เสิ่นหลินพลันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเสี้ยวหนึ่ง นางรีบยื่นมือมากดหว่างคิ้วทันใด หลับตาลงตามจิตใต้สำนึก หว่างคิ้วก็เหมือนมีเนตรสวรรค์สีทองอ่อนจางเปิดขึ้นมา เพียงแต่ว่าเส้นเอ็นหัวใจที่เดิมทีขึงตึงของเสิ่นหลินกลับคลายตัวลงได้หลายส่วนทันที เก็บวิชาอภินิหารที่ใช้โจมตีนั้นมาเงียบๆ
เสิ่นหลินคลี่ยิ้มหวาน ไม่คิดว่าจะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญที่ใจกล้ามุทะลุอย่างถึงที่สุด นางยอบกายคารวะอย่างสุภาพเรียบร้อย เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เสิ่นหลินอดีตคนของตำหนักวารีหนันซวินคารวะอาจารย์เฉิน”
คนชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้ก็คือคนต่างถิ่นที่ปีนั้นถูก ‘หลี่หลิ่ว’ เรียกว่า ‘อาจารย์เฉิน’
เสิ่นหลินรู้สึกซาบซึ้งใจในตัวอีกฝ่ายจริงๆ นางติดค้างอีกฝ่ายเยอะมาก
มองย้อนกลับไป หากตนไม่ได้พบเจอกับ ‘หลี่หลิ่ว’ ถ้าอย่างนั้นสองตำแหน่งโดดเด่นอย่างกงและโหวของลำน้ำใหญ่เช่นนี้ สำนักมังกรน้ำต้องสนับสนุนหลี่หยวนสุ่ยเจิ้งที่มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านให้ได้ครอบครองตำแหน่งหนึ่งแน่นอน ถ้าอย่างนั้นต่อให้ตนได้รับการสนับสนุนจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิงและผู้ฝึกกระบี่ลี่ไฉ่ แต่ด้วยรากฐานของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน ในเรื่องแบบนี้ต้องสนับสนุนซือถูจีตั้งที่เป็นสุ่ยเจิ้งของศาลตอนบนอย่างเต็มที่ ตนไม่มีโอกาสจะชนะได้เลย
ทว่าหากไม่เป็นเพราะอาจารย์เฉินท่านนี้ไปเที่ยวเยือนถ้ำสวรรค์วังมังกร หลี่หลิ่วก็ไม่มีทางหวนกลับมายังถ้ำสวรรค์วังมังกรที่ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในคฤหาสน์หลบร้อนหลายแห่งของนาง ยิ่งไม่มีทางช่วยให้เสิ่นหลินได้ร่างทองกลับคืนมา
ดังนั้นถึงได้บอกว่าอาจารย์เฉินท่านนี้คือผู้มีพระคุณของนางเสิ่นหลินอย่างจริงแท้แน่นอน
เฉินผิงอันประสานมือคารวะ “มาโดยไม่ได้รับเชิญ ล่วงเกินแล้ว”
เสิ่นหลินยิ้มบางๆ “มีแต่จะรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบ”
ไม่เหมือนสุ่ยเจิ้งอย่างหลี่หยวน เสิ่นหลินที่หลายปีมานั้นคอยดูแลการไหลเวียนของลมฝนในถ้ำสวรรค์วังมังกรในนาม อันที่จริงตำหนักวารีหนันซวินก็คือน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด ร่างทองของเสิ่นหลินก็คือไม้ที่ไร้ราก
เนื่องจากด่านที่หน่วยฉงเสวียนตำหนักนภากาศราชวงศ์สกุลหยวนของต้าหยวนสร้างเอาไว้ได้ขัดขวางโชคชะตาน้ำของลำน้ำใหญ่ ปริมาณที่ไหลเข้าหาถ้ำสวรรค์วังมังกรสามารถประคับประคองอยู่ในระดับน้ำที่พอดิบพอดี เป็นเหตุให้ร่างทองของเสิ่นหลินไม่ถึงขั้นแตกสลายเพราะโชคชะตาน้ำแห้งขอด แต่กลับยากที่จะใช้โชคชะตาน้ำมาหล่อหลอมและสร้างความมั่นคงให้กับร่างทอง ชดเชยช่องโหวทั้งหลายบนร่างทอง นี่ก็เหมือนการอยู่เฉย..รอความตายอย่างหนึ่ง
ดังนั้นเฉินผิงอันที่มาเที่ยวเยือนถ้ำสวรรค์วังมังกรเป็นครั้งแรก ครั้งแรกที่ได้พบเสิ่นหลิน บวกกับตอนนั้นเหนียงเนียงเทพวารีท่านนี้ก็ไม่ได้จงใจร่ายเวทอำพรางตาบดบังใบหน้าที่แท้จริง เป็นเหตุให้ในสายตาของเฉินผิงอันเวลานั้น ความรู้สึกแรกก็คือใบหน้าปริแตกเหมือนสีเคลือบบนเครื่องกระเบื้องร้าว รอยแตกเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนทำให้สภาพของนางอเนจอนาถไม่แทบมิอาจทนมอง นั่นก็คือการที่ร่างทองใกล้ปริแตกและกำลังจะแหลกสลาย บอกว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย
