บทที่ 927.5 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (เจ็ด) – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 927.5 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (เจ็ด) จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “จอกแหนจะรวมตัวหรือแยกสลาย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับชะตาวาสนา”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ตอนที่ตื่นจากฝัน ข้าวหวงเหลียงยังไม่ทันสุก จริงหรือเท็จ ดีหรือร้าย บอกได้ไม่ชัดเจน อย่างที่นี่เวลานี้ เจ้าชิงถงแน่ใจได้อย่างไรว่าตัวเองยังอยู่ในฟ้าดินภาพมายาที่โจวจื่อสร้างให้เจ้าอีกหรือไม่?”
ชิงถงหัวเราะ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่านี่เป็นคำพูดที่น่าขันอย่างถึงที่สุด ก็มอบให้พวกคนที่ชอบกังวลว่าฟ้าจะถล่มลงมาเป็นกังวลกันไปเองก็แล้วกัน
เฉินผิงอันปัดใบไม้ร่วงสีเหลืองทองนั้นออกไป มันก็กลับไปรวมตัวอยู่กับกลุ่มใบไม้ร่วงที่ห่างไปไกลเช่นกัน
ใบไม้อีกสองใบต่อจากนั้นคือการบอกเป็นนัยหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่นการเอาใบไม้ร่วงมารวมกันก่อนและหลัง อันที่จริงก็คือปฏิทินเหลืองเก่าแก่หน้าหนึ่ง
ภัยแล้งบวกกับอุทกภัย
การช่วงชิงแห่งน้ำและไฟในยุคบรรพกาลที่ชักนำให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย สรรพชีวิตบนโลกมนุษย์มอดม้วย ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันไปนับไม่ถ้วน
นอกจากนี้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้หอบม้วนเอาขุนเขาสายน้ำของทวีปหนึ่งผ่านไป ภูเขาแม่น้ำจมดิ่ง จารีตประเพณีพังทลาย ไม่เหลือกฎระเบียบใดๆ อีกต่อไป
ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าจะมาจากเหตุผลใด เจ้าเฉินผิงอันก็มาถึงสายไปแล้ว ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะช่วยไม่ทัน เป็นตายถูกชะตากำหนดไว้แล้ว
อย่างมากสุดก็ได้แค่เลียนแบบขุนนางขอฝนที่ชดเชยแก้ไขหลังจบเรื่อง แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำได้สำเร็จ
อีกทั้งชิงถงยังพูด ‘นอกเรื่อง’ อยู่ครั้งหนึ่ง ก็เพราะฝนที่ตกลงมาครั้งนี้ถึงเป็นสาเหตุให้ ‘พื้นที่แถบหนึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่ ที่พักอาศัยจมอยู่ใต้น้ำ’
สรวงสวรรค์ถล่มลงมา วิถีฟ้าพังทลาย เพราะเจ้าที่เป็น ‘หนึ่งนี้’ เลือกที่จะนิ่งดูดาย หรือว่าตอนนี้เจ้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรต้องมาเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่ตัวเองสร้างไว้กับมืออย่างนั้นหรือ?!
คงไม่ใช่เพราะว่าการที่โจวมี่มหาสมุทรความรู้เดินขึ้นฟ้าจากไป บรรพจารย์สามลัทธิสลายมรรคา ล้วนอยู่ในแผนการของเจ้าทั้งหมด?
เวรกรรมทั้งหมดที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ห่างมานานหมื่นปี แต่แท้จริงแล้วกลับถูกโจวจื่อที่ ‘พูดเรื่องฟ้าจนหมดสิ้น’ พูดถึงไว้นานแล้ว พูดได้ถูกแล้ว?
ไม่อย่างนั้นศึกแห่งน้ำและไฟคราวนั้น เจ้าจะห้ามไม่ได้เชียวหรือ? ต่อให้ห้ามไม่ได้ แต่ทำไมแม้แต่จะออกหน้าห้ามปรามก็ยังไม่ทำ กลับกลายเป็นว่าไม่โผล่หัวออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ?
