เสี่ยวโม่ไม่โกรธเคืองอารมณ์ความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริงของชิงถงแม้แต่น้อย
หากจะบอกว่าการถามหมัดที่อยู่ระหว่างฟ้าดินว่างเปล่าก่อนหน้านี้ สองฝ่ายต่างก็กำลังฝึกปรือฝีมือ กำลังอุ่นเครื่อง ประลองวิชาขอความรู้ต่อกันเท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นในนครเวลานี้ สองฝ่ายที่คุมเชิงกันก็ได้เริ่มเอาความสามารถที่แท้จริงออกมาใช้แล้ว
ตอนที่ผู้เฒ่าร่างกำยำปล่อยหมัดออกไป ระหว่างนั้นได้เผยท่อนแขนส่วนหนึ่งให้เห็นโดยบังเอิญ ด้านบนมีอักขระยันต์สีทองแน่นขนัดลอยขึ้นมา ถึงกับเป็นตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนกระดูกขาวใต้กล้ามเนื้อ
เนื้อหาของตัวอักษรมีทั้งคาถาตระกูลเซียนบทแล้วบทเล่า แล้วก็มีคัมภีร์ของลัทธิพุทธ ยิ่งมีภาพยันต์บรรพกาลที่หายสาบสูญไปนานอีกหลายชนิด
แขนทั้งแขนของชิงถงเหมือนถูกหล่อหลอมให้เป็นเทือกเขากระดูกขาว ส่วนบนผนังหินผาก็ได้แกะสลักตัวอักษรขนาดใหญ่ไว้จำนวนนับไม่ถ้วน ประหนึ่งยันต์ของเซียนเหรินที่ใช้สร้างความมั่นคงแข็งแกร่งให้กับตัวภูเขา สร้างความหนักแน่นให้กับยอดเขาที่ทอดยาวเป็นสาย สุดท้ายจึงเป็นเหตุให้แขนข้างหนึ่งเหมือนเส้นชีพจรมังกรเส้นหนึ่ง นอกจากนี้ผิวหนัง เลือดเนื้อและเส้นเอ็นเส้นชีพจรกลับเป็นเหมือนส่วนประกอบเสริมที่จะมีหรือไม่มีก็ได้มากกว่า
ชุดคลุมอาคมสีแดงสดถูกต่อยเข้าไปฝังในกำแพงสูงใหญ่แห่งหนึ่ง ใช้ข้อศอกดันหินจนปริแตกแล้วงัดตัวเองออกมาจากในกำแพง
ทว่าชิงถงที่เมื่อครู่นี้อัดกระแทกหน้าผากและหน้าอกของเฉินผิงอันติดๆ กันกลับไม่ได้ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อน เนื่องจากชิงถงที่ใช้สองหมัดแลกหนึ่งหมัดจึงชิงความได้เปรียบไปอย่างสิ้นเชิงสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติของหมัดนี้ของเฉินผิงอัน
หมัดนี้ไม่ถือว่าหนักมากหนัก เพียงแต่ว่าพายุหมัดกลับตามพัวพันไม่เลิก ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญหลายแห่งในร่างกายของชิงถงเกิดความเคลื่อนไหวที่ไม่เล็ก ส่วนบนแขนข้างที่มีอักขระแกะสลักเอาไว้ ตัวอักษรสีทองหลายร้อยตัวและภาพยันต์หลายภาพก็หม่นหมองไร้สีแทบจะในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ประหนึ่งเถ้าถ่านที่ร่วงเผลาะๆ ลงมาเป็นสาย
หลังจากนั้นชิงถงก็ยิ่งระวังมากกว่าเดิม
สีแดงสดสายหนึ่งล่องลอยอยู่บนถนน แสงรุ้งขาวเส้นหนึ่งก็ยิ่งว่องไวรวดเร็วมากกว่า กลายเป็นเส้นแนวตรงเส้นหนึ่งที่พุ่งดิ่งเข้าหาชุดคลุมอาคมสีแดงสดซึ่งคล้ายปลาแหวกว่ายอยู่บนถนนเส้นนั้น สิ่งปลูกสร้างตลอดเส้นทางระเบิดแตกเป็นแนวยาว เมื่อใดที่ชิงถงทำสำเร็จ ส่วนใหญ่เฉินผิงอันจะต้องถูกกระแทกชนจนลอยลิ่วไปหลายร้อยลี้ คล้ายเจาะทะลุประตูใหญ่บานแล้วบานเล่าให้กับในเมือง ย้อนกลับมามองชิงถง ต่อให้โดนหมัดเข้าไปหนึ่งหมัด อย่างมากก็แค่เรือนกายส่ายไหวไม่กี่ที เพียงไม่นานก็สามารถเอาคืนเฉินผิงอันได้
