หากหมี่อวี้กลายเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้สำเร็จ สำหรับตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปแล้ว ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขาก็ล้วนไม่ใช่เรื่องเล็กเลย
เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ใหม่เอี่ยมคนใดก็ตาม นอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว สำหรับขุนเขาสายน้ำของทวีปใดก็ตามก็ล้วนเป็นรูปแบบอย่างหนึ่ง เป็นการโจมตีที่รุนแรงอย่างหนึ่ง
หลิวจิ่งหลงพลันหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ถือว่าได้ช่วยเหลือภูเขาลั่วพั่วและเจ้าขุนเขาเฉินในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดื่มเหล้าสักหน่อยไหม? จะขอบคุณข้าก็ดี หรืออวยพรให้หมี่อวี้เลื่อนขั้นล่วงหน้าก็ช่าง ดูเหมือนว่าเจ้าขุนเขาเฉินจะไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธนะ?”
เฉินผิงอันรู้ว่าท่าไม่ดีได้ทันใด หลิวจิ่งหลงเป็นฝ่ายเสนอว่าจะดื่มเหล้าก่อน ต้องเตรียมตัวมาไว้ก่อนแน่ จึงเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่รีบร้อน ข้ายังมีธุระที่ต้องไปทำ อยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้ได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ต้องออกเดินทางไปที่อื่นแล้ว”
หลิวจิ่งหลงรั้งแขนของเฉินผิงอันเอาไว้ “ก็แค่ดื่มกันคนละไม่กี่กาเท่านั้น ด้วยความสามารถในการดื่มของพวกเราสองคน ไม่ถ่วงรั้งธุระสำคัญหรอก”
เฉินผิงอันปัดมือของหลิวจิ่งหลงออก แต่กลับไม่เป็นผล จึงสะบัดแขนอย่างแรง แต่ก็ยังไม่หลุด จึงได้แต่พูดด้วยแววตาจริงใจว่า “ข้ามีธุระจริงๆ นะ!”
เสี่ยวโม่จึงได้แต่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ “เจ้าสำนักหลิว คุณชายมีธุระสำคัญที่ต้องทำจริงๆ เสี่ยวโม่ได้แต่ตามไปเท่านั้น อย่างมากสุดก็แค่ช่วยเปิดทางให้ หลังจากนั้นก็ไม่อาจปกป้องมรรคาให้ได้แม้แต่นิดเดียวแล้ว”
หลิวจิ่งหลงปล่อยมือ ถามว่า “ไปที่อื่น?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไปดูต้นอู๋ถงต้นนั้นสักหน่อย”
หลิวจิ่งหลงขมวดคิ้วน้อยๆ “ไม่รอให้กลับคืนสู่ขอบเขตหยกดิบก่อนหรือ?”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที “ถึงอย่างไรขอบเขตสูงต่ำก็มีความหมายไม่มาก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มัวรีรออยู่แล้ว”
หลิวจิ่งหลงจึงได้แต่เอ่ยเตือนว่า “ระวังด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอแค่ไม่ต้องเป็นศัตรูกับใครบางคนบนโต๊ะเหล้า ทุกอย่างก็ดีหมด”
หลิวจิ่งหลงไม่มีอารมณ์มาเล่นทายคำปริศนากับเจ้าหมอนี่ จึงถามว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้จะมาทันงานพิธีวันมะรืนหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน หากเจรจากันไม่สำเร็จก็คงต้องไปเสียเที่ยว หรือไม่อีกฝ่ายก็อาจจะไม่อยากพูดคุยเลย บางทีอาจต้องกินน้ำแกงประตูปิดโดยตรง”
หลิวจิ่งหลงถาม “จะออกเดินทางเลยหรือ?”
เฉินผิงอันกลั้นขำ “ไปพบหมี่ลี่น้อยก่อน มีคนให้ข้านำความมาบอกนาง เสี่ยวโม่ เจ้ารอสักครู่ หากว่าเจ้าสำนักหลิวอยากดื่มเหล้าจริงๆ หืม?”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
หลิวจิ่งหลงยิ้มบางๆ “วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ เฉินผิงอันเจ้าคอยดูข้าเถอะ”
ตอนที่เฉินผิงอันออกมาจากใต้หล้าห้าสี เป็นช่วงเวลาที่ม่านราตรีหนาหนักแล้ว รอกระทั่งกลับมาถึงใต้หล้าไพศาล กลับเป็นตอนเที่ยงวัน
แม่นางน้อยชุดดำที่แบกคานหาบสีทองไว้บนบ่ากำลังเดินวนหัวเรือกับท้ายเรือ ฉวยโอกาสที่รอบด้านไม่มีคน ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาก็ใช้มือที่ถือไม้เท้าเดินป่ารีบร่ายวิชากระบี่มารคลั่งหนึ่งคำรบทันที
เฉินผิงอันปีนข้ามราวรั้ว พลิ้วกายลงบนดาดฟ้า ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นวิชากระบี่ที่ดี”
หมี่ลี่น้อยรีบโยนไม้เท้าเดินป่าในมือทิ้งลงพื้น แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะจึงรีบเก็บกลับมา ระหว่างที่วิ่งเหยาะๆ ไปหาเจ้าขุนเขาคนดี หมี่ลี่น้อยปัดไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวมรกตเบาๆ เพื่อแสดงการขออภัย
เฉินผิงอันกล่าว “ไปที่ใต้หล้าห้าสีมารอบหนึ่ง ได้เจอกับอาจารย์อู๋ เขาให้ข้านำความมาบอกเจ้า ให้ข้าช่วยทักทายเจ้า”
หมี่ลี่น้อยเม้มปาก พยักหน้ารับแรงๆ ไม่หยุด จากนั้นก็กระแอมสองสามที ตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “อาจารย์อู๋เกรงใจเกินไปแล้ว”
ราวกับว่าอาจารย์อู๋อยู่ข้างกาย จากนั้นคนในยุทธภพเก่าแก่สองคนที่หนึ่งเป็นผู้ใหญ่หนึ่งเป็นเด็ก เมื่อพบหน้ากันจึงโอภาปราศรัยกัน
เฉินผิงอันค้อมเอวลงลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย
หมี่ลี่น้อยยิ้มจนดวงตาทั้งคู่หยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว เอาไม้เท้าเดินป่าสีเขียวและคานหาบสีทองมากอดไว้ในอ้อมอก มือหนึ่งจับชายแขนเสื้อของเจ้าขุนเขาคนดี เดินเล่นไปด้วยกัน เอ่ยเสียงเบาว่า “วันหน้าข้าจะกลับไปเตรียมเมล็ดแตง ขนมแล้วก็ปลาน้อยตากแห้งไว้ที่ภูเขาลั่วพั่วให้มากๆ หน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ทำได้ ยังคงเป็นหมี่ลี่น้อยที่คิดได้รอบคอบ”
หมี่ลี่น้อยถาม “เจ้าขุนเขาคนดีลืมแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมอง แกล้งทำหน้าสงสัย “หมายความว่าไง?”