สุ่ยเจิ้งหลี่หยวนรับหน้าที่เป็นหลงถิงโหวของลำน้ำใหญ่ ถือว่าได้เลื่อนขั้น เป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพร
แต่สำหรับเหนียงเนียงเทพวารีตำหนักวารีหนันซวินแล้วกลับเป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะ คือการช่วยชีวิต
อาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นมานานหลายปี ก็เหมือนภรรยาตัวน้อยที่ทนรับการถูกรังแกกดขี่ ในที่สุดก็อดทนกับความยากลำบากจนกลายมาเป็นแม่สามีได้สำเร็จ
เฉินผิงอันไม่ได้มองสถานประกอบพิธีกรรมแห่งนี้มากเกินความจำเป็น ถามว่า “สามารถเปลี่ยนสถานที่ได้หรือไม่ มีธุระจะปรึกษาหลิงหยวนกงสักหน่อย”
เสิ่นหลินเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
อาจารย์เฉินท่านอย่าลืมล่ะว่า อยู่ใน…ความฝันนี้ของท่าน ท่านได้เปลี่ยนสถานะจากแขกมาเป็นเจ้าบ้านแล้ว จะให้ข้าเสิ่นหลินนำทางอย่างไร?
เฉินผิงอันยิ้มพลางเอ่ยอธิบาย “หลิงหยวนกงแค่จินตนาการถึงสถานที่ที่คุ้นเคยสักแห่งหนึ่งก็พอ”
ความคิดของเสิ่นหลินบังเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็มาอยู่ในห้องหนังสือนอกหอยสังข์แล้ว
เพียงแต่ไม่นานเสิ่นหลินก็สังเกตเห็นความประหลาด หากเป็นของที่ตัวเองจำได้อย่างชัดเจนจะมีสีสัน แต่หากเป็นของที่นางไม่เคยให้ความสนใจจะเป็นสีขาวดำ
รอกระทั่งสายตาของเสิ่นหลินกวาดมองไปยังวัตถุที่เป็นสีขาวดำเหล่านั้น พวกมันกลับกลายเป็นสีสันในเสี้ยววินาที ราวกับว่าเป็นการเพิ่มพลังชีวิตให้พวกมันส่วนหนึ่งในทันทีทันใด
เสิ่นหลินไม่ยินดีให้มีความต่างระหว่างเจ้าบ้านกับแขกจึงยกเก้าอี้มาสองตัว เฉินผิงอันขยับชุดกว้าตัวยาวสีเขียวเบาๆ นั่งตัวตรงอย่างสำรวม
เสิ่นหลินกล่าว “อาจารย์เฉิน ท่านเรียกชื่อข้าตรงๆ ก็ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ยังคงเรียกหลิงหยวนกงว่าเสิ่นฮูหยินก็แล้วกัน”
ได้ยินเรื่องธูปหนึ่งก้าน แน่นอนว่าเสิ่นหลินต้องรู้เรื่องนี้ จุดที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดนั้นอยู่ที่คนที่จุดธูปคารวะซึ่งต้องมีความซื่อสัตย์จริงใจ ไม่อาจเสแสร้งแกล้งทำได้แม้แต่น้อย
ไม่อย่างนั้นธูปหอมดอกนี้จุดติดไฟได้ง่าย ทว่าจิตแห่งธูปที่จะประคับประคองควันธูปกลับถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจจุดได้ติด
เพียงแต่ว่ากับเสิ่นหลินนั้นไม่มีปัญหาใดๆ นางรังเกียจผู้ฝึกตนของใบถงทวีปก็จริง แต่ในเมื่อสำนักเบื้องล่างของอาจารย์เฉินสร้างขึ้นที่ใบถงทวีป เรื่องของความจริงใจจะมีอะไรยากตรงไหน
ถือเสียว่าเป็นการขอบคุณผู้มีพระคุณอยู่ไกลๆ ก็แล้วกัน