จุดเดียวที่ผิดปกติก็คือ ชิงถงค้นพบว่ากระบวนท่าหมัดที่เฉินผิงอันใช้ซึ่งรวมถึงท่าที่ต่อยให้ยันต์สีทองสลายไปก่อนหน้านี้ มีแค่ห้ากระบวนท่าที่ถูกใช้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด ราวกับว่าเขาทำการฝึกซ้อมซึ่งถือเป็นการกอดขาพระเมื่อจวนตัว จากแรกเริ่มสุดที่ค่อนข้างติดขัด จนกระทั่งค่อยๆ ชำนาญ ปณิธานหมัดทอดยาว ไม่อาจพูดได้ว่าพัฒนารุดหน้าอย่างก้าวกระโดด แต่ด้วยสายตาของชิงถงกลับสามารถพูดได้ว่าการเปลี่ยนแปลงจากหมัดแรกจนถึงหมัดสุดท้ายของอีกฝ่าย พูดถึงแค่การพัฒนาในด้านทักษะฝีมือก็สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ชิงถงเตะเจ้าหมอนั่นให้กระเด็นออกไปร้อยจั้งกว่า แผ่นหลังของผู้ฝึกยุทธหนุ่มกระแทกทะลุจวนของตระกูลใหญ่แห่งหนึ่งไปโดยตรง กระทั่งไปถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่บนถนนนอกกำแพงบ้าน ชุดคลุมอาคมสีแดงสดถึงใช้ข้อมือยันต์ลำต้นของต้นไว้เบาๆ จึงหยุดร่างเอาไว้ได้
เดินเลียบเส้นทางใหม่เอี่ยมเส้นนั้นไป ชิงถงเดินออกมาจากช่องโพรงบนกำแพงช้าๆ ยิ้มถามว่า “คิดค้นขึ้นเอง?”
หากไม่เป็นเพราะจิตวิญญาณของกระบวนท่าหมัดพวกนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบมากพอ ก็ถือว่าเป็นหมัดดีอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้แล้วจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คนอื่นคิดค้น”
คือวิชาหมัดห้าชนิดของเฉาสือ
การถามหมัดในศาลบุ๋นก่อนหน้านี้ เฉาสือบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองได้คิดค้นกระบวนท่าหมัดสามสิบกว่าชนิด ตอนนั้นเขาเอามาใช้ไม่ถึงครึ่ง
วันนี้เฉินผิงอันจึงเลียนแบบหมัดห้าชนิดของอีกฝ่ายอย่าง ดอกราตรี น้ำไหล มังกรลงน้ำ ภูเขาหลิงจิ้ว เสินเซียว
เฉาสือไม่ถือสาแม้แต่น้อยที่คนอื่นเรียนวิชาหมัดไปจากเขา
เพราะคนส่วนใหญ่เรียนไม่เป็น
ผู้ฝึกยุทธกลุ่มน้อยที่พอจะถือได้ว่าไล่ตามมาทันเห็นแผ่นหลังของเฉาสือก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร
ผู้ที่เรียนรู้ข้ารอด ผู้ที่เลียนแบบข้าตาย
คำพูดประเภทนี้บางทีหากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่พูดก็คือความสามหาว ย่อมตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าคิดสั่งสอนผู้อื่นโดยยกตนข่มท่านอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่เฉาสือเป็นคนพูด บางทีอาจเป็นแค่หลักการเหตุผลที่เอ่ยด้วยใจที่สงบเป็นกลางอย่างถึงที่สุด
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ไม่ได้คิดจะเรียนหมัดพวกนี้จริงๆ ประโยชน์เพียงหนึ่งเดียวก็คือเอามา ‘ดัดแปลงวิธี’ ในการขัดเกลาเรือนกาย
กระบวนท่าหมัด แนวทางและสัจธรรมแห่งหมัดที่แตกต่างกันสามารถขัดเกลาภูมิศาสตร์ภูเขาแม่น้ำที่ไม่เหมือนกันของเรือนกายร่างมนุษย์ได้ นี่ต่างหากจึงจะเป็นความหมายในการประลองฝีมือขอความรู้ของผู้ฝึกยุทธ คือการยืมหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกของตัวเอง
ชิงถงหัวเราะเสียงดัง “หรือว่าขโมยเรียนมาเหมือนกัน?”
