เดิมทีเฉินผิงอันคิดว่าจะตรงดิ่งไปที่จวนวารีของหลิงหยวนกง เพียงแต่เปลี่ยนใจกะทันหัน คิดว่าจะอ้อมไปที่อื่นก่อน เมื่อความคิดบังเกิดก็มองข้ามระยะห่างระหว่างภูเขาสายน้ำ คนชุดเขียวมายืนอยู่ใต้ต้นอู๋ถงต้นหนึ่งในเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าหยวน เงยหน้ามองไปยังทิศไกล เฉินผิงอันเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็มาถึงตำหนักแห่งหนึ่งที่มีเพียงสีขาวและสีดำสองสีเท่านั้น ราวกับคนไร้ขอบเขตที่ก้าวเข้ามาในดินแดนไร้ผู้คน
ราชวงศ์ต้าหยวนแห่งนี้ก่อตั้งแคว้นด้วยดาวพระพุทธ (สุ่ยเต๋อ ถือเป็นดาวธาตุน้ำ) คราวก่อนเฉินผิงอันไปที่ตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียน พูดคุยเรื่องการค้ากับฮ่องเต้สกุลหลู ตอนนั้นข้างกายของฮ่องเต้พาองค์ชายเด็กหนุ่มมาแค่คนเดียว มีชื่อว่าหลูจวิน ตอนนี้ได้กลายเป็นรัชทายาทแล้ว นอกจากเฉินผิงอันจะมอบเทียบอักษรลายมือของอาจารย์ให้กับองค์ชายหลูจวินแล้วยังมอบตำราหมัดฉบับสำเนาเขียนมือให้กับเด็กหนุ่มด้วย ก็คือตำราหมัดเขย่าขุนเขาที่ได้มาจากกู้โย่วผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางแห่งราชวงศ์ต้าจ้วน
ส่วนคุณสมบัติในการฝึกตนและฝึกวรยุทธของหลูจวินนั้น อันที่จริงธรรมดามาก ตอนนั้นเฉินผิงอันก็บอกอีกฝ่ายไปตามตรงอย่างจริงใจ ไม่ได้ใช้ถ้อยคำเกรงใจตามมารยาทตอบรับอย่างขอไปที
สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าผีและเทพดลบันดาล ทั้งสองฝ่ายจึงกลายมาเป็นอาจารย์และศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อกัน
ฟ้ายังไม่สว่าง ยังอยู่ห่างจากการว่าราชการเช้าอีกพักหนึ่ง ฮ่องเต้หลูยางตื่นจากบรรทมนานแล้ว ยากจะบรรทมต่อได้อีก จึงสั่งให้ขันทีจุดตะเกียง นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตาของห้องอุ่นขนาดเล็ก กำลังอ่านฎีกาพลางนวดคลึงหว่างคิ้ว ห้องอุ่นมีมังกรดิน ต่อให้เป็นหน้าหนาวก็ยังอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ เพียงแต่ว่าบางครั้งฮ่องเต้ก็จะออกคำสั่งให้นางกำนัลหยุดก่อไฟ บอกว่าใช้อากาศหนาวเย็นมาขัดเกลาเส้นเอ็นและกระดูกเสียหน่อยกลับทำให้ร่างกายแข็งแรงได้ดี หันมามองพวกองค์ชายสกุลหลูที่กำลังเล่าเรียนอยู่ในตำหนักอิงเหวิน นอกเสียจากเจอกับอากาศหนาวเหน็บเสียดแทงกระดูกที่หลายสิบปีถึงจะพบเจอสักครั้งจึงจะมอบเตาอุ่นมือให้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องท่องตำราเสียงดังพลางแอบกระทืบเท้าตัวสั่นเยือกไปด้วย เข้าเรียนยามเหม่า (07.00-09.00) เลิกเรียนยามเซิน (15.00-17.00) อย่างที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน แค่เรียนหนังสือเท่านั้น จะว่าลำบากก็ไม่ถึงขนาดนั้น ก็แค่ไม่สบายเท่านั้นเอง
เพียงแต่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกง่วงขึ้นมา ระหว่างที่หลูยางกำลังสะลึมสะลือก็คล้ายได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาแว่วๆ จึงตอบรับตามจิตใต้สำนึก “เข้ามา”
นอกธรณีประตูห้องอุ่น คนชุดเขียวคนหนึ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฝ่าบาท บุ่มบ่ามแวะมาหา โปรดอภัยให้ด้วย”
หลูยางลืมตาขึ้นมองคนชุดเขียวที่อยู่นอกประตู เหม่อลอยไปพักหนึ่ง เพียงแต่ไม่นานสีหน้าก็กลับคืนมาเป็นปกติ ลงมาจากเตาอุ่น สวมรองเท้าหุ้มข้อง่ายๆ ไม่ได้สวมให้เรียบร้อยก็เดินเร็วๆ ไปทางหน้าประตู หัวเราะเสียงดังกังวาน “ที่แท้ก็อาจารย์เฉินที่ให้เกียรติมาเยี่ยมเยือนนี่เอง โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปรอต้อนรับแต่ไกล ขอโทษด้วย ขอโทษด้วย”
