ส่วนเจ้าแห่งคูน้ำที่ทำเรื่องให้สำเร็จได้ไม่ดี ดีแต่จะทำให้เสียเรื่องผู้นั้นก็อย่าไปพูดถึงเลยดีกว่า ถึงอย่างไรตนกับเซียนกระบี่เฉิน ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ไส้รู้พุงกันดีอยู่แล้ว
แต่จะว่าไปแล้วก็แปลก ศาลสุ่ยเซียนสองแห่งในอดีต แห่งหนึ่งคล้ายตระกูลสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วัน มีแขกมีสหายมาเยี่ยมหานั่งกันเต็มท้องโถงอยู่ตลอดทั้งปี อีกแห่งหนึ่งกลับเหมือนตระกูลตกอับที่อนาถจนอนาถไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แม้แต่เทวรูปลงสีในศาลก็ยังมิอาจแบกรับร่างทองของเจ้าแห่งคูน้ำเอาไว้ได้
กลับกลายเป็นว่าหญิงโง่ที่สมองไม่ค่อยพอใช้ผู้นี้ที่ถือว่าเป็นคนผู้เดียวที่ได้รับโชคหลังเคราะห์ร้ายในบรรดาสุ่ยเซียนและเทพแห่งลำคลองมากมายของทะเลสาบชางอวิ๋น ทุกวันนี้ร่ำรวยได้ดิบได้ดีแล้ว ศาลสุ่ยเซียนถูกซ่อมแซมจนเหมือนใหม่ เทวรูปที่มีสีสันสามองค์ซึ่งกระดำกระด่างไม่น่ามองต่างก็ได้รับการทาสีลงเส้นทองเสียใหม่
กลับเป็นเจ้าแห่งคูนำจ่าวซีในอดีตที่มีหน้ามีตาอย่างไร้ที่สุด ปีนั้นท่ามกลางคลื่นมรสุมกลับเป็นคนแรกที่อยู่ดีๆ นึกจะหายก็หายไปทั้งอย่างนั้น
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ข้าย่อมเชื่อใจอินหูจวิน”
ก่อนจะเดินทางไปยังวังมังกรก็ได้ไปดูภาพบรรยากาศขุนเขาสายน้ำของศาลใหม่เอี่ยมแห่งนั้นมาก่อนแล้ว หลังจากที่เปลี่ยนเจ้าของคนใหม่ บรรยากาศก็ไม่เหมือนเดิมจริงๆ ยังคงแขวนกรอบป้ายคำว่า ‘น้ำใสไหลยาว’ โชคดีที่ปีนั้นตนขัดขวางตู้อวี๋ไว้อย่างสุดความสามารถ แนะนำเขาว่าอย่าเห็นเงินอยู่ในสายตามากเกินไป เป็นคนต้องเหลือที่ว่างไว้สักเสี้ยวเพื่อที่วันหน้าจะยังมองหน้ากันได้ใหม่…ไม่อย่างนั้นคาดว่ากรอบป้ายของศาลแห่งนั้นก็คงผลัดเปลี่ยนตำแหน่งไปนานแล้ว
ลำธารจ่าวซีในทุกวันนี้ ใต้น้ำมีพืชน้ำถือกำเนิด ทุกกิ่งก้านล้วนยาวหลายจั้ง งดงามดุจหางหงส์ น้ำในลำธารใสกระจ่างมองเห็นก้นบึ้ง ล่องลอยพลิ้วไสวน่ารักน่ามองไปตามสายน้ำ
และลำธารที่อยู่ข้างเส้นทางใต้ฝ่าเท้าเส้นนี้ แม้จะบอกว่ามิอาจเทียบเคียงกับซีจ่าวได้ แต่ก็ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงมหาศาล ทั้งสองฝากฝั่งไม่ได้มีสภาพอึมครึมที่พืชหญ้ารกเรื้ออีกต่อไป เส้นทางที่ปูมาจากหินไข่ห่านราบเรียบทั้งยังสะอาดสะอ้าน รถม้าคันหนึ่งสามารถแล่นผ่านได้สบายๆ ปีนั้นศาลเจ้าแห่งคูน้ำที่ห่างจากตลาดแค่ระยะทางภูเขาไม่กี่สิบลี้กลับอยู่ในสภาพที่ควันธูปกระจัดกระจาย เป็นเหตุให้แม้แต่เทวรูปที่อยู่ในศาลก็ยังมิอาจแบกรับแสงเทพไว้ได้ จวนวารีได้แต่รื้อตะวันออกมาซ่อมตะวันตกอยู่ทุกปี คอยติดหนี้จากคนอื่นเสมอ ต่างก็พูดกันว่ามียืมมีคืน ยืมอีกก็ไม่ยาก บัญชีเก่านานปีที่นางสะสมไว้มีมากมาย ทว่าก็ยังไม่อาจยืมควันธูปมาได้มากพอ ก็ถือว่านางมีความสามารถแล้ว
เฉินผิงอันถาม “ถ้วยเลี่ยนเยี่ยนใบนั้นของนางมาจากสำนักชิงเต๋อใช่หรือไม่?”