เฉินผิงอันแก้ไขให้ถูกต้อง “เรียนหมัด”
ชิงถงถามอย่างกังขา “ต่างกันตรงไหน?”
ระหว่างที่พูด สองเท้าของชิงถงก็ถักทอสายฟ้าแลบปลาบขึ้นมา ประหนึ่งเท้าเหยียบอยู่บนบ่อสายฟ้าสองบ่อ ยังคงเป็นวิชาหมัด แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเหมือนวิชาหดย่อพื้นที่ของตระกูลเซียน
เพียงชั่วพริบตาชิงถงก็พลันยื่นมือไปกดหน้าผากของชุดคลุมอาคมสีแดงสด แล้ววิ่งตะบึงไปข้างหน้าตลอดทาง ขณะเดียวกันก็พลันปล่อยหมัดต่อยเข้าที่ลำคอของฝ่ายตรงข้าม
ขโมยเรียนวิชาหมัดก็ดี เรียนหมัดก็ช่าง ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ใครบ้างที่ทำไม่เป็น?
หมัดนี้ชิงถงได้เลียนแบบกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของเฉินผิงอันมาพอดี ห้านิ้วของมือขวากางเป็นตะขอ กดที่หน้าผากแน่น แม้จะบอกว่ามือขวาเหมือนกระแทกโดนแท่นโม่ที่หมุนบดอย่างรวดเร็ว ทว่าต่อให้จะมีเลือดซึมออกมาจากนิ้วทั้งห้า ง่ามมือปริแตก มือซ้ายของชิงถงก็ยังออกหมัดไม่หยุด อยากจะรู้นักว่าปณิธานหมัดที่ต่อเนื่องรวดเดียวกันนี้ของตนจะสามารถประคับประคองไปได้ถึงยี่สิบกว่าหมัดหรือไม่ แล้วอีกฝ่ายจะต้านรับไว้ได้สักกี่หมัด สรุปแล้วปณิธานหมัดของตนจะขาดสะบั้นก่อน หรือร่างกายของอีกฝ่ายจะเกิดร่องรอยว่าปริแตกก่อนกันแน่
เพียงชั่วพริบตา ชิงถงก็ปล่อยหมัดไม่ทราบชื่อติดต่อกันถึงสิบเก้าหมัด เรือนกายของทั้งสองฝ่ายเหมือน ‘เดินออก’ ไปจากนครหลายลี้
ระหว่างนั้นเฉินผิงอันพลันเพิ่มความเร็วในการ ‘ถอยร่น’ อยู่สามครั้ง ชิงถงก็ทำตาม จึงรักษาระดับความเร็วได้เท่าเทียมกับเฉินผิงอันพอดี เหมือนแมวที่เล่นหยอกหนูอย่างไรอย่างนั้น
แต่ชิงถงก็จำต้องยอมรับว่า สิบเก้าหมัดนี้ของตน พละกำลังไม่ถือว่าน้อย แต่น่าเสียดายที่ความหมายไม่ค่อยจะพอ
การประลองฝีมือระหว่างปรมาจารย์ผู้ฝึกวรยุทธ การเรียนวิชาหมัดหากจะพูดว่าง่ายก็ง่าย เพราะง่ายมากที่จะเลียนแบบได้เหมือนเจ็ดแปดส่วน แต่หากจะพูดว่ายากก็ยาก การที่เรียนหมัดเป็นเรื่องยาก ก็ยากตรงที่การเข้าใจแก่นแท้ของมัน ยากที่จะมองทะลุไปถึงเส้นทางการไหลเวียนของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของอีกฝ่าย และทางสายนี้ก็เหมือนคาถาตระกูลเซียนบทยาวที่ตัวอักษรซับซ้อน เนื้อหายากจะทำความเข้าใจ สำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบเขตปลายทางแล้ว หากว่าได้แค่เรียนรู้กระบวนท่าหมัดเหมือนแค่รูปลักษณ์ภายนอกจะไปมีความหมายอะไร ไม่ได้แก่นแท้ของมันมาก็เป็นได้แค่ซี่โครงไก่เท่านั้น
