ตอน บทที่ 928.2 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (แปด) จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 928.2 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (แปด) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ส่งฮ่องเต้สกุลหลูกลับห้องทรงพระอักษรในเมืองหลวงแล้ว เฉินผิงอันก็ไปเยือนศาลลำคลองเหยาเย่ ไปพบกับพ่อปู่ลำคลองที่ชื่อว่าเซวียหยวนเซิ่งอีกครั้ง
ครั้งแรกที่เดินทางมาเที่ยวเยือนอุตรกุรุทวีป หลังจากที่เฉินผิงอันออกมาจากนครปี้ฮว่าก็เป็นพ่อปู่ลำคลองที่ชอบถ่อเรือผู้นี้ที่เป็นคนพายเรือพาตนไปส่งรอบหนึ่ง
เซวียหยวนเซิ่งยังคงเหมือนเดิม คือผู้เฒ่าผิวดำเกรียมเหมือนชาวนาอายุมากคนหนึ่งที่หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินอยู่ตลอดทั้งปี
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันในเวลานั้นกลับแต่งกายด้วยการสวมงอบห้อยกาเหล้าโดยสารเรือข้ามแม่น้ำ
หลังจากแน่ใจในตัวตนของเฉินผิงอันแล้ว ผู้เฒ่าผู้เป็นพ่อปู่ลำคลองก็จุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่กล้าเชื่อเลยว่าศาลเล็กๆ ของตัวเองจะเคยรับรองควันธูปของใต้เท้าอิ่นกวานมาก่อน”
ปีนั้นเซวียหยวนเซิ่งเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเจอกับเจ้าโง่ที่ไม่เข้าใจเรื่องทางโลกคนหนึ่ง
ถึงกับปล่อยให้โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าเช่นนั้นหลุดลอดผ่านร่องนิ้วของตัวเองไป สุดท้ายคลาดกับโอกาสที่จะถูกเทพหญิงฉีลู่ของนครปี้ฮว่ารับเป็นนาย
เซวียหยวนเซิ่งกับเซียนกระบี่ชุดเขียวเดินออกมาจากศาล เดินเล่นไปริมลำคลองด้วยกัน ยากจะจินตนาการได้ว่าผู้เฒ่าที่ร่างทองไม่ด้อยไปกว่าเทพวารีของแม่น้ำใหญ่ผู้นี้ ทุกวันนี้จะยังคงเป็นพ่อปู่ลำคลองของศาลเถื่อนที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนัก
เซวียหยวนเซิ่งชี้ไปยังมุมหนึ่งของลำคลอง ยิ้มเอ่ยว่า “ปีนั้นแม่นางน้อยแซ่เผยก็มาฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่นี่ พลานุภาพยิ่งใหญ่น่าตกใจ ดีนักนะ นี่เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่ปี ทุกวันนี้ก็ต้องเรียกนางว่าปรมาจารย์ใหญ่เผยแล้ว”
หลังจากที่ภูเขาลั่วพั่วเข้าร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยง เรื่องนี้ก็กลายมาเป็นหัวข้อพูดคุยที่ไม่เล็กบนโต๊ะสุราของเซวียหยวนเซิ่งกับพวกสหายเก่าแก่ทั้งหลาย
อาจารย์ผู้เฒ่าเคยยืนนิ่งไม่ขยับรับหนึ่งหมัดจากการฝ่าทะลุขอบเขตของปรมาจารย์ใหญ่เผยผู้นั้น
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าไม่ตีกันไม่รู้จักกันในยุทธภพกระมัง อาจารย์ผู้เฒ่าถ่อเรือพานางข้ามแม่น้ำ พูดคุยกันอย่างถูกคอมาก
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ
ตอนนั้นโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตของเผยเฉียนอยู่ที่การต่อสู้ระหว่างหลักการเหตุผลในใจนางกับหลักการเหตุผลบนโลก
เฉินผิงอันเคยสอบถามถึงเรื่องราวน้อยใหญ่ระหว่างที่ท่องผ่านขุนเขาสายน้ำร่วมกับเผยเฉียนจากหลี่ไหวอย่างละเอียดมาก่อน
