สรุปเนื้อหา บทที่ 928.6 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (แปด) – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 928.6 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (แปด) ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ส่วนเจ้าแห่งคูน้ำที่ทำเรื่องให้สำเร็จได้ไม่ดี ดีแต่จะทำให้เสียเรื่องผู้นั้นก็อย่าไปพูดถึงเลยดีกว่า ถึงอย่างไรตนกับเซียนกระบี่เฉิน ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ไส้รู้พุงกันดีอยู่แล้ว
แต่จะว่าไปแล้วก็แปลก ศาลสุ่ยเซียนสองแห่งในอดีต แห่งหนึ่งคล้ายตระกูลสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วัน มีแขกมีสหายมาเยี่ยมหานั่งกันเต็มท้องโถงอยู่ตลอดทั้งปี อีกแห่งหนึ่งกลับเหมือนตระกูลตกอับที่อนาถจนอนาถไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แม้แต่เทวรูปลงสีในศาลก็ยังมิอาจแบกรับร่างทองของเจ้าแห่งคูน้ำเอาไว้ได้
กลับกลายเป็นว่าหญิงโง่ที่สมองไม่ค่อยพอใช้ผู้นี้ที่ถือว่าเป็นคนผู้เดียวที่ได้รับโชคหลังเคราะห์ร้ายในบรรดาสุ่ยเซียนและเทพแห่งลำคลองมากมายของทะเลสาบชางอวิ๋น ทุกวันนี้ร่ำรวยได้ดิบได้ดีแล้ว ศาลสุ่ยเซียนถูกซ่อมแซมจนเหมือนใหม่ เทวรูปที่มีสีสันสามองค์ซึ่งกระดำกระด่างไม่น่ามองต่างก็ได้รับการทาสีลงเส้นทองเสียใหม่
กลับเป็นเจ้าแห่งคูนำจ่าวซีในอดีตที่มีหน้ามีตาอย่างไร้ที่สุด ปีนั้นท่ามกลางคลื่นมรสุมกลับเป็นคนแรกที่อยู่ดีๆ นึกจะหายก็หายไปทั้งอย่างนั้น
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ข้าย่อมเชื่อใจอินหูจวิน”
ก่อนจะเดินทางไปยังวังมังกรก็ได้ไปดูภาพบรรยากาศขุนเขาสายน้ำของศาลใหม่เอี่ยมแห่งนั้นมาก่อนแล้ว หลังจากที่เปลี่ยนเจ้าของคนใหม่ บรรยากาศก็ไม่เหมือนเดิมจริงๆ ยังคงแขวนกรอบป้ายคำว่า ‘น้ำใสไหลยาว’ โชคดีที่ปีนั้นตนขัดขวางตู้อวี๋ไว้อย่างสุดความสามารถ แนะนำเขาว่าอย่าเห็นเงินอยู่ในสายตามากเกินไป เป็นคนต้องเหลือที่ว่างไว้สักเสี้ยวเพื่อที่วันหน้าจะยังมองหน้ากันได้ใหม่…ไม่อย่างนั้นคาดว่ากรอบป้ายของศาลแห่งนั้นก็คงผลัดเปลี่ยนตำแหน่งไปนานแล้ว
ลำธารจ่าวซีในทุกวันนี้ ใต้น้ำมีพืชน้ำถือกำเนิด ทุกกิ่งก้านล้วนยาวหลายจั้ง งดงามดุจหางหงส์ น้ำในลำธารใสกระจ่างมองเห็นก้นบึ้ง ล่องลอยพลิ้วไสวน่ารักน่ามองไปตามสายน้ำ
