แต่ไหนแต่ไรมาเมืองหงจู๋ก็มีผังเมืองที่ถนนแนวตั้งตรอกแนวนอน ระหว่างถนนชมน้ำกับถนนชมภูเขามีตรอกเล็กไร้ชื่ออยู่แห่งหนึ่ง มีร้านหนังสือขนาดเล็กที่ไม่มีกรอบป้ายหน้าร้านตั้งอยู่ที่นี่ กิจการตลอดทั้งปีเงียบเหงาซบเซา เพียงแต่ว่าราคาหนังสือสูงมากผิดปกติ ทั้งยังไม่ให้ต่อราคา ปีหนึ่งไม่เปิดร้าน เปิดร้านทีหนึ่งกินได้นานสามปี
เถ้าแก่หนุ่มคนนั้นก็คือหลี่จิ่นเทพวารีแม่น้ำชงตั้น เวลานี้กำลังนอนเอนกายงีบหลับอยู่บนเก้าอี้หวาย มือหนึ่งถือเตาอุ่นมือ
บางบ้านที่กินอาหารส่งท้ายปีกันเร็วหน่อยก็จุดประทัดกันเสียงดังเป็นระลอกแล้ว
คนที่เป็นขุนนาง ในสายตาของคนนอกก็หนีไม่พ้นแบ่งออกเป็นขุนนางดีกับขุนนางเลว สำหรับคนในวงการขุนนางแล้วก็ง่ายเหมือนกัน อยากปีนขึ้นสู่ที่สูงหรือไม่
ที่ว่าการของโลกมนุษย์กับวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำอันที่จริงก็ไม่ได้ต่างกัน ถ้าอย่างนั้นเทพวารีแห่งแม่น้ำชงตั้นอย่างหลี่จิ่นผู้นี้ก็เห็นได้ชัดว่าถือเป็นคนจำพวกที่ไม่อยากป่ายปีนสู่ที่สูง
พูดถึงแค่ฝนห่าใหญ่สีทองสามครั้งเมื่อหลายปีก่อน เว่ยซานจวินแห่งภูเขาพีอวิ๋นท่านนั้นได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ประเด็นสำคัญคือในอาณาเขตของเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำกลุ่มใหญ่ต่างก็มองว่าซานจวินใหญ่เว่ยขี้เหนียวมาก แม้แต่ภูเขาทายาทที่อยู่ในอาณาเขตของภูเขาพีอวิ๋นเองก็ยังไม่ได้รับไอฝนสักเศษเสี้ยว
หลี่จิ่นหรี่ตาลง เส้นเอ็นหัวใจขึงตึง เพียงแต่ไม่นานก็คลี่ยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “เจ้าขุนเขาเฉิน ช่างมีวิชาอภินิหารที่ยอดเยี่ยมเสียจริง”
รอกระทั่งได้ยินคำเชื้อเชิญของ ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ ท่านนั้น หลี่จิ่นก็ถามอย่างกังขาว่า “คล้ายคลึงกับร่มหมื่นประชาหรือ?”
เฉินผิงอันได้ยินคำเปรียบเทียบนี้ก็หลุดหัวเราะพรืด คิดแล้วก็เอ่ยว่า “พอจะพูดว่าเป็นแบบนี้ได้อยู่กระมัง”
หลี่จิ่นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ข้าไม่ขอรับคุณความชอบส่วนที่ท่านจะมอบให้ แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอร้อง ถือเป็นการแลกเปลี่ยนกัน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “การค้าขายยังคงเดิม แต่หากเทพวารีหลี่มีเรื่องอยากจะขอร้อง ขอแค่เป็นเรื่องที่ข้าทำได้ ข้าก็จะไม่ปฏิเสธแน่นอน”
หลี่จิ่นถามหยั่งเชิง “รอให้คราวหน้าเจ้าขุนเขากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว จะช่วยรบกวนให้เจ้าขุนเขา ‘ลงสี’ บนภาพลายเส้นขาวดำให้สักภาพได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ใช่หนึ่งในสองภาพที่จูเหลี่ยนมอบให้พี่หลี่หลังกลับจากนครลมเย็นมาพร้อมกับเพ่ยเซียงแล้วบังเอิญผ่านที่แห่งนี้พอดีหรือไม่?”