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม กุมมือเป็นหมัด เอ่ยขออภัย “เหตุการณ์ฉุกละหุก ไม่อาจแจ้งยามเฝ้าประตูได้ รับรองว่ามีแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”
“คนมหัศจรรย์ย่อมต้องมีเรื่องประหลาดเสมอ อาจารย์เฉินคือผู้บรรลุมรรคา ไยต้องถือสาพิธีการยิบย่อยพวกนี้ด้วยเล่า”
หลูยางเอื้อมมือมาจับแขนของคนชุดเขียว ยิ้มเอ่ย “ข้ากลับหวังให้อาจารย์เฉินมาเป็นแขกที่นี่บ่อยๆ ไป ไปนั่งคุยในห้องของข้ากันเถอะ”
เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูมาแล้ว หลูยางก็ปล่อยมือ ทั้งสองฝ่ายนั่งกันคนละด้านบนเตาอุ่น หลูยางผลักกองฎีกาไปไว้บนโต๊ะด้านข้าง ไม่คิดจะปิดบังแม้แต่น้อย
หลูยางได้ยินคำอธิบายที่กระชับได้ใจความของเฉินผิงอัน เมื่อรู้ความจริงแล้วก็ประหลาดใจมาก อดไม่ไหวเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ไม่น่าเชื่อเลย มหัศจรรย์ยิ่งนัก”
ฮ่องเต้สกุลหลูที่ขึ้นชื่อว่ามีอัจฉริยะและแผนการอันล้ำลึกท่านนี้เอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “อันที่จริงอาจารย์เฉินไม่จำเป็นต้องมาถึงเมืองหลวงให้เสียเวลาเลย เพราะง่ายที่จะถ่วงรั้งธุระสำคัญของท่าน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต่อให้หน่วยฉงเสวียนจะฐานะโดดเด่นแค่ไหน ถึงอย่างไรก็เป็นแค่หนึ่งในองค์กรใต้อาณัติของราชวงศ์ต้าหยวน หยางเทียนจวินแห่งตำหนักนภากาศจะมีคุณธรรมชื่อเสียงสูงส่งเพียงไร ลูกหลานสกุลหยางจะทำเพื่อส่วนรวมไร้ความเห็นแก่ตัวแค่ไหน ถึงอย่างไรก็เป็นชาวประชาของราชวงศ์ต้าหยวน”
หลูยางหัวเราะฮ่าๆ ชอบใจ เผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้เหลือบมองไปทางประตูแม้แต่แวบเดียว
คำพูดที่ดี? แน่นอนว่าต้องเป็นคำพูดที่ดี
เป็นแค่คำพูดที่ดีที่น่าฟัง? ไม่เพียงเท่านั้น
เดิมทีนี่ก็คือท่าทีที่แน่ชัดที่อิ่นกวานหนุ่มมีต่อความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อพระวงศ์ต้าหยวนกับหน่วยฉงเสวียน
เทพเซียนบนภูเขาและฮ่องเต้ล่างภูเขาก็เหมือนว่าคนหนึ่งดูแลฟ้าคนหนึ่งดูแลดิน ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายซับซ้อน มีสุขและทุกข์ร่วมกัน หากมีเกียรติก็มีเกียรติด้วยกัน รู้ใจกันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย แต่กระนั้นก็ไม่ขาดเรื่องโสมม ภายนอกปรองดองภายในห่างเหิน ถึงขั้นที่ว่าต่างฝ่ายต่างวางแผนเล่นงานกันเอง หันหลังเดินไปคนละทาง ต่างคนต่างมองกันเป็นศัตรูคู่อาฆาต
จวินเอ๋อร์บ้านตนช่างโชคดี วาสนาดี ไม่ได้รับอาจารย์สอนหมัดผู้นี้ไว้เปล่าๆ อาจารย์เฉินที่มีหลายสถานะผู้นี้ เข้าข้างแต่คนกันเองไม่เข้าข้างคนนอกเลยจริงๆ
เป็นอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้แกะสลักตัวอักษรหรือไม่ก็มีความต่างราวฟ้ากับเหว
คราวก่อนที่ทั้งสองฝ่ายคุยธุระกันที่ตำหนักนภากาศ เฉินผิงอันยังไม่ได้เดินทางไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ยังไม่ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมือง
หลูยางยิ้มถาม “ฉวยโอกาสตอนที่ยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งชั่วยามก่อนประชุมเช้า ข้าสามารถไปเดินเที่ยวชมหน่วยฉงเสวียนตำหนักนภากาศกับท่านอาจารย์ได้หรือไม่?”