และลำธารที่อยู่ข้างเส้นทางใต้ฝ่าเท้าเส้นนี้ แม้จะบอกว่ามิอาจเทียบเคียงกับซีจ่าวได้ แต่ก็ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงมหาศาล ทั้งสองฝากฝั่งไม่ได้มีสภาพอึมครึมที่พืชหญ้ารกเรื้ออีกต่อไป เส้นทางที่ปูมาจากหินไข่ห่านราบเรียบทั้งยังสะอาดสะอ้าน รถม้าคันหนึ่งสามารถแล่นผ่านได้สบายๆ ปีนั้นศาลเจ้าแห่งคูน้ำที่ห่างจากตลาดแค่ระยะทางภูเขาไม่กี่สิบลี้กลับอยู่ในสภาพที่ควันธูปกระจัดกระจาย เป็นเหตุให้แม้แต่เทวรูปที่อยู่ในศาลก็ยังมิอาจแบกรับแสงเทพไว้ได้ จวนวารีได้แต่รื้อตะวันออกมาซ่อมตะวันตกอยู่ทุกปี คอยติดหนี้จากคนอื่นเสมอ ต่างก็พูดกันว่ามียืมมีคืน ยืมอีกก็ไม่ยาก บัญชีเก่านานปีที่นางสะสมไว้มีมากมาย ทว่าก็ยังไม่อาจยืมควันธูปมาได้มากพอ ก็ถือว่านางมีความสามารถแล้ว
เฉินผิงอันถาม “ถ้วยเลี่ยนเยี่ยนใบนั้นของนางมาจากสำนักชิงเต๋อใช่หรือไม่?”
อินโหวพยักหน้า “เซียนกระบี่เฉินสายตาดียิ่งนัก ของสิ่งนี้คือหนึ่งในเครื่องใช้ในงานพิธีกรรมของสำนักชิงเต๋อแห่งลัทธิเต๋าในอดีต”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ผลคือถูกเหนียงเนียงเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้เอามาใส่น้ำแกงล่อลวงวิญญาณที่แฝงโชคดอกท้อเอาไว้?”
สีหน้าของอินโหวกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
ไปถึงนอกศาลสุ่ยเซียนก็แค่เดินผ่านไม่ได้เข้าไปข้างใน เฉินผิงอันพาอินโหวหดย่อพื้นที่ไปด้วยกัน พริบตาเดียวทั้งสองฝ่ายก็มาถึงเส้นทางหินเก่าแก่ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบชางอวิ๋นเส้นนั้น
เฉินผิงอันเดินเท้าอยู่บนภูเขา ถามว่า “ตามบันทึกในแผนที่ของอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น ดูเหมือนว่าที่นี่จะชื่อว่าภูเขาต่าสือ ใกล้เคียงนี้ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่าเที่ยวเจียนเหว่ย?”
อินโหวยิ่งไม่แน่ใจว่าไอ้หมอนี่คิดจะทำอะไรกันแน่ ได้แต่พยักหน้าเอ่ยว่า “เซียนกระบี่เฉินไม่สมกับเป็นผู้สูงศักดิ์ที่มักจะลืมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลยจริงๆ”
ในมือของเฉินผิงอันมีไม้เท้าเดินป่าเพิ่มมาอันหนึ่ง เขาใช้มันจิ้มพื้นเบาๆ เอ่ยสัพยอกว่า “เรื่องอย่างการประจบสอพลอนี้ ไม่เหมาะกับอินหูจวินจริงๆ ต่อจากนี้พวกเราสองคนก็อย่าพูดให้อึดอัดใจกันอีกเลย”
เดินขึ้นไปบนยอดเขา เฉินผิงอันหลุบตาลงมองรอบด้าน สามารถมองเห็นน้ำตกกระบี่ขาวที่อยู่ห่างไปไกล น้ำเป็นสีขาวลักษณะคล้ายกระบี่ห้อยกลับหัว
บริเวณใกล้เคียงมีภูเขาแห่งหนึ่งที่มีดินสำหรับเผาเครื่องปั้นอุดมสมบูรณ์ เมื่อเอาไปเผาออกมาเป็นเครื่องปั้นก็สามารถนำลงเรือเลียบไปตามลำธารจ่าวซี ใช้เส้นทางน้ำนำไปขายให้กับสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ห่างไปไกล
อินโหวถามหยั่งเชิง “เซียนกระบี่เฉินไปที่สำนักสั่วอวิ๋นมาแล้วใช่หรือไม่?”