หลี่จิ่นพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ รู้ว่าคราวก่อนที่จูเหลี่ยนเดินทางผ่านร้านแห่งนี้ได้มอบม้วนภาพให้หลี่จิ่นสองภาพ ล้วนเป็นภาพลายเส้นขาวดำ ภาพแรกที่วาดคือภาพปลาหลีกับปัญญาชน ปัญญาชนมีรูปโฉมเป็นหลี่จิ่นที่ขี่ปลาหลีตัวใหญ่ เผยให้เห็นแค่หัวกับหาง ร่างของปลาหลีถูกบดบังอยู่ในทะเลเมฆ บนม้วนภาพนี้จูเหลี่ยนใช้ตราประทับตัวอักษรสีชาดแกะสลักเป็นคำแปดคำ ‘จิตใจข้าลึกล้ำ ขอบเขตยิ่งใหญ่แจ่มกระจ่าง’ ส่วนอีกภาพหนึ่งคือปัญญาชนที่อยู่ในภาพแรกคล้ายกับได้กระโดดข้ามประตูมังกรไปเรียบร้อยแล้ว ยืนอยู่บนประตูมังกรหลุบตาลงมองกระแสน้ำเชี่ยวกราก เนื่องจากในมือของปัญญาชนได้จับเสาใหญ่ของประตูมังกรเอาไว้ จูเหลี่ยนจึงประทับตราด้วยอักษรสีขาวเป็นคำแปดคำว่า ‘ปลามังกรเปลี่ยนร่าง เชี่ยวชาญยอดเยี่ยม’
แต่เพียงแค่เพราะภาพทั้งสองเป็นภาพลายเส้นขาวดำ ดังนั้น ‘คำขอร้อง’ ของหลี่จิ่นที่บอกว่าลงสีก็เหมือนการวาดลายเส้นทองให้กับ…เทวรูปที่อยู่ในวัดวาอารามอย่างหนึ่ง
เรื่องของการแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าต้องดูที่วัตถุประสงค์ของฮ่องเต้ของราชสำนักในท้องถิ่น หรือไม่ก็อริยะปราชญ์ศาลบุ๋นจึงจะมี ‘ปากอมกฎสวรรค์’ ได้
แต่หากเป็นการวาดลายเส้นทองในระดับรองลงมา พวกผู้ฝึกตนที่บุญกุศลเปี่ยมล้นสมบูรณ์ หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนใหญ่บางส่วนที่ขอบเขตมากเพียงพอก็สามารถมีประสิทธิผลได้เช่นกัน
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่ต้องรอคราวหน้า วันนี้ก็ทำเรื่องนี้ให้ได้เลย”
หลี่จิ่นเอ่ยอย่างจนใจ “อยู่ใน…ความฝันเช่นนี้ ม้วนภาพทั้งสองของข้าล้วนเป็นของปลอม”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เทพวารีหลี่แค่เพ่งสมาธินิมิตถึง แค่ลองก็จะรู้ได้เอง”
หลี่จิ่นจึงรวบรวมสมาธินึกถึงม้วนภาพทั้งสอง แน่นอนว่าเป็นภาพที่ปัญญาชนขี่ปลาหลีกลายเป็นเซียน ส่วนเรื่องปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกรนั้น ตอนนี้ยังไม่กล้าคิดถึง
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือหนึ่งครั้ง ในมือก็ถึงกับมีเหล็กหมาดหิมะที่ปีนั้นมอบให้กับวิญญูชนจงขุยปรากฏขึ้นมา เขารับม้วนภาพมา คลี่กางกลางอากาศ ช่วยลงลายเส้นสีทองอย่างละเอียดให้กับปลาหลีตัวนั้น สุดท้ายจึงแต้มนัยน์ตาให้กับมัน
หลี่จิ่นประหลาดใจอย่างหนัก อยู่ในนิมิตเช่นนี้ก็ถึงกับเปลี่ยนจากภาพมายาให้กลายเป็นของจริงได้ด้วยหรือ?
หรือว่าข้ากำลังฝันไป?
