ทุกวันนี้กองงานในจวนวารีหลิงหยวนมีทั้งหมดสิบแปดแห่ง ทุกแห่งล้วนมีระเบียบ ต่างก็มีหน้าที่กันคนละอย่าง
หากจะพูดถึงวิถีการปกครองจัดการงาน บางทีหลี่หยวนหลายคนรวมกันก็ยังสู้เสิ่นหลินคนเดียวไม่ได้
เพราะถึงอย่างไรหลี่หยวนก็อยู่คนเดียวจนชินแล้ว คือคนประเภทที่ว่าหากนอนเสพสุขได้ก็จะไม่ลุกมานั่งงีบหลับเด็ดขาด ส่วนเสิ่นหลินก็ขึ้นชื่อว่าปกครองเรือนอย่างมีระเบียบ เมื่อก่อนอยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกรก็มีเพียงตำหนักวารีหนันซวินเท่านั้นที่ตรงกับคำว่าสตรีต่อให้มีฝีมือแค่ไหนแต่ไม่มีวัตถุดิบก็ปรุงอาหารเลิศรสออกมาไม่ได้
วันนี้ไม่เหมือนวันวาน ทุกครั้งที่ออกไปตรวจตราในอาณาเขตของตัวเองล้วนจัดขบวนเต็มพิธีการเคร่งครัด มีบารมีน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
เดินไปถึงหน้าประตูกองของตกแต่ง เสิ่นหลินก็มีสีหน้าเขินอายขึ้นมา
เหล่าขุนนางหญิงที่อยู่ในห้องกำลังยืนยันรายนามหนึ่งให้แน่ใจอีกครั้ง
ที่แท้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำคนใดก็ตามในใต้หล้าไพศาล ทุกปีจะต้องมีวันบรรลุมรรคาที่คล้ายกับวันฉลองวันเกิดของมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขา
เพียงแต่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำทั่วไป คนที่ระดับขั้นไม่สูงก็มักจะไม่ถือสาในเรื่องนี้ จะไม่จัดงานพิธีการยิ่งใหญ่ อย่างมากก็แค่ว่าในศาลของแต่ละคนมีควันธูปจากโลกมนุษย์เพิ่มมากขึ้นหน่อย มิเช่นนั้นแล้วหนึ่งปีจัดหนึ่งครั้ง ใครจะรับได้ไหว? ระหว่างเพื่อนบ้านในวงการขุนนางภูเขาสายน้ำก็เหมือนกับการใส่ซองให้กันไปมาของล่างภูเขา ต่างก็พิถีพิถันในเรื่องที่ว่ามีมามีไป จึงกลายมาเป็นกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งกลายเป็นความเคยชิน ส่วนใหญ่ล้วนจะจัดหกสิบปีครั้ง หรือไม่ก็มองข้ามไปเลย
ทว่ากงโหวลำน้ำใหญ่อย่างเสิ่นหลิน อีกทั้งยังเพิ่งจะรับตำแหน่งได้แค่ไม่กี่ปี นางกลับจะทำให้เรียบง่ายไม่ได้
และวันบรรลุมรรคาของเสิ่นหลินก็ตรงกับเดือนนี้พอดี ดังนั้นช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ทุกๆ ปลายปีหัวหน้าขุนนางหญิงในกองของตกแต่งจะต้องยุ่งกันหัวหูไหม้ ไม่พูดถึงการรับรองแขก ลำพังเพียงแค่การรับของขวัญ ตรวจนับของขวัญหรือไม่ก็ของบรรณาการก็คืองานใหญ่อย่างสมชื่อ ราชสำนักของแคว้นต่างๆ ตระกูลชนชั้นสูง สำนักเล็กใหญ่จวนเซียนบนภูเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำทั้งหลายในเขตการปกครอง ที่ดินของเทพภูเขาและยังมีศาลเทพอภิบาลเมืองตามอำเภอเขตและจังหวัดต่างๆ …
ดอกกล้วยไม้หลายกระถางที่มีมูลค่าสูงเทียมฟ้าของแคว้นหลันฝาง เหยี่ยวและอินทรีที่แคว้นจินเฟยฝึกอบรมอย่างตั้งใจ ปลาหลีหลายหางที่มาจากตำหนักเกล็ดทอง รวมไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์และราชวงศ์ต้าจ้วน...