หมี่ลี่น้อยหัวเราะฮ่าๆ “โจวเต้าแปลว่ารอบคอบ ข้าแซ่โจวไงล่ะ”
เฉินผิงอันทำท่ากระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่าถึงเป็นเช่นนี้”
ภูเขาลั่วพั่วบ้านตนไม่มีผู้ฝึกตนคนใดที่เฉินหลิงจวินไม่กล้าไปมีเรื่องด้วย
แน่นอนว่าก็ไม่มีผู้อาวุโสคนใดที่หมี่ลี่น้อยคว้าใจไม่อยู่หมัด
ทางฝั่งของนครบินทะยาน หนิงเหยานั่งอยู่ในห้อง ช่วยชี้แนะด้านการฝึกตนให้กับแม่นางน้อยที่ชื่อว่าเฝิงหยวนเซียว
ข้างโต๊ะยังมีแม่นางน้อยที่ราวกับแกะสลักมาจากหยกสีชมพูนั่งอยู่ด้วย มองดูแล้วฉลาดเฉลียวน่าเอ็นดูมากเป็นพิเศษ นางชูตราประทับชิ้นหนึ่งที่อยู่ในมือขึ้นสูง อาศัยแสงตะเกียงอ่านตัวอักษรบนตราประทับ
นาง ‘เก็บมา’ จากบนโต๊ะที่อยู่ในห้องของเรือนใครบางคน หนิงเหยาไม่ได้ขัดขวาง แค่บอกนางว่าจำไว้ว่าต้องเอากลับไปคืนด้วย
ตัวอักษรตราประทับไม่ใหญ่ แต่เนื้อหามีเยอะมาก แกะสลักถ้อยคำมงคลที่มีความหมายงดงามยิ่ง ‘ปณิธานของบัณฑิตมาดสง่างามของเซียนกระบี่ คู่รักเทพเซียนหญิงชายรักและผูกพัน’
ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกไปจากนครบินทะยานได้ทิ้งกลอนคู่และอักษรฝูหลายตัวไว้ให้กับจวนหนิง
แล้วก็ไม่ลืมเขียนกรอบป้ายกับกลอนคู่หลายคู่ให้กับร้านเหล้าใหม่ที่คู่สามีภรรยาหล่งชิวและหลิวเอ๋อจะไปเปิด
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งออกเดินทางไกลอีกครั้ง เขาทะยานลมท่ามกลางม่านราตรีอยู่เพียงลำพัง อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรก็ชูแขนขึ้นสูง สองนิ้วประกบกัน กลางอากาศก็มีประกายแสงไหลรินยาวเป็นสาย
ตรงตีนเขาของภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันนี้เซียนเว่ยรับหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูชั่วคราว เซียนเว่ยคือนักพรตตัวปลอมคือบัณฑิตตัวจริง ยากจนนั้นยากจนจริงๆ โชคดีที่พี่น้องต้าเฟิงที่ไม่เคยพบหน้ากันแต่เขากลับเลื่อมใสอย่างมากได้ทิ้งภูเขาตำราลูกนั้นเอาไว้ เป็นเหตุให้ทุกวันเขาไม่ได้อยู่นิ่งเฉย หากไม่มองผู้ฝึกยุทธหญิงนามว่าเฉินยวนจีเดินนิ่งไปกลับบนขั้นบันไดของเส้นทางภูเขา ก็จะตั้งใจเปิดอ่านตำราที่พี่ต้าเฟิงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีพวกนั้น บนหน้าหนังสือบางส่วน ทุกครั้งที่ถึงฉากที่ ‘ละไว้ไม่พูดถึง’ จะต้องมีกระดาษแผ่นหนึ่งเสียบเอาไว้ ที่แท้ก็เป็นพี่ต้าเฟิงที่ความสามารถน่าตะลึงผู้นั้นยกพู่กันเขียนเนื้อหาอันตระการตาน่าสนใจจำนวนไม่เท่ากันหลายร้อยตัวอักษรเอาไว้
พี่ต้าเฟิงของข้าฝีมือขั้นเทพจริงๆ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!