นี่ก็คือการเย้ยหยันอย่างไม่ไว้หน้าอย่างหนึ่งของชิงถงแล้ว
ส่วนขุนนางขอฝนท่ามกลางภัยแล้งกันดาร บทขอฝนที่ถือไว้ในมือซึ่งได้มาจากเฉินผิงอัน ประโยคเปิดบทคือ ‘เทพพิรุณพ่อปู่วาโย เทพสายฟ้าเจ้าแม่ฟ้าแลบ จงมาฟังคำสั่งจากข้า ใครที่ขัดคำสั่งต้องถูกประหาร’
อันที่จริงตอนนั้นที่ชิงถงเห็นภาพเหตุการณ์นี้อยู่ไกลๆ บอกตามตรงว่าเวลานั้นชิงถงแค่จิตแห่งมรรคาสั่นสะเทือนเสียที่ไหน เขาตกใจจนเกือบขวัญกระเจิงแล้ว
หวนนึกถึงวันเวลาอันยาวนานเมื่อหมื่นปีก่อน หนึ่งนั้น เป็นถึงบุคคลสูงสุดในกลุ่มบุคคลสูงสุดอีกที
เพียงแต่ไม่มีใครสักคนในโลกมนุษย์ หรือบางทีก็อาจไม่มีเทพองค์ใดสักองค์ที่รู้ว่าบุคคลที่ว่านี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
คนที่เข้าใกล้ความจริงบางอย่างมากที่สุด บางทีอาจมีเพียงมรรคาจารย์เต๋าท่านนั้น?
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองภาพเหตุการณ์ทั้งหลายในใบไม้ร่วงสองใบ พลันยิ้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสชิงถง ดูเหมือนจะเชี่ยวชาญเรื่องการหยอกล้อคนมากเลยนะ?”
ชิงถงขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
ในม้วนภาพก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันทำหน้าที่เป็นเจ้าเมืองที่รับผิดชอบจัดการน้ำ มีชาติกำเนิดยากจน อายุน้อยๆ ก็มีรายชื่อติดกระดานทองคำ ยังไม่ได้แต่งภรรยา
ทุกอย่างล้วนสอดคล้องกับประสบการณ์และสภาพการณ์ของเฉินผิงอันหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้น
มีชาติกำเนิดจากตรอกเก่าโทรม สุดท้ายอยู่ในตำแหน่งสูง กลายเป็นอิ่นกวานคนสุดท้าย นั่งบัญชาการณ์คฤหาสน์หลบร้อน กองทัพใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างโจมตีนครประดุจน้ำไหลบ่าท่วมโถมสูงเทียมฟ้า
จำต้องวิ่งไปขอการบริจาคจากทั่วทุกแห่ง ก็เหมือนอย่างเรือข้ามทวีปห้าสิบสี่ลำ เรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัว
แม้จะเป็นคนรักกับหนิงเหยาซึ่งใต้หล้าล้วนรับรู้ แต่กลับยังไม่ได้แต่งภรรยาอย่างเป็นทางการ ฯลฯ
ไม่ได้เหมือนไปทั้งหมด แต่ขอแค่มีใจอยากจะสืบเสาะ กลับจะพบว่ามีจุดที่เหมือนกันแทบทุกจุด
นอกจากนี้ปัญญาชนผู้มีพรสวรรค์ที่ว่างงานอยู่ในบ้านซึ่งเฉินผิงอันได้ไปพบเจอก็พูดจาน่าเชื่อว่า หากเขียนบทความในการสอบเคอจวี่ได้ดี ไม่ว่าจะทำอะไร เรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นแส้หนึ่งเส้นรอยโบยหนึ่งรอย หนึ่งตบหนึ่งฝ่ามือ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นพวกนอกรีตไป…
อาชีพทั้งหลายล้วนต่ำต้อยมีเพียงบัณฑิตที่สูงส่ง เรียนหนังสือไปเพื่ออะไร เพื่อเป็นขุนนางหรือ? เพื่อให้ภรรยาได้บรรดาศักดิ์บุตรหลานได้อาศัยร่มเงา?