อินโหวพยักหน้า “เซียนกระบี่เฉินสายตาดียิ่งนัก ของสิ่งนี้คือหนึ่งในเครื่องใช้ในงานพิธีกรรมของสำนักชิงเต๋อแห่งลัทธิเต๋าในอดีต”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ผลคือถูกเหนียงเนียงเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้เอามาใส่น้ำแกงล่อลวงวิญญาณที่แฝงโชคดอกท้อเอาไว้?”
สีหน้าของอินโหวกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
ไปถึงนอกศาลสุ่ยเซียนก็แค่เดินผ่านไม่ได้เข้าไปข้างใน เฉินผิงอันพาอินโหวหดย่อพื้นที่ไปด้วยกัน พริบตาเดียวทั้งสองฝ่ายก็มาถึงเส้นทางหินเก่าแก่ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบชางอวิ๋นเส้นนั้น
เฉินผิงอันเดินเท้าอยู่บนภูเขา ถามว่า “ตามบันทึกในแผนที่ของอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น ดูเหมือนว่าที่นี่จะชื่อว่าภูเขาต่าสือ ใกล้เคียงนี้ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่าเที่ยวเจียนเหว่ย?”
อินโหวยิ่งไม่แน่ใจว่าไอ้หมอนี่คิดจะทำอะไรกันแน่ ได้แต่พยักหน้าเอ่ยว่า “เซียนกระบี่เฉินไม่สมกับเป็นผู้สูงศักดิ์ที่มักจะลืมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลยจริงๆ”
ในมือของเฉินผิงอันมีไม้เท้าเดินป่าเพิ่มมาอันหนึ่ง เขาใช้มันจิ้มพื้นเบาๆ เอ่ยสัพยอกว่า “เรื่องอย่างการประจบสอพลอนี้ ไม่เหมาะกับอินหูจวินจริงๆ ต่อจากนี้พวกเราสองคนก็อย่าพูดให้อึดอัดใจกันอีกเลย”
เดินขึ้นไปบนยอดเขา เฉินผิงอันหลุบตาลงมองรอบด้าน สามารถมองเห็นน้ำตกกระบี่ขาวที่อยู่ห่างไปไกล น้ำเป็นสีขาวลักษณะคล้ายกระบี่ห้อยกลับหัว
บริเวณใกล้เคียงมีภูเขาแห่งหนึ่งที่มีดินสำหรับเผาเครื่องปั้นอุดมสมบูรณ์ เมื่อเอาไปเผาออกมาเป็นเครื่องปั้นก็สามารถนำลงเรือเลียบไปตามลำธารจ่าวซี ใช้เส้นทางน้ำนำไปขายให้กับสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ห่างไปไกล
อินโหวถามหยั่งเชิง “เซียนกระบี่เฉินไปที่สำนักสั่วอวิ๋นมาแล้วใช่หรือไม่?”
