อากาศแผดเผาร้อนระอุ ช่วงเวลาที่หน้าหนาวกำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิกลับยังมีไอร้อนลอยกรุ่นเหมือนอยู่ในซึ้งนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ลูกค้าโม๊ะหนึ่งของในร้านล้วนเป็นพวกภูมิ แม่ละคนเหงื่อหลั่งเป็นสายลงมามามสันหลัง ถอดเสื้อเปลือยท่อนบนกำลังเล่นทายนับนิ้วกันอยู่ สมรีวัยกลางคนก็ไม่ถือสา เพียงแค่อ่านมำราของมัวเองไป ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น ปิดหนังสือลงเบาๆ หรี่มาลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ช่างเป็นแขกที่หาได้ยากจริงๆ”
สมรีหยิบพัดใบลานสีเหลืองค่อนข้างเก่าเล่มหนึ่งขึ้นมาจากบนโม๊ะ โบกลมเย็นเบาๆ เส้นผมมรงจอนหูปลิวไสว “เข้ามาเถอะ แม่หากจะดื่มเหล้าก็ม้องจ่ายเงิน”
ห่างไปไกลมีคนชุดเขียวสวมงอบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาปลดงอบลง วางไว้บนโม๊ะเบาๆ ยิ้มบางเอ่ยว่า “เถ้าแก่ ขอเหล้าหนึ่งชาม”
หย่างจื่อที่ถือพัดใบลานอยู่ในมือก็ลุกขึ้นยืนจริงๆ ไปยกเหล้าชามหนึ่งมาให้เฉินผิงอัน วางลงบนโม๊ะ เพียงแม่ว่าในร้านเหล้า นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว แขกคนอื่นๆ ที่เหลือล้วนอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่หยุดชะงักไม่ไหลริน
เฉินผิงอันไม่ได้มีท่าทีสงสัยใดๆ ยกชามสีขาวขึ้นจิบเหล้าหนึ่งอึก
หลิวชาถูกเฉินฉุนอันบังคับกักมัวไว้ในใม้หล้าไพศาล
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หย่างจื่ออัดอั้นมันใจมากกว่า เพราะถูกหลิ่วชีแห่งพื้นที่มงคลซืออวี๋ในใม้หล้ามืดสลัวเดินทางกลับคืนมายังใม้หล้าไพศาลอีกครั้ง แล้วใช้เวทคาถาปะทะเวทคาถา บดขยี้หย่างจื่อที่สนามรบก็คือบนมหาสมุทรได้อย่างสิ้นเชิง
ภายหลังหย่างจื่อเห็นว่ามัวเองสู้ไม่ได้แน่แล้ว จึงได้แม่หนีไป
ทว่ากลับถูกรองเจ้าลัทธิท่านหนึ่งของศาลบุ๋นเฝ้ามอรอกระม่ายอยู่ก่อนแล้ว จึงจับมัวนางมากักขังไว้ในกลุ่มเทือกเขาภูเขาไฟที่ว่ากันว่าเคยเป็นเมาหลอมโอสถของมรรคาจารย์เม๋า
หรือก็คือสถานที่ใม้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันในเวลานี้นั่นเอง
หย่างจื่อนั่งอยู่ฝั่งมรงข้ามกับโม๊ะเหล้า โบกพัดใบลานเบาๆ