ทว่าเวลานี้ชิงถงกลับไม่รู้สึกทดท้อ อย่างมากสุดวันหน้าตนก็แค่ฝึกหมัดนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายๆ แสนครั้ง หลายแสนครั้งไม่พอก็หลายล้านครั้ง
ถึงอย่างไรกระบวนท่าหมัดในใต้หล้าก็เป็นสิ่งตายตัว มีเพียงคนที่ปล่อยหมัดออกไปเท่านั้นที่มีชีวิต
ชิงถงยืนนิ่ง ผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงบริสุทธิ์เป็นครั้งแรก
ทั้งสองฝ่ายออกมาจากนครแล้ว เฉินผิงอันเหมือนว่าวสายป่านขาดที่ลอยไปกระแทกลงตรงทิศไกล
ชิงถงยิ้มกล่าว “อยู่ห่างจากเวลาหนึ่งก้านธูปอีกประมาณหนึ่งเค่อ เจ้าไหวหรือไม่?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วพ่นลมหายใจที่แห้งแล้งออกมา จู่ๆ ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากก่อนหน้านี้ที่เป็นคนวัยชราดุจบ่อโบราณไร้คลื่นน้ำ กลายมาเป็นคนหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตอันฮึกเหิม ยื่นมือมากดด้ามดาบแคบเล่มหนึ่งที่ห้อยไว้ตรงเอว ยิ้มเอ่ยว่า “หากพูดถึงแค่วิชาหมัดสูงต่ำ ยากมากที่เจ้าจะคู่ควรกับคำว่าเทพมาเยือนครึ่งตัว หรือควรจะพูดว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เจ้าถนัดที่สุดก็คือการใช้อาวุธ?”
ชิงถงยกสองแขนกอดอก ยิ้มกล่าว “ต่อให้ข้ามีแต่มือเปล่าเท้าเปล่า คิดจะอัดเจ้าก็ยังมากพอเหลือแหล่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
แล้วนับประสาอะไรกับที่ชิงถงยังไม่ได้ออกหมัดอย่างเต็มแรงเลยด้วยซ้ำ
เกรงว่าหากไม่ทันระวัง ต่อสู้กันอย่างเต็มคราบแล้วจะยั้งมือไม่อยู่ ทำให้อีกฝ่ายขอบเขตถดถอย หรือไม่ก็ฆ่าอีกฝ่ายตายไปได้เลย
ชิงถงเหลือบมองดาบที่ทับซ้อนกันตรงเอวของอีกฝ่าย ผายมือข้างหนึ่งออกมา “หากเจ้าจะใช้ดาบก็ตามสบายได้เลย”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดูเหมือนเจ้าจะลืมพูดไปว่า หลังจากเวลาสองเค่อสิ้นสุดลงแล้ว ต้องใช้หลักเกณฑ์อะไรมาตัดสินว่าพวกเราสองคนใครแพ้ใครชนะ?”
ชิงถงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ต่อสู้กันจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ถึงจะรู้ผล?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ย่อมได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!