การถามกระบี่ที่ครึกโครมขนาดนั้น ได้แพร่กระจายไปทั่วอุตรกุรุทวีปอย่างดุเดือดนานแล้ว
หลิวจิ่งหลงเจ้าสำนักหนุ่มแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยกับเซียนกระบี่ไม่ทราบชื่อแซ่เฉินเดินขึ้นเขาไปยังยอดเขาหย่างอวิ๋นด้วยกัน รื้อถอนศาลบรรพจารย์ของสำนักที่รากฐานลึกล้ำแห่งหนึ่ง
ต่อให้เซียนเหรินเว่ยจิ่งชุ่ยเรียกกระจกเปินเยว่ที่เป็นสมบัติก้นกรุออกมาก็ยังไม่อาจรับการถามกระบี่ครั้งนั้นของหลิวจิ่งหลงเอาไว้ได้ ทุกวันนี้ก็ต้องปิดด่านรักษาบาดแผลแต่โดยดีแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ผ่านไปไม่นานนักหยางแชว่เจ้าสำนักสั่วอวิ๋นได้ลงจากภูเขามาด้วยตัวเอง ถึงกับเป็นฝ่ายไปผูกมิตรกับสำนักกระบี่ไท่ฮุย อีกทั้งยังบอกว่าตัวเองคือภูเขาใต้อาณัติครึ่งแห่งอีกด้วย
เฉินผิงอันเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “เรื่องดีไม่ออกจากบ้าน เรื่องร้ายแพร่ไปไกลพันลี้”
อินโหวกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็พลันนึกถึงคำเตือนของเซียนกระบี่เฉินก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ จึงยั้งคำพูดเอาไว้ กลืนถ้อยคำที่ทำให้คนสะอิดสะเอียนจริงๆ ประโยคนั้นกลับลงท้องไปแต่โดยดี
อินโหวถามอีกว่า “แล้วศาลบรรพจารย์สำนักฉงหลินล่ะ?”
ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์สำนักฉงหลินก็มีความผิดปกติเกิดขึ้นเช่นกัน แต่ช้ากว่าสำนักสั่วอวิ๋นเล็กน้อย อีกทั้งเหตุการณ์ไม่ได้รุนแรงเท่า สำนักฉงหลินพยายามสุดกำลังเพื่อปกปิดเรื่องนี้ แต่ด้วยชื่อเสียงอันดีงามบนภูเขาในอุตรกุรุทวีปและการที่มีสหายไปทั่วขุนเขาสายน้ำของสำนักฉงหลิน จะไม่มีคนที่ช่วย ‘เอ่ยผดุงความเป็นธรรม’ ให้เลยได้อย่างไร?
แม้จะบอกว่าสรุปแล้วใครเป็นคนทำ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนา สิ่งเดียวที่พอจะมั่นใจได้ก็คือต้องเป็นการกระทำของเซียนกระบี่แน่นอน
ยกตัวอย่างเช่นทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็มีรายงานข่าวฉบับหนึ่งที่ใช้ถ้อยคำที่ทำให้ผู้ฝึกตนของทวีปอื่นปากอ้าตาค้าง แต่คนของอุตรกุรุทวีปกลับเคยชินกันอย่างมาก บอกว่าถึงแม้จะไม่มีคนยอมรับว่าตัวเองไปรื้อศาลบรรพจารย์สำนักฉงหลิน ถ้าอย่างนั้นทะเลสาบกระบี่ฝูผิงของพวกเราก็ได้แต่ถูกสาดน้ำสกปรก ในเมื่ออธิบายไปแล้วก็ยังอธิบายได้ไม่ชัดเจน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่อธิบายอีกแล้ว…
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าสำนักฉงหลินไม่เคยไปหาเรื่องทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมาก่อนนี่นา ถึงขั้นไม่เคยคิดสงสัยในตัวลี่ไฉ่ สาดน้ำสกปรกอะไรกัน เซียนกระบี่หญิงอย่างเจ้าสรุปแล้วกำลังอธิบายเรื่องอะไรอยู่กันแน่?
