูกศิษย์ปิดสำนักของสายเหวินเซิ่งจากไปอย่างรีบร้อน ดูท่าทางแล้วน่าจะเร่งเดินทาง ตอนนั้นทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดคุยกันตามมารยาทสักเท่าไร
ส่วนผู้ติดตามลักษณะประหลาดข้างกายอิ่นกวานหนุ่มได้จำแลงร่างกลายเป็นแมงมุมสีขาวหิมะตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนไหล่คนชุดเขียว อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปในศาลบุ๋นที่รับหน้าที่เฝ้าดูแลใบถงทวีปได้บอกกล่าวกับพวกเขาไว้นานแล้ว จึงได้แต่ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง
เหมาเสี่ยวตงศิษย์พี่ของเฉินผิงอัน ทุกวันนี้ได้เป็นรองผู้อำนวยการของสถานศึกษาหลี่จี้แล้ว ส่วนวิญญูชนหวังไจ่ที่ตอนนี้เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอู่ซีในใบถงทวีป อาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาก็คือผู้อำนวยการใหญ่คนปัจจุบันของสถานศึกษาหลี่จี้ หวังไจ่เคยมาเยือนที่ม่านฟ้าแห่งนี้ คำพูดที่พูดคุยกับผู้เฒ่าไม่ปิดบังการยอมรับและความเลื่อมใสที่ตัวเองมีต่ออิ่นกวานหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ส่วนสำนักศึกษาเหอซ่างและสำนักศึกษาซานลู่ที่อยู่ในทักษินาตยทวีปต่างก็ถือเป็นเสาคานค้ำยันของสายหย่าเซิ่ง และผู้เฒ่าก็เป็นทั้งบัณฑิตสายเดียวกับเฉินฉุนอัน และยิ่งเป็นสหายรักที่สนิทสนมกันอย่างมาก ในอดีตเฉินผิงอันเคยพาเซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือจับมือกับเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ไปดักล้อมสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำในมหาสมุทร เฉินฉุนอันเคยมาหาผู้เฒ่าเป็นการส่วนตัว บอกว่าคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะสามารถทำตามความปรารถนาที่ไม่เล็กในใจได้สำเร็จ
เพราะมีความสัมพันธ์หลายชั้นนี้อยู่ อันที่จริงอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปทั้งสองไม่เคยคบค้าพูดคุยกับเฉินผิงอันมาก่อน แต่ก็ยังเกิดความใกล้ชิดสนิทสนมได้ตามธรรมชาติอยู่ดี
ขยับเข้าใกล้ประตูใหญ่ เรือนกายของเสี่ยวโม่ก็เปลี่ยนมาเป็นแมงมุมสีขาวหิมะที่เกาะอยู่บนไหล่ของคุณชายอีกครั้ง
บัณฑิตต้องการหน้าตา
เฉินผิงอันค้อมกายคารวะผู้เฒ่าทั้งสอง อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปทั้งสองท่านก็คารวะกลับคืนเช่นเดียวกัน
ฝ่ายหนึ่งใช้สถานะของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง อีกฝ่ายหนึ่งเคารพในตัวของอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันถึงสถานการณ์ของขุนเขาสายน้ำในใต้หล้าห้าสีอยู่พักหนึ่ง เฉินผิงอันก็เตรียมจะขอตัวลาจากไป อาศัยประตูใหญ่บานนั้นหวนกลับคืนไปยังใบถงทวีป
วิญญูชนผู้หนึ่งที่ตรงเอวห้อยกระบี่ ‘ฮ่าวหรานชี่’ ทะยานลมเร่งรุดเดินทางมา ยิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “ทำไมเซียนกระบี่หนิงถึงไม่ได้เดินทางไปด้วยเล่า? คงไม่ใช่ว่าทะเลาะกันหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “พี่ฉวินอวี้ก็ช่างว่างงานจริงๆ นะ”
มองออกว่าทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน ทั้งยังสามารถพูดล้อเล่นกันได้ด้วย
วิญญูชนผู้เที่ยงตรงท่านนี้ ชื่อว่ากู้ค่วง นามว่าฉวินอวี้
เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของศาลบุ๋นเหมือนกัน เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่เขากลับไม่เหมือนหวังไจ่ที่เพียงแค่รับหน้าที่เป็นขุนนางผู้ตรวจตราการสู้รบของคฤหาสน์หลบร้อน เพราะนอกจากกู้ค่วงจะเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแล้ว ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องลงสนามรบไปเข่นฆ่าศัตรู สนิทกับภูเขาลูกเล็กของพวกหนิงเหยา เฉินซานชิวมาก ออกจากเมืองไปเข่นฆ่าร่วมกัน ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่หลายครั้ง ในบรรดากระบี่ยาวของป๋ายอวี้จิงจำลองต้าหลีที่ถูกอาเหลียงโยนไปไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งนั่งลงแบ่งของกัน กู้ค่วงอาศัยความสามารถของตัวเองได้กระบี่ยาวที่มีชื่อว่า ‘ฮ่าวหรานชี่’ เล่มนี้มาครอง