ในอนาคตต้องมอบของขวัญกลับคืนให้ใครบ้าง คืนไปด้วยของขวัญแบบใด อะไรที่ต้องจดลงบันทึกแล้วแบ่งแยกประเภท แต่ละอย่างล้วนต้องตรวจนับให้ชัดเจนก่อนที่จะเก็บเข้าคลัง แล้วยังต้องไปปรึกษากับกองมรรยาทก่อนด้วย ไม่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้แม้แต่น้อย
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันมาเที่ยวเยือนอุตรกุรุทวีป หลังออกมาจากชายหาดโครงกระดูกก็เคยเดินเท้าผ่านแคว้นหลันฝาง แคว้นจินเฟย สุดท้ายไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ จากนั้นก็บังเอิญได้เจอกับเซียนสุราใหญ่หลิว
จำได้ว่าแคว้นหลันฝางมีการค้าเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นสตรีที่ออกเรือนกับพ่อค้าจึงมักจะโยนเงินทองลงน้ำเพื่อทำนายว่าโชคดีหรือร้าย อีกทั้งการปล่อยสัตว์เล็กที่จับตัวมาได้ก็เป็นที่นิยมไปทั้งราชสำนัก
ทุกครั้งที่เจอภัยแล้งจะชอบเอามังกรกระดาษมาระบายแค้น
พื้นที่ทางเหนือของสวนน้ำค้างวสันต์ หลายสิบแคว้นซึ่งมีราชวงศ์ต้าจ้วนเป็นหนึ่งในนั้น นับแต่โบราณมาก็เลื่อมใสด้านบู๊ ขนบธรรมเนียมของชาวบ้านเหี้ยมหาญ เหล่าผู้ฝึกยุทธเดินสวนกันขวักไขว่ ส่วนใหญ่จะเห็นราชวงศ์ต้าจ้วนเป็นแคว้นเหนือหัว โชคชะตาบู๊รุ่งโรจน์ เอะอะก็เรียกหาพรรคพวก ภาพเหตุการณ์ที่ผู้ฝึกยุทธหลายร้อยคนล้อมตีพรรคบนภูเขามักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ คาดว่าทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลก็น่าจะมีที่นี่ที่เดียว ตำหนักเกล็ดทองที่น่าสงสาร เทพเซียนผู้เฒ่าก่อกำเนิดคนนั้นขมขื่นเกินบรรยาย ทุกครั้งที่ลูกศิษย์ลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์มักจะถูกคนเอากระสอบป่านมาครอบหัวใช้กระบองรุมตี ก็ไม่ใช่คำพูดล้อเล่นอะไรเลยจริงๆ
หมัดเขย่าขุนเขา ผู้อาวุโสกู้โย่ว เคยเป็นผู้ดูแลหมู่บ้านที่ใช้นามแฝงว่าชิวเฝิงเจี่ย
สุดท้ายต่างผลัดกันถามหมัดถามกระบี่กับจีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรครวญ
ได้ยินมาว่าองค์รักษ์ประจำตัวของฮ่องเต้สกุลโจวต้าจ้วนคือผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งที่ใช้กระบี่
เดิมทีนางเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลก็ถูกมองว่าเดินไปถึงเส้นทางหัวขาดแล้ว แต่นางกลับยังเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้อย่างเหนือการคาดการณ์ของทุกคน
