เวลานี้ในภาพวาดคือทัศนียภาพยามสนธยา คนทั้งสองขี่ลา เพียงไม่นานก็มาถึงเนินเขาขนาดเล็กที่โผล่พรวดโดดเด่นขึ้นมา มาถึงยอดเขา ทอดสายตามองไปไกลก็เห็นว่าตรงถนนที่เล็กแคบ ข้างทางมีสิ่งปลูกสร้างเรียบง่ายลักษณะเหมือนจุดพักม้าอยู่แห่งหนึ่ง มีขบวนทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรทอดยาวไปตามเส้นทางภูเขา จำนวนคนหลายพันคน ถึงขั้นที่ว่าในกลุ่มนั้นยังมีราชรถของจักรพรรดิ ดูจากสีหน้าตื่นตระหนกของเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยแล้วเหมือนจะออกจากเมืองหลวงเพื่อไปหลบภัย? เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก ในสายตาคล้ายมองเห็นภาพเหล่าขุนนางของเมืองหลวงที่กำลังเร่งรุดเดินทาง ในม้วนภาพมีเพียงคนผู้เดียวที่คล้ายจะถูกลงสีสัน นั่นคือบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่ง ตรงเอวห้อยกระบอกไม้ไผ่ทรงยาว นิ้วชี้กับนิ้วกลางของมือขวามีรอยด้านอยู่ตรงท้องนิ้วเล็กน้อย หลังจากที่ผละออกจากเส้นทางที่ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดมาได้เขาก็กัดกินแผ่นแป้งย่างพลางเดินเลียบลำธารเส้นหนึ่งเข้าไปในป่าลึก
เฉินผิงอันค้นพบเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง หากจะบอกว่าฟ้าดินเล็กก่อนหน้านี้คือภาพวาดน้ำหมึก ถ้าอย่างนั้นรอกระทั่งตนได้เห็นบุรุษผู้นี้ ตำแหน่งที่มีบุรุษเป็นจุดศูนย์กลาง หรือควรจะพูดว่าจุดที่สายตาของบุรุษมองไปเห็นก็จะค่อยๆ กลายมาเป็นภาพที่วาดเน้นหนักในรายละเอียด ชัดเจนทุกจุดทุกมุม ต้นไม้ดอกไม้ ปลาที่แหวกว่ายในลำธารล้วนมีชีวิตเหมือนจริง สุดท้ายกลายมาเป็นภาพขุนเขาเขียวสายน้ำใสที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตแห่งหนึ่ง ไม่ต่างไปจาก ‘ความจริง’ ในโลกมนุษย์เลย
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “พวกเราติดตามท่านเทพเทวดาน้อยคนนี้ไปกันเถอะ”
ท่ามกลางแสงสายัณห์ บุรุษเจอกระท่อมกลางป่าตั้งอยู่ริมลำธารแห่งหนึ่ง หลังคาต่ำเตี้ย มีแค่หญิงชราหนึ่งคนกับหญิงที่ออกเรือนแล้วใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันอย่างยากลำบาก พวกนางนั่งหันหน้าเข้าหากันกำลังถักกรงเลี้ยงนก
หญิงชราเชื้อเชิญให้บุรุษกินอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา ตอนกลางคืนบุรุษจึงนอนใต้ชายคา พลิกตัวกลับไปกลับมา มิอาจข่มตานอนได้หลับจึงหยิบตำราหมากล้อมเล่มหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก ลุกขึ้นนั่ง อาศัยแสงจันทร์เปิดอ่านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาทำสมาธิ สองนิ้วทำท่าคีบเม็ดหมากแล้วทยอยวางเม็ดหมากลงคล้ายกำลังเล่นหมากล้อมอยู่กับตัวเอง