แม่นางน้อยเติบใหญ่แล้ว กลายเป็นเด็กสาว แล้วจึงกลายมาเป็นหญิงสาว ก็น่าจะมีเรื่องบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้ในใจ
ต่อให้เฉินผิงอันจะเป็นอาจารย์ของนางก็ยังไม่สะดวกจะถามมากนัก
เซวียหยวนเซิ่งนั่งยองตามความเคยชิน หยิบดินขึ้นมาปั้น หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “ปีนั้นเจ้าคิดอย่างไรกันแน่ โชควาสนาที่คนอื่นอยากได้มาครอบครองแทบตาย แต่เจ้ากลับอยากหลบให้พ้นใจจะขาด แรกเริ่มข้าเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเป็นตอไม้ที่ไม่เข้าใจเรื่องความรัก หรือไม่ก็เป็นเจ้าโง่ที่สมองไม่สมประดี มิฉะนั้นก็อธิบายเรื่องนี้ไม่ได้เลยจริงๆ ตอนนี้มานึกดู คนผู้หนึ่งที่กลายเป็นเซียนกระบี่ เป็นอิ่นกวานได้ จะเป็นคนโง่ได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นปีนั้นเจ้าก็ต้องแกล้งโง่แน่”
เฉินผิงอันนั่งลงริมฝั่งง่ายๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “ตอนนั้นข้าแกล้งโง่จริงๆ แต่ก็กลัวจริงๆ ด้วยนั่นแหละ”
เซวียหยวนเซิ่งหัวเราะ “เทพหญิงฉีลู่ผู้นั้นสูงส่งนัก มีแต่นางที่ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา ผลคือไม่รู้ว่าคนจากต่างถิ่นโผล่มาจากที่ใด ปีนั้นนางถูกเจ้าทำให้โมโหเกือบตายแล้ว หากได้ยินคำพูดทุเรศประโยคนี้ของเจ้าอีกคงต้องถูกเจ้าทำให้โมโหปางตายอีกหน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็แค่ต่างคนต่างมีสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ ไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำอะไร”
พ่อปู่ลำคลองแอบนินทาในใจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน น่าประหลาดนัก ดูเหมือนว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่อยู่ข้างกายผู้นี้ ปีนั้นเคยเดินทางผ่านมารอบหนึ่ง เทพหญิงแปดท่านที่เป็นภาพสีสันในนครปี้ฮว่าอย่างชุนกวาน เป่าไก้ หลิงจือ จ่างฉิง เซียนจั้ง ฉีลู่ สิงอวี่ กว้าเยี่ยน ต่างก็กลายมาเป็นภาพลายเส้นขาวดำกันหมด แน่นอนว่าห้าท่านแรกได้ออกไปจากนครปี้ฮว่ากันนานแล้ว บ้างเป็นบ้างตาย ต่างคนต่างมีโชควาสนากระมัง
แต่ใต้เท้าอิ่นกวานผู้นี้จะถือว่าเป็นคนสุดท้ายที่คอยนั่งชมอยู่ด้านข้างหรือไม่?
เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นออกมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก นี่ก็คือการแสร้งดื่มเหล้าของจริงที่จริงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ภาพวาดฝาผนังลงสีสันที่เหลือเพียงสามภาพในปีนั้น เทพหญิงฉีลู่ นางเคยถูกคนต่างถิ่นอายุน้อยบางคนทำให้เสียใจอย่างสุดแสน เพียงแต่ว่าภายใต้โชควาสนาอำนวยจึงหันไปสวามิภักดิ์กับเจ้าสำนักชิงเหลียงที่จิตแห่งมรรคาสอดคล้องต้องกันอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียง ส่วนเทพหญิงสิงอวี่ที่เชี่ยวชาญวิชาหมากล้อม มีนามว่าซูสื่อ ก็ได้มีสัญญาหกสิบปีร่วมกับผู้ฝึกตนหนุ่มที่ในมือถือป้ายหยกโบราณ คุกเข่าโขกหัวจนกระทั่งกระดูกหน้าผากปริออกมา จากนั้นนางถึงจะไปขอรับโทษจาก ‘หลี่หลิ่ว’
ส่วนเทพหญิงกว้าเยี่ยนก็ได้ติดตามเจ้านายไปยังหลิวเสียทวีป ก่อนจะออกไปจากชายหาดโครงกระดูกนางได้ไปเยือนหุบเขาผีร้ายมารอบหนึ่ง เก็บบ่อสายฟ้าขนาดจิ๋วของภูเขาจีเซียวมาไว้ในกระเป๋าของตัวเอง