การที่อินโหวคิดแบบนี้ก็เพราะว่าตอนนั้นที่ตู้อวี๋มาเป็นแขกที่วังมังกรบ้านตน ได้พูดอย่างเปิดเผยว่าตัวเองไปมีเรื่องกับสำนักฉงหลิน
จากนั้นตู้อวี๋ออกจากทะเลสาบชางอวิ๋นไปได้ไม่กี่วัน สำนักฉงหลินก็เจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันคาดคิดนี้
ใต้หล้านี้มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้อยู่จริงหรือ?
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างขันๆ ปนฉุน “เรื่องนี้ก็เอามาคิดลงบนหัวข้าด้วยหรือ?”
หลิวจิ่งหลง หรงช่างและหลิ่วจื้อชิงร่วมมือกัน เรื่องที่เจ้าคนพวกนี้สมคบคิดกันทำ เกี่ยวผายลมอะไรกับข้าด้วย
เฉินผิงอันหันไปมองทางศาลจ่าวซี
เคยมีเด็กหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงชายคา ตรงเอวรัดขลุ่ยไผ่สีออกเหลืองไว้เลาหนึ่ง คือเหอลู่แห่งนครหวงเยว่กับเยี่ยนชิงแห่งดินแดนเซียนเป่าต้ง คือกุมารทองกุมารีหยกของบนภูเขา
เหอลู่ เยี่ยนชิง นั่งคู่สุราเคียงบทเพลงกังวาน ชีวิตคนแสนสั้นมีจำกัด น้ำค้างยามเช้าเพียงพริบตาก็สลายหายไป เวลาที่สูญเสียไปช่างมากมายเหลือเกิน (ในประโยคมีคำว่าเหอและคำว่าลู่อยู่)
มหาสมุทรนิ่งสงบ (ไห่เยี่ยนชิงผิง) ล้วนเป็นชื่อดี แต่พอเอามารวมกันกลับคล้าย…คำทำนายประโยคหนึ่ง?
เด็กเก้าคนที่ตนพาออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ในภายหลังก็มีเจ้าอ้วนน้อยเฉิงเฉาลู่กับเหอกู
เป็นทั้ง ‘โชคดีที่ได้ปลอดภัย ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง คนอื่นมีโทษทัณฑ์ใด (เหอกู) กลับต้องเหมือนน้ำค้างที่เจอแสงตะวันสาดส่อง (เฉาลู่) เพียงคนเดียวก่อนใคร’ แล้วก็เป็นทั้ง ‘โลกอันผาสุก กฎหมายดุจน้ำค้างยามเช้า บริสุทธิ์ไม่จางหาย’
นี่ก็คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าไม่มีความบังเอิญก็ไม่อาจกลายเป็นตำราได้กระมัง
เฉินผิงอันคืนสติ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ทะเลสาบชางอวิ๋นไม่ได้ซ้ำเติมตู้อวี๋ กลับกันยังทำเรื่องที่พอจะทำได้ อินหูจวินมีคุณธรรมยิ่งนัก”
รอยยิ้มของอินโหวฝืดฝืน อันที่จริงฟังแล้วก็ไม่เหมือนคำพูดดีๆ อะไรเลย
แต่ก็คิดเสียว่าเป็นคำพูดที่ดีก็แล้วกัน
อินโหวใช้เสียงในใจถามว่า “ขอทราบนามที่แท้จริงของเซียนกระบี่เฉินได้หรือไม่?”