เตี๋ยจ้างและเฉินซานชิวเลือกจะมาท่องใต้หล้าไพศาลด้วยกัน ทั้งไม่ได้ติดตามนครบินทะยานมาอยู่ใต้หล้าห้าสี แล้วก็ไม่ได้ติดตามภูเขาห้อยหัวไปยังใต้หล้ามืดสลัวอย่างพวกเจ้าอ้วนเยี่ยน ต่งฮว่าฝู เฉินซีหวังว่าเฉินซานชิวจะสงบใจตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลได้ ด้วยวิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเฉินซานชิว ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจหลอมตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตออกมาก็เป็นได้ ส่วนเตี๋ยจ้างก็ยิ่งมาเพื่อกู้ค่วง ทว่าเนื่องจากคาดไม่ถึงว่ากู้ค่วงจะรับหน้าที่เป็นขุนนางผู้บันทึกแห่งใต้หล้าห้าสี หลายปีมานี้ทั้งสองฝ่ายจึงยังไม่เคยพบหน้ากัน
กู้ค่วงปลด ‘ฮ่าวหรานชี่’ ที่ห้อยเอวเล่มนั้นลงมา ถามว่า “กระบี่เล่มนี้ รบกวนอิ่นกวานมอบให้กับนครบินทะยานได้หรือไม่ ต่อให้เอากลับไปมอบให้สกุลซ่งต้าหลีก็ยังได้ ข้าเก็บเอาไว้เหมือนจะไม่เหมาะสม”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ช่วยทำธุระเรื่องนี้ให้หรอกนะ พี่ฉวินอวี้เก็บไว้เองเถอะ น้ำใจนี้ที่ติดค้างนครบินทะยาน ไหนเลยจะชดใช้คืนกันได้ง่ายเช่นนี้? ส่วนป๋ายอวี้จิงจำลองที่ราชสำนักต้าหลีนั่น ทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่ยาว ‘ฮ่าวหรานชี่’ เล่มนี้แล้ว”
กู้ค่วงจึงได้แต่เหน็บกระบี่ยาวเล่มนั้นไว้ตรงเอวอีกครั้ง
หากไม่ผิดไปจากที่คาด หลังจากที่กู้ค่วงไปจากที่นี่ เกินครึ่งก็น่าจะไปรับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่ง
ปีนั้นผู้รอบรู้เฉินฉุนอันเป็นคนนำขบวนพาบัณฑิตลัทธิขงจื๊อกลุ่มหนึ่งไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยตัวเอง
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อกลุ่มที่ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมกันกับหลิวเสี้ยนหยาง ในนั้นก็มีนักปราชญ์เฉินซื่อที่เป็นลูกหลานสกุลเฉินผู้รอบรู้ รวมไปถึงวิญญูชนฉินเจิ้งซิวของสำนักศึกษาซานลู่ทักษินาตยทวีปรวมอยู่ด้วย
ฉินเจิ้งซิวยังเป็นสหายรักของกู้ค่วง ทุกวันนี้ฝ่ายแรกอยู่ในฝูเหยาทวีป เหมือนกับหวังไจ่แห่งสำนักศึกษาอู่ซีและเวินอวี้แห่งสำนักศึกษาเทียนมู่ ต่างก็รับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อแห่งหนึ่ง นี่แสดงให้เห็นว่าวิญญูชนลัทธิขงจื๊อที่อายุน้อยมากความสามารถพวกนี้ เนื่องจากฉายประกายเจิดจ้าท่ามกลางสงคราม เมื่อสงครามใหญ่ปิดฉากลง แต่ละคนต่างก็เดินออกจากห้องหนังสือ อาศัยคุณความชอบทางการสู้รบและความรู้ความสามารถของตัวเอง ทำหน้าที่ตามภาระรับผิดชอบของตัวเองจนได้กลายมาเป็นกำลังสำคัญที่แท้จริงของศาลบุ๋น
หลังจากเปิดประตูบานนั้นให้เฉินผิงอันแล้ว ผู้เฒ่าแซ่เจียงก็สะบัดชายแขนเสื้อ คนหลายสิบคนกระเด็นออกมาจากด้านใน พอพากันยืนนิ่งได้แล้วต่างก็รู้สึกหัวหมุนจับทิศไม่ถูกอยู่บ้าง หลายปีมานี้ถูกกักอยู่ในจักรวาลชายแขนเสื้อ ต่างคนต่างมีลานประกอบพิธีกรรมแห่งขุนเขาสายน้ำเป็นของตัวเอง คล้ายคลึงกับห้องหนังสือ ในห้องนอกจากหนังสือก็คือหนังสือ ไม่มีของอย่างอื่นอีก
ต่างก็เป็นคนของใบถงทวีปที่ปีนั้นอยากจะไปหลบภัยในใต้หล้าใหม่เอี่ยม มีผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดอยู่สามคน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองเจ็ดคน ปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลสองคน
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มอธิบายว่า “เป็นความต้องการของหลี่เซิ่ง รบกวนอิ่นกวานพาพวกเขากลับบ้านเกิดด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เรื่องเล็กน้อย ไม่รบกวนเลยสักนิดเดียว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!