และเจ้านายที่นางยอมรับก็คือเจ้านครของนครหรงเม่าที่อยู่บนเรือราตรี เส้าเป่าเจวี้ยน
ทุกครั้งที่เฉินผิงอันคิดถึงเรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน ปีนั้นข้าผู้อาวุโสอาศัยความสามารถขุดเอาแส้สายฟ้าจากภูเขาจีเซียวมาได้แค่ไม่กี่เส้นเท่านั้น ไปเกิดความขัดแย้งบนมหามรรคากับเจ้าได้อย่างไร? มหามรรคาบ้านเจ้าคือทางเส้นเล็กริมคันนาอย่างนั้นหรือ? ต่อให้เป็นทางเส้นเล็กริมคันนาก็ยังดี ต่างคนต่างเบี่ยงตัวเดินหลบกันก็เดินสวนไหล่ผ่านกันไปได้แล้ว จากนั้นต่างคนก็ต่างเดินหน้าไปสิ
เซวียหยวนเซิ่งถามอย่างใคร่รู้ “นี่อยู่ในความฝันของใต้เท้าอิ่นกวานหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เซวียหยวนเซิ่งทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ?! ฝึกตนประสบความสำเร็จมากแล้วจริงๆ คำว่าจากลาสามวันต้องหันมามองกันเสียใหม่ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ”
“แค่ใช้วิธีเล่นเหลี่ยมเอาเท่านั้น”
“บัณฑิตอย่างพวกเจ้าพูดจารัดกุมน้ำไม่ไหลสักหยดจริงๆ”
“ก็มีค่าแค่เงินแปดเฉียนเท่านั้นเอง”
เซวียหยวนเซิ่งอึ้งตะลึง จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ว่ามาเถอะ ครั้งนี้มาหาข้าด้วยเรื่องอะไร”
พอได้รับคำตอบจากเฉินผิงอัน เซวียหยวนเซิ่งก็ขมวดคิ้ว “เพื่ออะไร? คุ้มค่าหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คำถามประเภทนี้ ใครก็ถามได้ มีเพียงอาจารย์เซวียที่ถามแล้วเกินความจำเป็น”
หากทำเพื่อความคุ้มค่า ระดับความสูงของร่างทองของเซวียหยวนเซิ่งในทุกวันนี้ อย่างน้อยก็สามารถเพิ่มสูงขึ้นได้อีกห้าเท่า
หากเป็นเช่นนี้ ด้วยการแต่งตั้งลำน้ำใหญ่ในทุกวันนี้ เซวียหยวนเซิ่งก็ถือว่ามีคุณสมบัติมากพอเหลือแหล่ที่จะเข้าเสริมตำแหน่งสุ่ยเจิ้งของศาลลำน้ำที่ว่างอยู่ได้แล้ว
เซวียหยวนเซิ่งยกสองมือขึ้นขยี้ใบหน้าอย่างแรง พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ ก็แค่ธูปหนึ่งดอกด้วยความจริงใจเท่านั้น ถือว่ากราบไหว้ความไม่คุ้มค่าในใจของเจ้าและข้านั้นก็แล้วกัน”
ทั้งสองฝ่ายคุยธุระกัน ต่างก็เป็นคนที่ตัดสินใจฉับไว จึงเป็นแค่เรื่องของการพูดคุยสองสามประโยคเท่านั้น
กลับเป็นตอนพูดถึงเผยเฉียนที่เหมือนกับเปิดกล่องบทสนทนา คนหนึ่งยินดีพูดเยอะ อีกคนก็ยินดีจะฟังเรื่องพวกนี้ ตัดใจจะจากไปไม่ได้
เซวียหยวนเซิ่งเล่าว่าไม่อาจเอาแม่นางน้อยหน้าเงินในปีนั้นมาเชื่อมโยงเข้ากับ ‘เจิ้งซาเฉียน’ และ ‘เผยเฉียน’ ในภายหลังได้อย่างไร
เซวียหยวนเซิ่งถอนหายใจ “แค่ประโยคนี้ของเจ้าก็พอแล้ว เทียบกับการเป็นเทพวารีที่ตำแหน่งเทพสูงส่งแล้วยังสบายใจกว่ากันมาก”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “พ่อปู่ลำคลองเซวีย หากท่านเป็นพ่อปู่ลำคลองของศาลเถื่อนไปตลอด บางทีอาจพลาดโอกาสที่ไม่เล็กไป”
เซวียหยวนเซิ่งยื่นมือมาตบไหล่คนหนุ่ม ยิ้มกล่าว “เฉินผิงอัน น้ำใจนี้ข้ารับไว้แล้ว เจ้าไปทำธุระต่อเถอะ เร่งเดินทางสำคัญกว่า”
เฉินผิงอันพยักหน้า
เซวียหยวนเซิ่งลุกขึ้นยืน ยิ้มถามว่า “หลายปีมานี้คงไม่ค่อยง่ายเลยสินะ?”