ในที่ว่าการกองก่อสร้างมีรองเจ้ากรมกลาโหมที่อายุน้อยคนหนึ่งของแคว้นลวี่อิง กำลังมาคุยธุระเกี่ยวกับขุนนางอยู่ที่นี่ ได้ยินว่าหยวนหลิงกงเพิ่งจะกลับมาจากการตรวจตรา ทว่ากลับป่าวประกาศแก่ภายนอกว่าจะปิดจวนไม่ต้อนรับแขก รองเจ้ากรมหนุ่มรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เดิมทีอยากจะพบหน้านางสักครั้ง แค่นั้นก็เพียงพอ ไม่กล้าเพ้อฝันมากไปกว่านี้
ในฐานะที่ตั้งเส้นทางลำน้ำไหลลงสู่มหาสมุทร หลายปีมานี้แคว้นลวี่อิงสร้างเรื่องหลายเรื่อง ลงมือก่อสร้างโดยไม่แม้แต่จะบอกกล่าวกับจวนหลิงหยวนก่อน ต้องการบุกเบิกเส้นทางพักแรมยามที่ออกลาดตระเวนลำน้ำใหญ่ให้กับเสิ่นหลิน เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ปี แคว้นลวี่อิงไม่เพียงแต่ใช้เงินในท้องพระคลังจนหมด ลำพังเพียงแค่หนี้ที่หยิบยืมมาจากภายนอก เกรงว่าน่าจะมากมหาศาล เสิ่นหลินย่อมไม่ยินดีจะให้แคว้นลวี่อิงต้องสิ้นเปลืองเช่นนี้
เพียงแต่แคว้นลวี่อิงไม่บอกว่าตัวเองยากจน พร่ำพูดแต่ว่าคลังของแคว้นมีกำไรเหลือ ไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย รอกระทั่งขุนนางหญิงของกองก่อสร้างหลายคนไปเยือนแคว้นลวี่อิงด้วยตัวเอง นำพาโองการของหลิงหยวนกงไปด้วย ทว่างบการเงินทุกอย่าง แคว้นลวี่อิงก็ยังบอกจวนวารีมาในราคาต่ำ เรื่องอย่างการตบหน้าตัวเองสวมรอยเป็นคนอ้วนเช่นนี้ทำให้เสิ่นหลินไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่ออกโองการลับที่ใช้ถ้อยคำเฉียบขาดตามไปอีกครั้ง ไม่ให้โอกาสแคว้นลวี่อิงได้เอ่ยอ้างใดๆ งานก่อสร้างช่วงหลังที่เพิ่งดำเนินไปได้เกือบครึ่งจึงจำต้องยกให้กองก่อสร้างของจวนวารีไปดูแลเอง ไม่อย่างนั้นก็จะต้องปล่อยทิ้งร้างไปทั้งอย่างนั้น ในอนาคตใครยินดีเข้าพัก แคว้นลวี่อิงของพวกเจ้าก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน
ทางฝั่งที่ว่าการกองมรรยาท ตอนนี้พวกขุนนางต่างก็ลำบากใจกันอย่างมาก
เพราะหลิวมรรยาทหมัวมัวผู้เฒ่าที่เป็นบุคคลสำคัญอันดับหนึ่งเพิ่งออกไปจากจวนวารี หลิงหยวนกงก็ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ทว่าเที่ยงวันของวันนี้ดันมีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือนถึงสองคน
เสิ่นหลินยิ้มเอ่ย “การไปมาหาสู่ระหว่างผู้คนช่างเหนื่อยจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เข้าใจได้ดี”
เสิ่นหลินถาม “รับมือกับเรื่องพวกนี้ อาจารย์เฉินมีเคล็ดลับหรือไม่?”
ชื่อเสียงบนภูเขาของภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ทางใต้ของอุตรกุรุทวีปดีเยี่ยมอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ได้แต่บอกตัวเองว่าสนแต่ความคิดไม่สนเรื่องราวก็ดี หรือสนแต่เรื่องราวไม่สนความคิดก็ช่าง จะต้องทำให้ได้ถึงจุดหนึ่ง นั่นคืออย่าให้กลายเป็นว่าไม่สนทั้งเรื่องราวและความคิดก็พอแล้ว”
เงียบไปพักหนึ่ง เฉินผิงอันกลั้นขำเอ่ยว่า “อันที่จริงก็มีทางลัดอยู่เหมือนกัน ขอแค่หาผู้ดูแลใหญ่ที่ทำหน้าที่ได้สมตำแหน่งมาสักคนก็สามารถทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านได้อย่างสบายใจแล้ว”
เสิ่นหลินส่ายหน้า “เอาอย่างไม่ได้”
แขกที่มาเยือนจวนวารีหลิงหยวนตลอดหลายปีมานี้ เรียกได้ว่ามีมากมายไม่ขาดสาย นอกประตูมีรถม้าผู้คนสัญจรขวักไขว่อยู่ตลอดทั้งปี แต่คาดว่าผ่านไปอีกแค่ไม่กี่ปีสถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น
เดินชมที่ว่าการของกองงานทั้งหลายไปแล้ว เฉินผิงอันก็หยุดเท้า เสิ่นหลินเอ่ยว่า “คราวหน้าที่อาจารย์เฉินมาเยือนอุตรกุรุทวีป ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มี จำเป็นต้องมาเป็นแขกที่นี่นะ”
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มเอ่ย “แน่นอน”
อยู่ดีๆ เสิ่นหลิงก็โพล่งขึ้นมาว่า “อาจารย์เฉิน ข้ามีเรื่องอยากจะขอให้ช่วย!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีปัญหา ข้าสามารถส่งจดหมายไปให้ท่านอาจารย์ได้”
อันที่จริงเฉินผิงอันเดาได้ตั้งนานแล้วว่าต้องเป็นเรื่องการตั้งชื่อสำหรับเขียนกรอบป้าย ถ้าอย่างนั้นเสิ่นหลินก็มาหาถูกคนแล้วจริงๆ
อย่าว่าแต่กรอบป้ายกรอบหนึ่งเลย ต่อให้เป็นสิบกรอบ ด้วยความรู้ของท่านอาจารย์ตนก็สามารถช่วยทำให้จวนวารีหลิงหยวนกงได้
แต่เสิ่นหลินกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “ไหนเลยจะกล้ารบกวนท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง อาจารย์เฉินทำเองได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด เสิ่นฮูหยินเจ้าช่างคิดอะไรก็ทำอย่างนั้นจริงๆ เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะทำอย่างขอไปทีได้อย่างไร เขาจึงรีบโบกมือเป็นพัลวัน “เรื่องของการตั้งชื่อไม่ใช่สิ่งที่ข้าถนัดจริงๆ”
เสิ่นหลินทำสีหน้ามีเลศนัย ลูบเส้นผมตรงจอนหู ยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ปีนั้นเฉินหลิงจวินไม่ได้พูดเช่นนี้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
เสิ่นหลินสูดหายใจเข้าลึก ได้แต่ใช้ท่าไม้ตาย บากหน้าเอ่ยว่า “บางทีอาจารย์เฉินอาจจะยังไม่รู้ อันที่จริงข้าคือคนที่เป็นผู้จัดการงานพิธียันต์ทองและยันต์หยกของถ้ำสวรรค์วังมังกรอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด”
หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ เสิ่นหลินหรือจะเป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องนี้ออกมาด้วยตัวเอง แต่เพราะนางอยากให้อาจารย์เฉินทิ้งผลงานน้ำหมึกไว้ให้จริงๆ จึงจำต้องใช้กลยุทธนี้
เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ เงียบไปพักหนึ่ง ในขณะที่เสิ่นหลินเกือบจะทนไม่ไหวเปลี่ยนใจ เฉินผิงอันกลับพยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอแสดงฝีมืออันน้อยนิดแล้ว”
กลับไปที่ห้องหนังสือของเสิ่นหลิน
เฉินผิงอันสะบัดข้อมือ ในมือก็มีพู่กันขนยาวด้ามหนึ่งปรากฏจากความว่างเปล่า จิ้มลงไปเบาๆ หนึ่งครั้งปลายพู่กันในมือก็เหมือนจุ่มน้ำหมึกเข้มข้น ทว่าน้ำหมึกกลับเป็นสีทอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!