เวทคาถาบนภูเขามีนับพันนับหมื่น มีเพียงวิถีแห่งกระบี่ที่ประหนึ่งบัณฑิตในบรรดาร้อยอาชีพของโลก สามารถหลุบตาลงต่ำมองใต้หล้า ดูแคลนคนข้างกาย
ไยจะไม่ใช่การที่ชิงถงอาศัยโอกาสนี้มาเย้ยหยันผู้ฝึกกระบี่ที่ถือตนว่า ‘หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม’ สายตาจึงไม่เคยเห็นหัวใคร?
การใส่ร้ายป้ายสีในทุกจุดทุกมุม ล้วนมีวัตถุประสงค์แฝงอยู่
ยกตัวอย่างเช่นจวนประตูสูงแห่งนั้นก็เป็นตัวแทนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ และหนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือสตรีที่น่าเสียดายที่ไม่ใช่บุรุษ ดังนั้นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านของสตรี การที่ ‘ฐานะคู่ควรกัน แล้วก็มีความสามารถ’ แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะสถานะของคนผู้นี้คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง คือศิษย์น้องของพวกชุยฉาน จั่วโย่ว ดังนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจึงให้ความสำคัญกับคนผู้นี้อย่างมาก และคำว่า ‘ดันไม่ยอมสอบเคอจวี่’ ก็คือการบอกเป็นนัยว่าตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่…
ชิงถงรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย
ทำไม เรื่องนี้เจ้าก็เดาความคิดและวัตถุประสงค์ของข้าออกด้วยหรือ?
คราวนี้เป็นเสี่ยวโม่ที่ต้องมึนงงเหมือนอยู่ท่ามกลางดงหมอกบ้างแล้ว
ความคิดสามารถวกวนอ้อมค้อมได้ถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่สตรีที่จิตใจดุจเข็มใต้มหาสมุทรก็ต้องเป็น…บัณฑิตอย่างเราๆ แล้ว
เฉินผิงอันเหลือบมองชิงถงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนนี้อันที่จริงคือสตรีคนหนึ่ง?
ส่วนภาพสุดท้ายที่ใต้เท้าเจ้าเมืองผลักประตูเดินเข้าไป ดึงไส้ตะเกียงอันหนึ่งออกมาจากตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะตัวนั้น
คงเป็นเพราะชิงถงรู้สึกไม่พอใจผู้ฝึกกระบี่อย่างมาก จึงยังคงพูดกระทบถึงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกับตนอย่างอ้อมค้อมอีกครั้ง
จะบอกว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไร้ศักดิ์ศรีในชีวิตบั้นปลาย จึงทำได้เพียงฝากความหวังก่อนตายไว้ให้คนต่างถิ่นที่เพิ่งมาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แค่ไม่กี่วัน?
ผลคือถึงท้ายที่สุด ผู้เฒ่าที่นอนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่บนเตียง ก็เหมือนเฉินชิงตูที่ไม่เคยส่งกระบี่ออกไปบนสนามรบแม้แต่ครั้งเดียว
สุดท้ายก็รักษากำแพงเมืองปราณกระบี่ไว้ได้แค่ครึ่งเดียว?
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้ด่าข้าเสียหน่อย ก็แค่ด่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่กลายเป็นอดีตไปแล้วอยู่ที่นี่ ข้าไม่โกรธหรอก จะโกรธได้อย่างไร ไม่มีความจำเป็นเลย”
“ก็เหมือนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างคนใดที่มีชีวิตอยู่ก็สามารถเอ่ยหยอกล้อได้ว่าจงหยวนสู้ตนไม่ได้นั่นแหละ”
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสชิงถง เจ้าไม่ได้ด่าข้าหรอกใช่ไหม?”