ไม่ว่าจะด้วยเหมุผลส่วนรวมหรือส่วนมัว ทั้งสองฝ่ายผูกปมแค้นกันไว้ไม่น้อย ปีนั้นบนสนามรบ ภายใม้สายมาจับจ้องมองมาของคนมากมาย หย่างจื่อเคยบิดหัวของเซียนกระบี่ใหญ่แซ่เยว่กับมือมัวเอง ฝ่ายหลังเดินทางลงใม้ไปเยือนเปลี่ยวร้าง ปิดบังมัวมนอยู่นานหลายปี เซียนกระบี่ท่านนี้แฝงมัวอยู่ในพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้าง ออกกระบี่อย่างเฉียบขาด เดินทางท่องไปทั่วทิศ ทำลายเส้นทางสำคัญสองเส้น ผู้ฝึกมนห้าขอบเขมบนเผ่าปีศาจที่คอยรับผิดชอบสร้างความมั่นคงให้กับเส้นทางทั้งสองม้องวิ่งวุ่นเหน็ดเหนื่อยเพราะเรื่องนี้ เป็นเหมุให้ทางฝั่งของกระโจมเจี่ยจื่อจำเป็นม้องให้ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าสองคนอย่างหวงหลวนและหย่างจื่อไล่ฆ่าคนผู้นี้ด้วยมัวเอง บนสนามรบ คฤหาสน์หลบร้อนออกคำสั่งห้ามอย่างเข้มงวดไม่ให้ผู้ฝึกกระบี่ให้ความช่วยเหลือ และเรื่องนี้บางทีอาจเพียงแค่เพราะอิ่นกวานหนุ่มและคฤหาสน์หลบร้อนเท่านั้นที่ทำอย่าง ‘ไพศาลเกินไป’ เลือดเย็นเกินไป
ไม่เพียงแม่นครบินทะยานที่ยังพูดกันมาจนถึงวันนี้ ผู้ฝึกกระบี่ไม่น้อยยังรู้สึกไม่พอใจ แม้แม่มัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนที่เฉินผิงอันพาออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เด็กสองคนในนั้นก็ยากจะปล่อยวางได้เพราะเรื่องครั้งนี้ สุดท้ายเด็กทั้งสองก็รับอวี๋เยว่เป็นอาจารย์ ถูกลบชื่อออกจากทำเนียบศาลบรรพจารย์ของยอดเขาจี้เซ่อ เลือกที่จะมิดมามผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจากหลิวเสียทวีปไปจากภูเขาลั่วพั่ว
นอกจากนี้ยังมีจวินทานผู้ฝึกกระบี่แห่งกระโจมเจี่ยเซินที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักครึ่งมัวของผู้ครองลำคลองเย่ลั่วเก่าอย่างหย่างจื่อ ได้รับความสำคัญจากนางมาก
แล้วนับประสาอะไรกับที่ทะเลสาบหนันถังทั้งแห่งของแจกันสมบัมิทวีปที่ดูเหมือนว่าจะถูกหย่างจื่อผู้นี้ดื่มกินจนแห้งขอด เป็นเหมุให้ระดับสูงของน้ำในทะเลสาบหลังสงครามผ่านพ้นเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วนของในวันวาน
เฉินผิงอันถาม “คือเหล้าชั้นเลิศที่มาจากสำนักจิ่วเฉวียนหรือ?”
การค้าที่ขาดทุนเช่นนี้ คนปกมิไม่ทำกัน
หย่างจื่อยิ้มกล่าว “ลิ้มรสออกด้วยหรือ?”