ใช่ ข้ากำลังฝันอยู่นี่นา…
ถ้าอย่างนั้นเมื่อตื่นจากฝันแล้วคงไม่ใช่เป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำครั้งหนึ่งหรอกกระมัง? แต่คิดแล้วก็ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น เฉินผิงอันไม่มีทางล้อเล่นกับตนในเรื่องแบบนี้แน่นอน
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ในเมื่อมาก็มาแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องดีก็มาเป็นคู่”
หลี่จิ่นลังเลเล็กน้อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้เหนื่อยยากอะไร”
วาดลายเส้นสีทองลงบนชุดคลุมอาคมตัวยาวที่อยู่บนร่างของปัญญาชนในม้วนภาพที่สอง
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบตราประทับชื่อสองชิ้นออกมา เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว เฉินสืออี
บนเป็นอักษรลายนูน ล่างเป็นอักษรลายเว้า มีทั้งสีแดงและสีขาว มีความหมายร้อยเรียงต่อเนื่องกัน
เนื่องจากมีข้อพิถีพิถันในการใช้จำนวนตราประทับ สมัยโบราณชอบใช้ตราประทับคี่ เพราะมีความหมายว่า ‘ใช้หนึ่งไม่ใช้สอง ใช้สามไม่ใช้สี่ ใช้เลขคี่เพื่อประคองหยาง’
ดังนั้นสุดท้ายเฉินผิงอันจึงหยิบตราประทับอีกชิ้นหนึ่งออกมา คือตราประทับอักษรน้ำที่อยู่เคียงข้างเขามานานหลายปี
หลี่จิ่นเก็บม้วนภาพทั้งสองมา ประสานมือโน้มกายคารวะเฉินผิงอัน แสดงการขอบคุณจากใจจริง พอยืดตัวขึ้นแล้วก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “อีกเดี๋ยวธูปก้านนั้นจะต้องแสดงความจริงใจอย่างแท้จริง เทพวารีแห่งแม่น้ำชงตั้น หลี่จิ่นยินดีช่วยขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปตามที่กำลังอันน้อยนิดจะอำนวย”
คนชุดเขียวหายวับไปแล้ว
หลี่จิ่นลืมตาขึ้น รีบหยิบม้วนภาพทั้งสองออกมาจากวัตถุฟางชุ่น
ลงลายเส้นสีทองแล้วจริงดังคาด
โชคชะตาน้ำเปี่ยมล้น เหนือเกินกว่าที่จินตนาการไว้
หลี่จิ่นรีบทะยานลมกลับไปยังจวนวารีแม่น้ำชงตั้น อีกทั้งยังอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าอย่างเคร่งขรึมจริงจัง สุดท้ายสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หันหน้าไปทางทิศใต้ สองนิ้วทำท่าคีบธูป รวบรวมโชคชะตาน้ำส่วนหนึ่งในอาณาเขต สุดท้ายจุดธูปดอกนั้นขึ้นมา
ขณะเดียวกันนั้น
ในบริเวณใกล้เคียงกับแม่น้ำชงตั้น เทพวารีแห่งสายน้ำที่บนแขนมีงูเขียวตัวหนึ่งรัดพันก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน
เหนียงเนียงเทพวารีบางคนก็ยิ่งทำเช่นนี้ มีความจริงใจอย่างถึงที่สุด ไม่แพ้ให้กับสหายร่วมงานสองคนเลย
พื้นที่มงคลรากบัวของภูเขาลั่วพั่ว เจียวน้ำหงเซี่ยนำพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำใต้อาณัติมากมาย พากันจุดธูปหอมหนึ่งดอก
ลำน้ำฉีตู๋ที่อุตรกุรุทวีป
ในจวนโหวใหม่เอี่ยมที่โอ่อ่าโอฬาร เด็กหนุ่มชุดดำดวงตาทั้งคู่เป็นสีทองคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ประธานในห้องโถงหลัก ยิ้มร่ามองสุ่ยเจิ้งของศาลลำน้ำตอนบนซึ่งมาเป็นแขกที่จวน “ซือถูจีตั้ง เจ้าลองว่ามาสิว่านี่ว่าเป็นครอบครัวคนยากจนต่อให้อยู่ในตลาดจอแจก็ไร้คนถามไถ่ ครอบครัวคนร่ำรวยต่อให้อยู่ในป่าลึกก็มีญาติห่างไกลไปเยี่ยมหาหรือไม่?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของสหายร่วมงานในอดีต ลูกน้องในทุกวันนี้กระอักกระอ่วนอย่างยากจะปกปิดได้
หลี่หยวนเพียงแค่หัวเราะหึหึ ไม่ได้กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยอกแสลงใจ ทั้งสองฝ่ายรู้ไส้รู้พุงกันดี เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี อีกฝ่ายคือคนประเภทที่ว่าไร้ผลประโยชน์ก็ไม่ยอมตื่นเช้า มีเพียงเงินถึงเท่านั้น ทุกเรื่องล้วนคุยกันได้
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นสุ่ยเจิ้งเหมือนกัน เป็นพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากกันมานานหลายปี
ในอดีตศาลสามแห่งของลำน้ำฉีตู๋ ก่อนหน้านี้เหลือแค่สองแห่ง ศาลตอนบนตั้งอยู่ที่หน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน หลี่หยวนรับหน้าที่อยู่ในศาลตอนกลาง ตั้งอยู่ที่สำนักมังกรน้ำ เพียงแต่ว่าถูกหลอมให้กลายเป็นศาลบรรพจารย์ไป
ในถ้ำสวรรค์วังมังกร เกาะเป็ดน้ำที่เคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของหลี่หยวนก็เคยได้ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ ช่วยให้เฉินผิงอันซื้อไว้ได้ด้วยราคาที่ต่ำมาก
เมื่อเทียบกันแล้ว ก่อนที่จะเลื่อนตำแหน่งเป็นหลงถิงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ผู้ทรงเกียรติ ยังคงเป็นเจ้าคนที่ชื่อว่าซือถูจีตั้งที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ที่ฟุ่มเฟือยมือเติบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!