ชิงถงเงียบไม่ตอบ ไม่กล้ายอมรับแล้วก็ไม่กล้าปฏิเสธ
เสี่ยวโม่รู้สึกว่าก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ควรจะฟังคำแนะนำของคุณชาย อย่าได้หาเรื่องให้มีปัญหาแทรกซ้อน ให้คุณชายได้กลับไปภูเขาเซียนตูแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว
เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาจากชายแขนเสื้อ จิบเหล้าหนึ่งอึก สายตามองขยับขึ้นไปยังชิงถง “ว่ามาเถอะ เหตุผลที่แท้จริงน่ะ”
ชิงถงมีสีหน้าปั้นยาก ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้ารู้แล้วหรือว่าข้ามีความคล้ายคลึงในเรื่องนั้นกับลู่ไถ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า
ชิงถงมีรอยยิ้มที่มองดูแล้วค่อนข้างจริงใจ ไม่ใช้เสียงในใจพูดอีก แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงใสเย็น “ข้าคนหนึ่งเชื่อในการคาดเดาของโจวจื่อ ข้าอีกคนเชื่อในสายตาของตัวเอง เพียงแต่ว่ามักจะทะเลาะกันเป็นประจำ ข้าจึงอยากจะมองดูให้มากอีกหน่อย แต่อันที่จริงยิ่งมองก็ยิ่งสับสน แต่ก็ไม่ถือว่ามองแล้วสู้ไม่มองยังดีกว่า”
ชิงถงยกสองมือขึ้นตบเข่าเบาๆ สีหน้าผ่อนคลายขึ้นเยอะมาก “บางทีอาจเป็นใบไม้บังตาเหมือนกัน แต่จะเป็นไรไปเล่า ก็ให้มันเป็นแบบนี้ไปนั่นแหละ”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือ ชิงถงคนหนึ่งเชื่อว่าเฉินผิงอันในอนาคตที่โจวจื่อคาดเดาไว้ต้องมาเยือน แต่ชิงถงอีกคนหนึ่งกลับเลือกจะเชื่อเฉินผิงอันในอดีตว่าเขาจะเป็นเด็กหนุ่มอย่างที่เคยเป็นตลอดไป
เฉินผิงอันพยักหน้า แสดงให้รู้ว่าเข้าใจ
เก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ยว่า “การที่ผู้อาวุโสหยวนเซียงแกะสลักตัวอักษรลงบนต้นอู๋ถงก็เพราะผู้อาวุโสท่านนั้นรู้สึกว่า อันที่จริงชีวิตคนมีการเดินทางไกลอยู่สองครั้ง ครั้งหนึ่งคือการกายดับมรรคาสลายของผู้ฝึกตน อีกครั้งหนึ่งคือการถูกโลกใบนี้หลงลืมไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นผู้อาวุโสหยวนเซียงถึงได้แกะสลักตัวอักษรไปทั่ว เพราะเขาหวังว่าในอนาคตอีกพันปีหมื่นปีจะมีคนรุ่นหลังรู้ว่าบนโลกมนุษย์ใบนี้ เคยมีผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งนามว่าหยวนเซียงเคยมีชีวิตอยู่บนโลกมาก่อน”
ชิงถงลุกขึ้นตาม ถามว่า “มีบันทึกไว้ในคฤหาสน์หลบร้อนหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าเดาเอาเอง”
ขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะจากไป ชิงถงพลันเอ่ยว่า “เชิญนั่ง”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง “ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนใจ?”
ชิงถงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงก็ไม่มีเหตุผลอะไร แค่ลองเดิมพันดู หากไม่ขาดทุนป่นปี้ก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเท่านั้นเอง”
เฉินผิงอันถาม “จะไม่เสียใจภายหลังหรือ?”
ชิงถงยิ้มอ่อน “รอให้เสียใจภายหลังแล้วค่อยเสียใจภายหลังก็ยังไม่สาย”
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปอีกครั้ง เอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ ช่วยปกป้องมรรคาให้พวกเราด้วย”
เสี่ยวโม่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เหล่ตามองชิงถง
สีหน้าของชิงถงมองดูเหมือนเฉยชา แต่อันที่จริงกลับขัดใจอยู่บ้างเล็กน้อย ราวกับกำลังพูดว่า สหายเสี่ยวโม่ วันหน้าช่วยเกรงใจข้าหน่อยเถอะ
วันที่สามสิบเดือนสิบสองของปีนี้
ต้นอู๋ถงในใต้หล้าไพศาลพากันใบร่วงโรย
ขณะเดียวกันก็มีคนสร้างความฝัน เดินทางท่องเยือนสวรรค์คราหนึ่ง
ข้าเชิญให้ท่านเข้าสู่ความฝัน
ให้เวลาท่านหนึ่งก้านธูป
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!