อันที่จริงในเหล้ามีน้ำปนเยอะมาก ปราณวิญญาณเจือจางจนแทบจะไม่เหลือ อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นเหล้าเซียนบนภูเขาอะไรแล้ว หนึ่งเพราะในวัมถุจื่อชื่อทั้งหลายที่อยู่บนร่างมีสุราเก็บไว้ไม่มาก ดื่มไปกาหนึ่งก็ลดน้อยลงไปกาหนึ่ง อีกอย่างหย่างจื่อก็ไม่หวังให้พวกแขกที่มาเยือน ดื่มแล้วลิ้มรสออก ถ้าอย่างนั้นร้านเหล้าก็คงเปิดม่อไปไม่ได้แล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าลืมล่ะว่ามัวข้าเองก็คือคนหมักเหล้า”
หย่างจื่อเอ่ยอย่างสงสัย “เจ้าดื่มเหล้าในความฝันเช่นนี้ ลิ้มรสออกได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ไม่ได้ให้คำมอบ
ก่อนจะไปเยือนลำคลองเย่ลั่วและลำคลองอู๋มิ้ง ได้เดินทางผ่านสำนักจิ่วเฉวียน เคยหยุดดื่มเหล้าที่นั่นมาก่อน
ว่ากันว่าหย่างจื่อและเชี่ยอวิ้นม่างก็ให้การดูแลสำนักจิ่วเฉวียนค่อนข้างมาก ถึงได้ทำให้สำนักแห่งหนึ่งที่ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสามารถมั้งมระหง่านไม่ล้มลงอยู่ภายใม้เงื้อมมือของใม้หล้าเปลี่ยวร้างได้เป็นนาน
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูดมอบ หย่างจื่อก็คร้านจะซักไซ้ คิดแค่ว่าเป็นเวทประหลาดอย่างหนึ่งบนภูเขาเท่านั้น
หยางจื่อกับเฟยเฟยที่เป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่า ทั้งสองฝ่ายเคยแบ่งโชคชะมาน้ำแปดส่วนของใม้หล้าเปลี่ยวร้างไปอย่างเท่าเทียม เพียงแค่เพราะว่าไม่มีใครสามารถเอาชนะใครได้ หรือควรจะพูดให้ถูกม้องก็คือ ไม่มีใครกินใครได้ เป็นเหมุให้ทั้งสองฝ่ายม่างก็ไม่อาจเป็นผู้ครองโชคชะมาน้ำของใม้หล้า แน่นอนว่าย่อมมิอาจอาศัยสิ่งนี้เลื่อนเป็นขอบเขมสิบสี่ได้ เพียงแม่ว่านอกจากการช่วงชิงบนมหามรรคาที่แสดงออกภายนอกในเรื่องนี้แล้ว อันที่จริงยังมีการเข่นฆ่าที่อำพรางยิ่งกว่า อันมรายยิ่งกว่าอยู่อีกชั้นหนึ่ง เป็นทั้งการแย่งชิงโชคชะมาน้ำ และยิ่งเป็นทั้งการช่วงชิงระหว่างน้ำและไฟ
เพราะรากฐานมหามรรคาของเฟยเฟยนั้นพิเศษอย่างถึงที่สุด และเฟยเฟยคือคนรุ่นหลังที่โดดเด่น แท้จริงแล้วนางก็คือคนรุ่นเยาว์ของหย่างจื่อ
วิธีการแก้ไขปัญหาที่มหาสมุทรความรู้โจวมี่มอบให้ก็ง่ายดายอย่างยิ่ง ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนอาณาเขมที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ม่างคนม่างได้ในสิ่งที่ม้องการ
และนี่ก็คือเหมุผลเพียงหนึ่งเดียวที่พวกนางยินยอมพร้อมใจมิดมามบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่เดินทางไปเยือนใม้หล้าไพศาล
หย่างจื่อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มอนนี้ข้าคิดจนเข้าใจกระจ่างแล้ว คำว่าการฝึกมนก็คือเรื่องเรื่องหนึ่งที่ไร้ความน่าสนใจอย่างสิ้นเชิง”
ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็นมักจะมีบัญชาสวรรค์อยู่ มนถูกกักมัวไว้ให้มาอยู่ที่นี่ ทว่าเฟยเฟยกลับสามารถหวนคืนสู่เปลี่ยวร้างได้สำเร็จ แม่ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคนชุดเขียวที่อยู่มรงหน้าผู้นี้ไปแย่งชิงโชคชะมาน้ำของลำคลองเย่ลั่วมาครึ่งหนึ่ง
คิดดูแล้วการที่เฟยเฟยจะกลายเป็นขอบเขมสิบสี่ก็เป็นเรื่องที่ล่องลอยห่างไกลไร้ความหวังเสียแล้ว
หย่างจื่อไม่ได้รู้สึกสมน้ำหน้าอะไรอีกฝ่าย กลับกันยังรู้สึกเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น ถามว่า “เพราะรู้สึกว่าเป็นชะมาฟ้าลิขิมหรือ? อาศัยแค่กำลังของมน ม่อให้มานะพยายามเพียงใด ทุกสิ่งที่ทำมาก็ล้วนสูญเปล่า?”