ส่วนคุณความชอบส่วนนั้น เสิ่นหลินปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมไปก่อน เห็นว่าอาจารย์เฉินยืนกรานก็อับอายจนพานเป็นความโกรธ เฉินผิงอันยังคงใช้เหตุผลอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ ส่วนเสิ่นหลินก็ใช้ความรู้สึกทำให้ซาบซึ้ง สีหน้าของนางรันทดที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม รอกระทั่งเฉินผิงอันยังพยายามสรรหาถ้อยคำมาโน้มน้าว ไฟโทสะของเสิ่นหลินก็พวยพุ่ง กรอบตาแดงก่ำ มีน้ำตาเอ่อคลอ บอกว่าอาจารย์เฉินท่านจงใจบีบให้ข้าตกอยู่ในสภาวะที่ไร้น้ำใจไร้คุณธรรมอย่างนั้นหรือ? หรือว่าสำหรับในใจของอาจารย์เฉินผิงอันแล้ว ท่านรู้สึกมาโดยตลอดว่าข้าเสิ่นหลินคือพวกเนรคุณแล้งน้ำใจ? เฉินผิงอันจึงได้แต่เก็บคำพูดกลับคืนมา ยังเอ่ยขออภัยเสิ่นฮูหยินหนึ่งคำ ผลคือเสิ่นหลินพลันคลี่ยิ้มกว้าง ยกนิ้วโป้งมาเช็ดน้ำตาที่ปลายหางตา
เฉินผิงอันหยิบตำราต้นฉบับเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้เสิ่นหลิน อธิบายว่า “พอจะถือว่าเป็นของขวัญแสดงความยินดีชดเชยให้กับการที่เสิ่นฮูหยินได้รับตำแหน่งเป็นหลิงหยวนกง แต่ข้าก็มีใจที่เห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกัน”
ผลคือพอเปิดตำราเล่มนั้นก็ต้องเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “คือกฎทองคำและข้อบัญญัติหยกของพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ใบถงทวีปได้เจอกับเจินเหรินผู้บรรลุมรรคาคนหนึ่ง ได้ขอความรู้บางอย่างมาจากเขา เจินเหรินผู้เฒ่าให้ความรู้อย่างไม่ขี้เหนียว เสิ่นฮูหยินสามารถนำไปมอบให้กับเจ้าสำนักซุนในนามของจวนวารีหลิงหยวนกงได้”
คำว่า ‘กฎทองคำและข้อบัญญัติหยก’ ก็คือพิธีกรรมของลัทธิเต๋า คือข้อแนะนำอันประเสริฐอย่างแท้จริง คือ ‘กฎเกณฑ์เก่า’ ที่ต่อให้จ่ายเงินเทพเซียนก็หาซื้อมาไม่ได้
ตำราพิธีกรรมที่ใช้ในการเปิดพิธีของลัทธิเต๋า โดยภาพรวมแล้วสามารถแบ่งออกเป็นพิธีกรรมทางหยางได้แก่ขอพรกำจัดทุกข์ ขจัดภัยพิบัติ ขอบคุณเทพเจ้า กับพิธีกรรมทางหยินอันได้แก่โปรดวิญญาณผู้ล่วงลับ ทำบุญอุทิศส่วนกุศล บริจาคทำทาน ซึ่งหนึ่งในนั้นตำราต้นฉบับถือว่าล้ำค่าหาได้ยากที่สุด คำกล่าวโบราณที่กล่าวไว้ว่าให้ทำตามตำรา ก็เป็นเช่นนี้เอง ทำไปตามระเบียบขั้นตอน ก็เหมือนฮ่องเต้แคว้นเป่ยจิ้นที่เลื่อมใสพระพุทธศาสนาของใบถงทวีปที่ลงแรงในเรื่องของตำราต้นฉบับ พยายามที่จะฟื้นคืนกฎระเบียบเดิมกลับมา
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันอยู่ที่ริมตลิ่งแม่น้ำชื่อหลิน เดินเล่นกับเหลียงส่วงเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ริมน้ำ นอกจากจะขอความรู้ด้านพิธีการเฉพาะของภูเขามังกรพยัคฆ์จากเจินเหรินผู้เฒ่าแล้ว ยังพูดถึงเรื่องการกินเจบำเพ็ญกายใจให้บริสุทธิ์ของสำนักมังกรน้ำ ทุกๆ วันที่สิบเดือนสิบและวันที่สิบห้าเดือนสิบของทุกปี ในถ้ำสวรรค์วังมังกรจะมีพิธีบวงสรวงที่จัดตามประเพณีโบราณสองครั้งติดต่อกัน อิงตามปีที่แตกต่างก็จะมีการแบ่งเป็นลานประกอบพิธีกรรมยันต์ทอง ยันต์หยก และยันต์เหลือง
ดังนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าถึงได้อดไม่ไหวเอ่ยสัพยอกว่า เจ้าหนูนี่เจ้าคิดจะถอนขนแกะให้เต็มที่เลยสินะ
เสิ่นหลินลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “เหตุใดอาจารย์เฉินไม่เอาของสิ่งนี้ไปมอบให้กับหลงถิงโหว ให้เขาช่วยนำไปส่งต่อให้กับซุนเจี๋ยหรือไม่ก็เส้าจิ้งจือ?”
นี่คือน้ำใจที่ใหญ่เทียมฟ้าเชียวนะ
สำนักบนภูเขาให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาวเช่นนี้มากที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!