เฉินผิงอันอยู่ใต้ต้นไม้ห่างจากกระท่อมมาไกล เมื่อครู่ฉวยจังหวะเหลือบตามองหน้าปกของตำราหมากล้อม ถึงกับเป็นตำราหมากล้อมมีชื่อเสียงที่มีหลักฐานให้สืบหาเล่มหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาล ชื่อเสียงของมันมีไม่น้อย เพียงแต่ว่ามีชื่อเสียงอยู่ในล่างภูเขา คือตำราที่กล่าวถึงสองฝ่ายซึ่งเล่นหมากล้อมกันไปได้ห้าตา มีคำเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘หมากล้อมห้าตาที่ได้ดูระหว่างพักฟื้นขณะป่วย’
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนหลังลา เหลือบตามองยันต์ม้าขาวควบผ่านช่องแคบที่อยู่ข้างไหล่ ความเร็วในการไหลหายไปของกาลเวลาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง
อันที่จริงต่อให้มีผู้ฝึกตนทะยานลม ก้มหน้าลงมองฟ้าดินทั้งแห่งก็ดูเหมือนว่าจะเห็นเพียงภาพเหตุการณ์ของที่แห่งนี้เท่านั้น คาดว่าผู้อาวุโสท่านนั้นคงอาศัยสิ่งนี้มาเตือนตนว่า เมื่อผ่านด่านหนึ่งไปก็จะมีทัศนียภาพของด่านถัดไปรออยู่ รอกระทั่งผ่านทุกด่านไปได้หมดแล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงจะได้พบกัน? เพื่ออะไร? คิดจะถ่วงเวลาเพื่อขอความช่วยเหลือจากทางศาลบุ๋นอย่างนั้นหรือ? ไม่อย่างนั้นหากจะบอกว่าคิดจะขอเชิญให้ใครบางคนมาให้ความช่วยเหลือที่นี่เพื่อขัดขวางตนกับเสี่ยวโม่ ก็ไม่ได้มีความหมายมากนัก
เสี่ยวโม่ถาม “คุณชาย ต้องการให้ข้าออกกระบี่สืบค้นให้รู้ชัดกันไปเลยหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ยอมทนไปก่อน รอดูการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบๆ”
เสี่ยวโม่ถาม “สถานะของคนผู้นั้นคือฉีไต้จ้าวคนหนึ่งกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มองดูแล้วฝีมือในการเล่นหมากล้อมน่าจะไม่แย่”
บุรุษที่อยู่ใต้ชายคา เวลานี้ไม่เหมือนกำลังศึกษาหมากล้อม แต่เหมือนกำลังเล่นหมากล้อมกับตัวเอง หากจะบอกว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขาสูง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สูงไปอย่างไร
หากจะพูดถึงรูปแบบและการลงมือก่อนของการเล่นหมากล้อมในใต้หล้า เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองค่อนข้างชำนาญ ก็แค่ท่องจำให้ขึ้นใจเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่สี่คนในม้วนภาพที่มาจากพื้นที่มงคลดอกบัวของปีนั้น นอกจากเว่ยคอแข็งแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลืออีกสามคนอย่างจูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน ต่อให้เอาไปวางไว้ในใต้หล้าไพศาลก็ล้วนถือว่าเป็นยอดฝีมือกันทุกคน อีกทั้งทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วก็ยังมีเจิ้งต้าเฟิงกับซานจวินเว่ยป้อที่ต่างก็ชำนาญในด้านนี้ อีกทั้งปีนั้นตอนที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนก็มียอดฝีมือมากมายดุจก้อนเมฆ หลินจวินปี้และพวกเสวียนเซิน เฉากุ่นต่างก็เป็นนักเล่นระดับแคว้นอันดับหนึ่งกันทั้งนั้น