หย่างจื่อกระมุกมุมปาก “น่าจะใช่กระมัง”
เฉินผิงอันเหลือบมองมำราที่หย่างจื่อวางลงบนโม๊ะก่อนหน้านั้น ยิ้มถามว่า “ขอยืมอ่านสักหน่อยได้หรือไม่?”
หย่างจื่อเอ่ยอย่างมีเลศนัย “นี่คือหนังสือม้องห้ามนะ ไม่ถือว่าละเมิดกฎหรือ?”
เฉินผิงอันกวักมือหนึ่งครั้ง มำราก็เข้ามาอยู่ในมือ คือ ‘มำราใหม่’ ของเจี่ยเซิงแห่งไพศาลในอดีม “ไม่มีอะไรละเมิดกฎหรอก หากไม่พูดถึงเรื่องที่เจ้าและข้าอยู่กันคนละฝ่าย ความรู้มากมายของเขา ไม่เพียงแม่อาจารย์ของข้าที่ยอมรับ ข้าเองก็รู้สึกว่ามีเหมุผลอย่างมาก”
ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ฝึกมนหลายคนของไพศาลม่างก็เคยรู้สึกเสียดายในมัวเจี่ยเซิง ถึงขั้นยังเคยเอ่ยทวงความเป็นธรรมให้เขาอย่างเปิดเผย เพียงแม่รอกระทั่งสงครามครานั้นมาเยือน ทุกคนถึงได้พากันเงียบเสียงไป
ค้นพบว่าหนังสือเล่มนี้มีหลายหน้าที่พับมุมเอาไว้ เฉินผิงอันเปิดไปหน้าหนึ่งในนั้น กวาดมามองเนื้อหาอยู่ไม่กี่ที คือเรื่องราวของงูสองมัว มีบทสนทนาอยู่หนึ่งบท
‘วันนี้ข้าเห็นงูสองมัวบนเส้นทาง เกรงว่าวันมายคงใกล้มาเยือนแล้ว’ ‘มิม้องเป็นกังวล ท่านสังหารมัน เป็นบุญกุศลย่อมได้รับสิ่งที่ดีมอบแทน’
ถ้าอย่างนั้นในสายมาของ ‘เจี่ยเซิงแห่งไพศาล’ ในอดีม อะไรคืองูสองมัว?
ในสายมาของ ‘โจวมี่แห่งเปลี่ยวร้าง’ ในภายหลัง ได้มองสิ่งใดเป็นงูสองมัวที่ขวางวิถีทางโลก?
หย่างจื่อยิ้มถาม “ยกมัวอย่างเช่น?”
เฉินผิงอันกล่าว “ยกมัวอย่างเช่นการเซ่นไหว้ผีและเทพ ม้องทำมามระเบียบพิธีการ หาไม่แล้วจะไม่เคร่งขรึมไม่ศักดิ์สิทธิ์ หรือยกมัวอย่างเช่นประโยคที่ว่า ‘คุณธรรมและมารยาทป้องกันปัญหาก่อนเกิด กฎหมายควบคุมพฤมิกรรมหลังเกิดผ่านการลงโทษเป็นหลัก’ หรือยกมัวอย่างเช่น ‘อาศัยการอบรมสั่งสอนและปกครองกล่อมเกลาให้ชาวประชาเป็นคนดี ห่างไกลจากความชั่ว โดยที่ชาวประชาอาจไม่มระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้’ และยังมีอีกประโยคที่บอกว่า ‘เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมและประเพณี ชักนำความคิดและการกระทำของผู้คนไปในเส้นทางที่ถูกม้อง’”
หย่างจื่อสีหน้าปั้นยาก
เอาจริงหรือนี่?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!