ตนต้องคอยอกสั่นขวัญผวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลย
เซียนกระบี่ชุดเขียวถึงกับบอกชื่อจริงและภูมิลำเนาให้เขารู้อย่างที่ไม่คาดฝัน
“นามจริงเฉินผิงอัน มาจากถ้ำสวรรค์หลีจู”
อินโหวตกตะลึงจนตะลึงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ขนลุกตั้งชัน ทะเลสาบหัวใจเหมือนมีคลื่นยักษ์ถาโถม กลืนน้ำลายเอื้อก ถามอึกๆ อักๆ แทบฟังไม่เป็นประโยค “อาจารย์เฉินคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งหรือ?”
อินโหวจงใจไม่พูดถึงสถานะอีกอย่างหนึ่งที่น่าตะลึงพรึงเพริดมากกว่า
เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ทัน พยักหน้ารับ “ย่อมต้องใช่”
เจ้าอินโหวผู้นี้กำลังเตือนตนอยู่หรือไรว่าเจ้าเฉินผิงอันเป็นถึงลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ เป็นคนของระบบสายบุ๋น คือบัณฑิตคนหนึ่ง คืออาจารย์น้อย อย่าได้เอะอะก็ฆ่าแกงกันให้ผิดต่อภาพลักษณ์อันสุภาพอ่อนโยน?
ผู้ฝึกตน หากคิดจะบรรลุมรรคา ไม่ว่าคุณสมบัติจะดีหรือร้าย เว้นเสียจากกรณีพิเศษที่มีน้อยมาก คิดดูแล้วก็หนีไม่พ้นคำว่ามานะพยายามแล้ว
ตอนนี้ฉิวตู๋กำลังนั่งเข้าฌาน พอลืมตาขึ้นมาก็รีบลุกขึ้นคารวะ “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
หลังจากนั้นออกมาจากภูเขาเซียนตู เฉินผิงอันก็ไปที่ตำหนักปี้โหยวมารอบหนึ่ง ไปหาเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอ ไม่เหมือนคนจะไปคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน กลับกันยังได้กินบะหมี่เนื้อปลาจริงๆ มามื้อหนึ่ง โชคดีที่ไม่ใช่ปลาผักดอง
ยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนม้านั่งตัวยาว เหนียงเนียงเทพวารีม้วนบะหมี่คำใหญ่ขึ้นมา เป่าให้หายร้อน ถามว่า “อาจารย์น้อย เมื่อไหร่จะเรียกศิษย์พี่จวินเชี่ยนคนนั้นของท่านมาเป็นแขกด้วยกันที่นี่ล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”
หลิ่วโหรวทอดถอนใจเอ่ยว่า “ยิ่งนานวันอาจารย์น้อยก็ยิ่งกินเผ็ดได้เก่งแล้ว คราวหน้าข้าจะให้เหล่าหลิวเพิ่มพริกแห้งอีกสองกำมือ”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “ไม่ต้องจริงๆ”
“เกรงใจอะไรกัน อย่าว่าแต่สองกำมือเลย พริกแห้งหนึ่งกระบุงจะมีค่าสักกี่แดงกันเชียว”
“ไม่ใช่เรื่องของเงินเสียหน่อย”
ยอดเขาสิงโต
หลี่หลิ่วได้ยินคำขอร้องของเฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “โดยไม่ทันรู้ตัวอาจารย์เฉินก็เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่แบบนี้ดีมากแล้ว ก็แค่ธูปหนึ่งก้านเท่านั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไร อาจารย์เฉินคิดมากไปแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากจะขอร้องแค่เรื่องนี้ ข้าคงไม่มาหาเจ้าแล้ว จะเกี่ยวพันเป็นวงกว้างเกินไป”