ไม่ได้คิดจะหยั่งเชิงอะไร ยิ่งไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจอีกฝ่าย หลูยางเป็นแค่จักรพรรดิของหนึ่งแคว้น เป็นเจ้าเหนือหัวของปวงประชา ทว่าสำหรับเรื่องอย่างการทะยานเมฆขี่หมอกนั้น เขาก็ยังใฝ่หาอยู่หลายส่วน
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เสียมารยาทแล้ว”
อิ่นกวานหนุ่มพูดยังไม่ทันขาดคำ หลูยางก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าตนแค่กระพริบตาทีเดียวก็ได้ย้ายสถานที่แล้ว มาอยู่ในสถานที่ที่พบหน้ากันคราวก่อน ไม่ได้ทะยานเมฆขี่หมอกอย่างที่เทพเซียนทำเลย ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกล่องลอยเบาหวิวที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าสักนิด
เฉินผิงอันยืนเคียงบ่าอยู่กับหลูยาง เพียงไม่นานก็มีเจินเหรินผู้เฒ่าปรากฏตัวและมาที่หน่วยฉงเสวียน ก็คือหยางชิงข่งผู้เป็นราชครู เจินเหรินผู้เฒ่าถือแส้ปัดฝุ่นหางกวางด้ามหยกขาว แกะสลักสองคำว่า ‘เทพวาโย’
เฉินผิงอันทำบ่อยจนเกิดเป็นความชำนาญ เขาเอ่ยขออภัยเทียนจวินลัทธิเต๋าท่านนี้ หยางชิงข่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ผินเต้าจะถือว่าปล่อยดวงจิตออกมาท่องเที่ยวครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”
หยางชิงข่งคำนับฮ่องเต้ตามขนบลัทธิเต๋า “คารวะฝ่าบาท”
หลูยางไพล่สองมือไว้ข้างหลัง ผงกศีรษะให้กับราชครู ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “กว่าเหรินก็แค่มาร่วมวงความครึกครื้น ราชครูก็ถือเสียว่ากว่าเหรินไม่ได้อยู่ด้วยก็แล้วกัน”
หากจะบอกว่าหน่วยฉงเสวียนคือองค์กรในวงการขุนนางที่ราชสำนักต้าหยวนก่อตั้งขึ้น ถ้าอย่างนั้นตำหนักนภากาศก็เหมือนกับภูเขามังกรพยัคฆ์ ต่างก็เป็นจื่อซุนฉงหลิน (รูปแบบการจัดการองค์กรรูปแบบหนึ่งของอารามเต๋า) แม้ว่าราชสำนักต้าหยวนจะก่อตั้งที่ว่าการลัทธิเต๋าแห่งหนึ่งไว้ที่นี่ แต่อันที่จริงกลับเป็นแค่ของตกแต่งอย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรเต้ากวานน้อยใหญ่หากไม่แซ่หยางก็ได้รับหนังสือรับรองการออกบวชจากตำหนักนภากาศ
แม้ว่านักพรตของตำหนักนภากาศจะไม่ใช่เทพวารี ทว่าราชครูหยางท่านนี้กลับมีทั้งกลิ่นอายเต๋าและโชคชะตาน้ำเข้มข้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ตั้งศาลของซือถูจีสุ่ยเจิ้งแห่งศาลตอนบนของลำน้ำใหญ่ที่ยังไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นกงโหวก็ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วย
คนทั้งสามต่างก็นั่งลงบนม้านั่งหินใต้ต้นไม้ อันที่จริงก็คือตำแหน่งที่นั่งกันคราวก่อน เมื่อได้ยินการค้าที่เฉินผิงอันคิดจะทำ หยางชิงข่งก็คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “พูดถึงแค่คุณความชอบที่นำมาส่งให้ถึงที่ส่วนนี้ หากว่าผินเต้ายังมีความยอกแสลงใจอีกก็เท่ากับว่าฝึกตนได้ไม่มากพอ อีกทั้งยังจิตใจก็ไม่เพียงพอแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!