การถามกระบี่ที่ครึกโครมขนาดนั้น ได้แพร่กระจายไปทั่วอุตรกุรุทวีปอย่างดุเดือดนานแล้ว
หลิวจิ่งหลงเจ้าสำนักหนุ่มแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยกับเซียนกระบี่ไม่ทราบชื่อแซ่เฉินเดินขึ้นเขาไปยังยอดเขาหย่างอวิ๋นด้วยกัน รื้อถอนศาลบรรพจารย์ของสำนักที่รากฐานลึกล้ำแห่งหนึ่ง
ต่อให้เซียนเหรินเว่ยจิ่งชุ่ยเรียกกระจกเปินเยว่ที่เป็นสมบัติก้นกรุออกมาก็ยังไม่อาจรับการถามกระบี่ครั้งนั้นของหลิวจิ่งหลงเอาไว้ได้ ทุกวันนี้ก็ต้องปิดด่านรักษาบาดแผลแต่โดยดีแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ผ่านไปไม่นานนักหยางแชว่เจ้าสำนักสั่วอวิ๋นได้ลงจากภูเขามาด้วยตัวเอง ถึงกับเป็นฝ่ายไปผูกมิตรกับสำนักกระบี่ไท่ฮุย อีกทั้งยังบอกว่าตัวเองคือภูเขาใต้อาณัติครึ่งแห่งอีกด้วย
เฉินผิงอันเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “เรื่องดีไม่ออกจากบ้าน เรื่องร้ายแพร่ไปไกลพันลี้”
อินโหวกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็พลันนึกถึงคำเตือนของเซียนกระบี่เฉินก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ จึงยั้งคำพูดเอาไว้ กลืนถ้อยคำที่ทำให้คนสะอิดสะเอียนจริงๆ ประโยคนั้นกลับลงท้องไปแต่โดยดี
อินโหวถามอีกว่า “แล้วศาลบรรพจารย์สำนักฉงหลินล่ะ?”
ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์สำนักฉงหลินก็มีความผิดปกติเกิดขึ้นเช่นกัน แต่ช้ากว่าสำนักสั่วอวิ๋นเล็กน้อย อีกทั้งเหตุการณ์ไม่ได้รุนแรงเท่า สำนักฉงหลินพยายามสุดกำลังเพื่อปกปิดเรื่องนี้ แต่ด้วยชื่อเสียงอันดีงามบนภูเขาในอุตรกุรุทวีปและการที่มีสหายไปทั่วขุนเขาสายน้ำของสำนักฉงหลิน จะไม่มีคนที่ช่วย ‘เอ่ยผดุงความเป็นธรรม’ ให้เลยได้อย่างไร?
แม้จะบอกว่าสรุปแล้วใครเป็นคนทำ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนา สิ่งเดียวที่พอจะมั่นใจได้ก็คือต้องเป็นการกระทำของเซียนกระบี่แน่นอน
ยกตัวอย่างเช่นทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็มีรายงานข่าวฉบับหนึ่งที่ใช้ถ้อยคำที่ทำให้ผู้ฝึกตนของทวีปอื่นปากอ้าตาค้าง แต่คนของอุตรกุรุทวีปกลับเคยชินกันอย่างมาก บอกว่าถึงแม้จะไม่มีคนยอมรับว่าตัวเองไปรื้อศาลบรรพจารย์สำนักฉงหลิน ถ้าอย่างนั้นทะเลสาบกระบี่ฝูผิงของพวกเราก็ได้แต่ถูกสาดน้ำสกปรก ในเมื่ออธิบายไปแล้วก็ยังอธิบายได้ไม่ชัดเจน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่อธิบายอีกแล้ว…
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าสำนักฉงหลินไม่เคยไปหาเรื่องทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมาก่อนนี่นา ถึงขั้นไม่เคยคิดสงสัยในตัวลี่ไฉ่ สาดน้ำสกปรกอะไรกัน เซียนกระบี่หญิงอย่างเจ้าสรุปแล้วกำลังอธิบายเรื่องอะไรอยู่กันแน่?
การที่อินโหวคิดแบบนี้ก็เพราะว่าตอนนั้นที่ตู้อวี๋มาเป็นแขกที่วังมังกรบ้านตน ได้พูดอย่างเปิดเผยว่าตัวเองไปมีเรื่องกับสำนักฉงหลิน
จากนั้นตู้อวี๋ออกจากทะเลสาบชางอวิ๋นไปได้ไม่กี่วัน สำนักฉงหลินก็เจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันคาดคิดนี้
ใต้หล้านี้มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้อยู่จริงหรือ?