“พูดไปพูดมา อันที่จริงก็ง่ายมาก ก็หนีไม่พ้นว่า…”
เฉินผิงอันหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “คนทำเรื่อง เรื่องสอนคน”
เซวียหยวนเซิ่งพยักหน้าเอ่ย “ดูเหมือนว่าต่อให้พูดจนฟ้าทะลุก็ยังคงเป็นเหตุผลข้อนี้นั่นเอง”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มสดใส กุมหมัดอำลา
เซวียหยวนเซิ่งกุมหมัดกลับคืนเงียบๆ
กระทั่งวันนี้พ่อปู่ลำคลองถึงเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้แล้วกำแพงเมืองปราณกระบี่กับอิ่นกวานต่างก็มีความสำเร็จร่วมกัน ต่างก็ไม่ทรยศกันและกัน
……
จวนหลิงหยวนกงลำคลองจี้ตู๋
ยามฟ้าสาง กลุ่มสตรีที่ตอนนี้ยังไม่ต้องไปขานชื่อเข้างานที่โถงกลางมารวมตัวคุยเล่นกันอยู่ในระเบียงทางเดินแห่งหนึ่ง เนื่องจากไม่ถือว่าเป็น ‘ทางหลวง’ ของจวนน้ำ จึงถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีคนนอกเดินผ่านที่แห่งนี้ พวกนางจึงไม่ต้องพิถีพิถันในเรื่องมารยาทพิธีการมากนัก สถานะของพวกนางส่วนใหญ่คือขุนนางหญิงในกองตรวจสอบย้อนและกองแบ่งเขตของจวนน้ำ ฝ่ายแรกรับหน้าที่กำหนดเขตแดนของต้นกำเนิดสายน้ำน้อยใหญ่ รวมไปถึงปกป้องต้นกำเนิดสายน้ำพวกนี้ไม่ให้ถูกมนุษย์ธรรมดาล่วงล้ำเข้ามาทำเรื่องที่ผิดกฎ ส่วนหน้าที่ของฝ่ายหลังค่อนข้างคล้ายคลึงกับตี้ซือแห่งกองโหราศาสตร์ กำหนดขอบเขตแบ่งแยกให้ชัดเจน ทุกๆ ระยะเวลาที่กำหนดจะต้องคอยไปตรวจตราเส้นชายแดนของลำธารลำคลองแม่น้ำทะเลสาบทั้งหมด เฝ้าพิทักษ์ศิลาแบ่งเขตของในแต่ละพื้นที่ ทั้งสองสถานที่นี้ต่างก็เป็นที่ว่าการน้ำใสสมชื่อ อำนาจน้อย ไร้ค่าน้ำร้อนน้ำชา เวลาปกติก็มีเรื่องให้ทำน้อยเช่นกัน
สตรีเหล่านี้หากไม่ใช่เซียนน้ำหรือผีพรายของตำหนักวารีหนันซวินเก่าก็คือผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยที่เพิ่งมาอยู่ในจวนน้ำได้แค่ไม่กี่ปี ส่วนใหญ่ยังมีความอ่อนเยาว์อยู่มาก นิสัยก็ร่าเริง ยังไม่ถูกลับเหลี่ยมคมอย่างเต็มที่ พอมาอยู่ด้วยกันก็ชวนกันคุยเสียงดังเจื้อยแจ้ว ครึกครื้นอย่างมาก หากเป็นบริเวณใกล้เคียงกับห้องทำงานของที่ว่าการที่สำคัญอย่างพวกกองตรวจสอบหรือกองให้รางวัลและลงโทษจะไม่มีทางได้เห็นทัศนียภาพงดงามชวนเคลิบเคลิ้มเช่นนี้แน่นอน