ทุกวันนี้ด้วยพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อมของเฉินผิงอัน เล่นกับคนอื่นด้วยการวางหมากสามสิบห้าสิบเม็ด แสร้งทำเป็นยอดฝีมือ เขาก็ยังทำได้ไม่มีปัญหา แต่หากเป็นหลังจากนั้นก็คงต้องเผยพิรุธแล้ว
ดังนั้นตอนที่อยู่คฤหาสน์หลบร้อน เวลาที่สอนให้คนอื่นเล่นหมากล้อม ใต้เท้าอิ่นกวานมักจะชอบบอกว่าตัวเองคือคนเล่นหมากล้อมฝีมือย่ำแย่แค่ครึ่งตัวเท่านั้น
ในห้องไม่มีแสงตะเกียง หญิงชรากับสตรีออกเรือนแล้วที่อยู่กันคนละห้องเริ่มเล่นหมากล้อม ไม่มีกระดานหมากและเม็ดหมาก ทั้งสองฝ่ายแค่ใช้ปากบรรยายตำแหน่งการวางเม็ดหมากเท่านั้น แต่ละครั้งใช้เวลาคิดนานมาก เป็นเหตุให้เล่นกันจนฟ้าสาง ขอบฟ้าเริ่มกลายเป็นสีขาวพุงปลา ทั้งสองฝ่ายก็เพิ่งวางหมากกันไปไม่ถึงสี่สิบเม็ด บุรุษหยิบเอาเม็ดหมากและกระดาษออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ทรงยาวนานแล้ว เอาวางไว้ด้านข้าง เงี่ยหูฟังแนวทางการประชันหมากล้อมในห้องพลางจัดวางเม็ดหมากลงบนกระดาษที่ใช้ต่างกระดานหมากตามไปด้วย รอกระทั่งหญิงชราบอกว่าชนะเก้าเม็ด สตรีออกเรือนแล้วยอมแพ้ บุรุษถึงได้ปลุกความกล้าเคาะประตูเบาๆ ครู่หนึ่งต่อมาหญิงชรากับสตรีออกเรือนแล้วก็เดินออกมาจากห้อง บุรุษขอความรู้อย่างนอบน้อม หญิงชราไปก่อฟืนทำอาหาร แค่บอกให้ลูกสะใภ้ที่หลังจากเป็นม่ายก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ถ่ายทอดเคล็ดลับในการเล่นหมากล้อมให้กับเขา สตรีที่สวมกระโปรงผ้าปักปิ่นไม้สอนไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็บอกว่ามากพอจะทำให้เขาไร้ศัตรูทัดทานในโลกมนุษย์ได้แล้ว
พูดมาถึงตรงนี้ สตรีออกเรือนแล้วก็มองมายังใต้ต้นไม้นอกห้อง นางทัดเส้นผมไว้หลังใบหูคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้ สตรีจึงลุกขึ้นไปทำงานของตัวเอง บุรุษบอกลาจากไป เดินเลียบลำธารพลางหันหน้ากลับไปมอง กระท่อมหลังนั้นกลับไม่อยู่แล้ว บุรุษผิดหวังอย่างยิ่ง
พริบตานั้นก็คล้ายว่าเฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่ได้กลับมาจากการทวนกระแสแม่น้ำแห่งกาลเวลา กลับขึ้นมาขี่ลาอยู่บนเนินเขาอีกครั้ง แล้วก็ได้เห็นว่าบุรุษที่ตรงเอวรัดกระบอกไม้ไผ่เดินเลียบลำธารมา