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างขันๆ ปนฉุน “เรื่องนี้ก็เอามาคิดลงบนหัวข้าด้วยหรือ?”
หลิวจิ่งหลง หรงช่างและหลิ่วจื้อชิงร่วมมือกัน เรื่องที่เจ้าคนพวกนี้สมคบคิดกันทำ เกี่ยวผายลมอะไรกับข้าด้วย
เฉินผิงอันหันไปมองทางศาลจ่าวซี
เคยมีเด็กหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงชายคา ตรงเอวรัดขลุ่ยไผ่สีออกเหลืองไว้เลาหนึ่ง คือเหอลู่แห่งนครหวงเยว่กับเยี่ยนชิงแห่งดินแดนเซียนเป่าต้ง คือกุมารทองกุมารีหยกของบนภูเขา
เหอลู่ เยี่ยนชิง นั่งคู่สุราเคียงบทเพลงกังวาน ชีวิตคนแสนสั้นมีจำกัด น้ำค้างยามเช้าเพียงพริบตาก็สลายหายไป เวลาที่สูญเสียไปช่างมากมายเหลือเกิน (ในประโยคมีคำว่าเหอและคำว่าลู่อยู่)
มหาสมุทรนิ่งสงบ (ไห่เยี่ยนชิงผิง) ล้วนเป็นชื่อดี แต่พอเอามารวมกันกลับคล้าย…คำทำนายประโยคหนึ่ง?
เด็กเก้าคนที่ตนพาออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ในภายหลังก็มีเจ้าอ้วนน้อยเฉิงเฉาลู่กับเหอกู
เป็นทั้ง ‘โชคดีที่ได้ปลอดภัย ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง คนอื่นมีโทษทัณฑ์ใด (เหอกู) กลับต้องเหมือนน้ำค้างที่เจอแสงตะวันสาดส่อง (เฉาลู่) เพียงคนเดียวก่อนใคร’ แล้วก็เป็นทั้ง ‘โลกอันผาสุก กฎหมายดุจน้ำค้างยามเช้า บริสุทธิ์ไม่จางหาย’
นี่ก็คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าไม่มีความบังเอิญก็ไม่อาจกลายเป็นตำราได้กระมัง
เฉินผิงอันคืนสติ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ทะเลสาบชางอวิ๋นไม่ได้ซ้ำเติมตู้อวี๋ กลับกันยังทำเรื่องที่พอจะทำได้ อินหูจวินมีคุณธรรมยิ่งนัก”
รอยยิ้มของอินโหวฝืดฝืน อันที่จริงฟังแล้วก็ไม่เหมือนคำพูดดีๆ อะไรเลย
แต่ก็คิดเสียว่าเป็นคำพูดที่ดีก็แล้วกัน
อินโหวใช้เสียงในใจถามว่า “ขอทราบนามที่แท้จริงของเซียนกระบี่เฉินได้หรือไม่?”
ตนต้องคอยอกสั่นขวัญผวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลย
เซียนกระบี่ชุดเขียวถึงกับบอกชื่อจริงและภูมิลำเนาให้เขารู้อย่างที่ไม่คาดฝัน
“นามจริงเฉินผิงอัน มาจากถ้ำสวรรค์หลีจู”
อินโหวตกตะลึงจนตะลึงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ขนลุกตั้งชัน ทะเลสาบหัวใจเหมือนมีคลื่นยักษ์ถาโถม กลืนน้ำลายเอื้อก ถามอึกๆ อักๆ แทบฟังไม่เป็นประโยค “อาจารย์เฉินคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งหรือ?”
อินโหวจงใจไม่พูดถึงสถานะอีกอย่างหนึ่งที่น่าตะลึงพรึงเพริดมากกว่า
เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ทัน พยักหน้ารับ “ย่อมต้องใช่”
เจ้าอินโหวผู้นี้กำลังเตือนตนอยู่หรือไรว่าเจ้าเฉินผิงอันเป็นถึงลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ เป็นคนของระบบสายบุ๋น คือบัณฑิตคนหนึ่ง คืออาจารย์น้อย อย่าได้เอะอะก็ฆ่าแกงกันให้ผิดต่อภาพลักษณ์อันสุภาพอ่อนโยน?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!