มาหาหลี่หลิ่ว เพราะจะขอของแทนตัวชิ้นหนึ่ง ไปหาตั้นตั้นฮูหยินที่เป็นผู้ครองชะตาน้ำบนบก ตนจะได้เป็นจิ้งจอกอาศัยบารมีเสือ เพราะถึงอย่างไรหลุมน้ำลู่แห่งนั้นก็เคยเป็นสถานที่พักร้อนของหลี่หลิ่วมาก่อน
หลี่หลิ่วเอ่ยสัพยอก “จะไปหาจื้อกุยที่ชอบทำนิสัยเป็นเด็กๆ ด้วยหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “นางก็ช่างเถิด ในบรรดาสุ่ยจวินแห่งสี่มหาสมุทร ไปหาแค่หลี่เย่โหวคนเดียว”
ตั้นตั้นฮูหยินที่มีฉายาว่าชิงจงผู้นั้น พอเฉินผิงอันมาหาถึงบ้าน ทั้งสองฝ่ายก็คล้ายยืนกันอยู่บนเส้นชายแดนคนละเส้น แรกเริ่มนางยังเป็นกังวล วางท่าว่าอยากจะปฏิเสธ แต่หลักๆ แล้วยังกังวลว่าจะไม่ถูกหลักมารยาท แล้วจะต้องติดร่างแหเดือดร้อนที่ศาลบุ๋น
เจ้าเฉินผิงอันมีเหวินเซิ่งเป็นอาจารย์ แต่ข้ากลับไม่มี ที่ศาลบุ๋นไม่มีใครหนุนหลังให้ข้าสักคน น่าเวทนาอย่างมาก
เพียงแต่รอกระทั่งเฉินผิงอันหยิบของแทนตัวของหลี่หลิ่วชิ้นนั้นออกมา ตั้นตั้นฮูหยินก็ร้องปัดโธ่เอ้ยขึ้นมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม บอกว่าเรื่องเล็กแบบนี้ไหนเลยต้องให้อิ่นกวานมาเยือนเรือนอันซอมซ่อด้วยตัวเอง แค่ให้คนนำความมาบอกตนก็ได้แล้ว
ทางฝั่งของหลี่เย่โหวสุ่ยจวินแห่งทะเลทักษิณกลับตอบตกลงอย่างไม่อิดออด ถึงอย่างไรก็เป็นการค้าอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องบุญกุศลคุณความดี ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ ก็ยิ่งล้ำค่า นี่คือความรู้ที่ผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่มีเพียงหยิบมือรับรู้ร่วมกัน
เฉินผิงอันไม่ถือสา ใต้เท้าอิ่นกวานมือเติบใจกว้างไม่เห็นเป็นสำคัญ แต่หลี่เย่โหวกลับให้ความสำคัญอย่างยิ่ง หากบอกว่าหลังจบเรื่องทางศาลบุ๋นตามเอาเรื่องขึ้นมา ด้วยนิสัยของเฉินผิงอันต้องไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าวแน่นอน คิดดูแล้วเรื่องอย่างสหายตายข้าไม่ตาย อิ่นกวานหนุ่มไม่มีทางทำ อีกอย่างมีซิ่วไฉเฒ่าอยู่ที่ศาลบุ๋น ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่กลัว เรื่องทะเลาะซิ่วไฉเฒ่าไม่เคยแพ้ใคร ส่วนความสามารถและความมุ่งมั่นในการปกป้องคนของตัวเอง เหอๆ ในใต้หล้าไพศาลดูเหมือนว่าจะแข่งกับใครก็อย่ามาแข่งกับซิ่วไฉเฒ่าในเรื่องนี้
เพียงแต่ว่าก่อนที่เฉินผิงอันจะจากไป หลี่เย่โหวยังอดไม่ไหวถามอีกฝ่ายเรื่องหนึ่ง “ต่อให้เป็นการซ่อมแซมขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป ไยต้องรีบร้อนทำตอนนี้? รอให้ถึง…”
แต่คำว่า ‘รอให้ถึง’ ออกจากปากมาแล้ว หลี่เย่โหวกลับไม่พูดอะไรอีก
เชื่อว่าเฉินผิงอันรู้ว่าตนจะพูดอะไร
ผลคือไอ้หมอนั่นตอบกลับมาว่า “ผู้ฝึกกระบี่ทำอะไรล้วนทำตามใจปรารถนา ฟ้าดินมิอาจพันธนาการได้”
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!