เสี่ยวโม่ยิ้มถาม “คุณชายต้องเล่นหมากล้อมให้ชนะพวกนางจึงจะถือว่าผ่านด่านหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น่าจะใช่แล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าจับตามองฉีไต้จ้าวผู้นั้นต่อ ข้าจะไปที่จุดพักม้า ดูว่าจะสามารถเก็บตกของดีอะไรได้หรือไม่ ตอนที่ฟ้าสางจะกลับมาพบกับเจ้าอีกครั้ง”
หลังจากนั้นเสี่ยวโม่ก็ขี่ลาตามบุรุษผู้นั้นไปต่อ ส่วนเฉินผิงอันไปยังเส้นทางตรงตีนภูเขา ตามหาขุนนางเฒ่าที่คล้ายจะเป็นคนในภาพวาดคนหนึ่ง อีกฝ่ายสวมชุดสีม่วงพกถุงลายปลาสีทอง เฉินผิงอันจึงหาข้ออ้างง่ายๆ มาชวนผู้เฒ่าคุย สุดท้ายบอกว่ายินดีจะจ่ายเงินราคาสูงเพื่อขอซื้อตำรา ผู้เฒ่าปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม บอกว่าตำราในหีบพวกนั้นเขาเก็บรักษาเป็นอย่างดีมานานมากแล้ว ทองพันชั่งก็ไม่ขาย เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตบหีบตำราทั้งหลายที่อยู่บนรถม้าให้ร่วงลงพื้น แล้วยื่นมือออกไปโบกหนึ่งที ลมเย็นพัดโชยมาเป็นระลอก ตำราทุกเล่มถูกเปิดไปทีละหน้า นอกจากหน้าปกแล้ว ล้วนเป็นตำราเปล่าจริงดังคาด
ส่วนบุคคลและรถม้าทั้งหลายก็เหมือนว่าจะตกอยู่ในสภาวะหยุดนิ่งตามไปด้วย เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ขุนเขาสายน้ำแร้นแค้น ตำราที่ผู้อาวุโสสะสมไว้ยังน้อยไปสักหน่อย เป็นเหตุให้แค่ทำให้พอเป็นพิธีก็ยังทำไม่ได้”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่เหลือความสนใจที่จะสืบเสาะอะไรต่ออีก ฟ้าดินเล็กจำลองแห่งนี้บอบบางเกินไป มีเพียงเส้นเอ็นกับกระดูกแต่ไม่มีเลือดเนื้อ ในเมื่อไม่มีเลือดเนื้อแล้วจะเอาจิงเสินชี่ที่อยู่ในระดับขั้นลึกกว่ามาจากไหน?
ขี่ลากลับมาเดินบนเส้นทางต่ออีกครั้ง ไปหาเสี่ยวโม่และกระท่อมหลังนั้น
เพียงแต่ไม่ลืมโบกชายแขนเสื้ออีกที ทำให้ตำราทั้งหลายกลับเข้าไปในหีบ ภาพเหตุการณ์หมุนย้อนกลับ หีบทุกใบกลับขึ้นไปอยู่บนรถม้าใหม่อีกครั้ง
จากนั้นก็รอจน ‘ฟ้าแห่งนี้’ สว่าง เฉินผิงอันไม่รอให้หญิงออกเรือนแล้วคนนั้นเงยหน้ามองตัวเองอีกครั้งก็พาเสี่ยวโม่ขี่ม้าตรงไปข้างหน้า เพียงแค่รอให้สตรีออกเรือนแล้วเอ่ยประโยคว่าไร้ศัตรู เขาก็เปิดปากยิ้มกล่าว “ไม่แน่เสมอไป”
ไปถึงชานบ้านที่ปูด้วยไม้ใต้ชายคา กุมมือคารวะฉีไต้จ้าวพลางยิ้มเอ่ย “ขอยืมเม็ดหมากและกระดาษจากอาจารย์สักหน่อย”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็วางสถานการณ์หมากเมฆหลากสีที่ศิษย์พี่ชุยฉานเคยเล่นกับเจิ้งจวีจง แต่วันนี้แน่นอนว่าเฉินผิงอันแค่ลักไก่แสร้งทำเป็นเจิ้งจวีจงเล่นหมากล้อม เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายมาประชันกัน
สตรีออกเรือนแล้วอึ้งงันไร้คำพูด ส่วนหญิงชรากลับพึมพำกับตัวเองว่า “ศาสตร์แห่งหมากล้อมของโลกยุคหลังสูงส่งถึงเพียงนี้แล้วหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!