มีเด็กสาวคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชั้นสูงของราชวงศ์ต้าจ้วนอดไม่ไหวถามว่า “หากอิงตามการอธิบายตัวอักษรของอาจารย์สวี่ อักษรคำว่าตู๋หมายถึงคูน้ำเล็กๆ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นแค่ร่องน้ำเล็กๆ สายหนึ่งเท่านั้นเองน่ะสิ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ขุนนางหญิงที่มาจากกองแบ่งเขตของจวนวารีหนันซวินพยักหน้ายิ้มเอ่ย “อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็มีบทฝึกตนที่กล่าวไว้ว่า ‘ต้นกำเนิดน้ำถูกอุดกั้น เปิดเป็นร่องคู ต่อให้เป็นแม่น้ำใหญ่ก็ยังแห้งขอดได้’ นี่แสดงให้เห็นว่าอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งของพวกเราเห็นว่าคำว่า ‘ตู๋’ นี้จะต้องเล็กกว่าแม่น้ำลำคลอง นี่ก็เป็นการยืนยันคำกล่าวของอาจารย์สวี่แล้ว ส่วนคำว่าตู๋นี้กลายมาเป็นลำน้ำใหญ่ได้อย่างไร เมื่อก่อนข้าเคยทำงานในหน่วยเอกสารของจวนวารี เคยอ่านเกร็ดพงศาวดารของทางการมาหลายเล่ม ดูเหมือนว่าจะไม่มีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรนะ”
แล้วก็มีตัวอ่อนด้านการฝึกตนที่มีชาติกำเนิดจากกลุ่มชาวบ้านคนหนึ่งถามอย่างขลาดๆ ว่า “ทำไมถึงเป็นอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งของ ‘พวกเรา’ ได้เล่า?”
แน่นอนว่านางต้องรู้จักอาจารย์ผู้เฒ่าที่ได้ตำแหน่งเทพในศาลบุ๋นกลับมาใหม่ผู้นั้น เพียงแต่เหวินเซิ่งไม่ได้เป็นคนของแผ่นดินกลางหรือ?
น่านน้ำของจี้ตู๋แบ่งหนึ่งออกเป็นสอง อาณาบริเวณก็ยังคงกว้างใหญ่ ราชวงศ์และแคว้นเล็กใต้อาณัติมากมายที่อยู่ในการปกครองของจวนหลิงหยวนกงมีเกือบแปดสิบแห่ง เหมือนอย่างราชวงศ์ต้าจวนที่ตั้งอยู่ใกล้กับปากทางลำน้ำจี้ตู๋ไหลลงมหาสมุทร เมื่อหลายปีก่อนก็ได้มีการออกคำสั่งอย่างหนึ่ง ทั้งคนสกุลโจวในท้องถิ่นของต้าจ้วนและแคว้นใต้อาณัติอีกสิบกว่าแห่งจึงได้พากัน ‘ส่งบรรณาการ’ ตัวอ่อนด้านการฝึกตนเกือบห้าสิบคนมาให้จวนวารีในรวดเดียว นอกจากนี้ยังมีรายชื่อเสริมที่ได้รับร่มเงาบรรพบุรุษเหมือนกับวงการขุนนาง ถือว่าได้เดินเข้าประตูหลังมาฝึกตนในจวนวารี อันที่จริงก็คือวิธีการที่ต้องทุ่มเงินทองของพวกลูกหลานตระกูลคนรวยนั่นเอง เท่ากับว่าได้สถานะทำเนียบของจวนวารีลำน้ำใหญ่มาเปล่าๆ ชายหญิงกลุ่มนี้ไม่ว่าภายในสิบปีจะฝึกตนประสบความสำเร็จหรือไม่ จะอยู่หรือจะไป หรือสุดท้ายจะถูกส่งกลับบ้านเกิดก็ล้วนมีอนาคตรออยู่
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!