อาจารย์ผู้เฒ่ายืนอยู่หน้าประตู ประสานมือคารวะ “ผู้เยาว์หลูเซิงคารวะเจ้าลัทธิลู่”
ทั้งสองฝ่ายกลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนาน คนหนึ่งเรียกพี่ซีโจว อีกคนหนึ่งเรียกตัวเองว่าผู้เยาว์
เพราะบัณฑิตไม่ได้ใช้เสียงในใจพูดคุยกับนักพรต เป็นเหตุให้เด็กสาวได้ยินอย่างชัดเจน พริบตานั้นหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน เจ้าลัทธิลู่?
เจ้าลัทธิ
นักพรตหนุ่มที่บอกว่าตัวเองมี ‘วิชาเซียนติดกาย’ ผู้นี้ หรือว่าแท้จริงแล้วก็คือคนในยุทธภพ? หาไม่แล้วพรรคบนภูเขา ใครจะกล้าเรียกตัวเองว่าเจ้าลัทธิ?
เพียงแต่ว่าหากเขาผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ยันต์ที่อยู่บนไหล่นางแผ่นนั้นก็หนักนับหมื่นชั่ง กดทับจนนางมิอาจกระดุกกระดิกได้ คงไม่ใช่ว่ามีฐานกำลังทรัพย์หนาลึก มือเติบใจป้ำ จ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากเซียนซือบนภูเขาหรอกกระมัง?
ลู่เฉินขยับเส้นสายตามองไปยังเด็กสาว พยักหน้าเอ่ยว่า “แม่นางมีสายตาที่ดี เดาไม่ผิดหรอก นอกจากจะเป็นวิชาเซียนปลายแถวสองสามบทแล้ว อันที่จริงเสี่ยวเต้า (คำเรียกตัวเองอย่างถ่อมตัวของนักพรตคล้ายคำว่าผินเต้า) ก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธที่ไม่เปิดเผยตัวตนคนหนึ่งด้วย คำกล่าวที่ว่า ‘ปรมาจารย์ใหญ่’ ก็คือคำที่สร้างขึ้นโดยวัดมาจากตัวเสี่ยวเต้าเลยทีเดียว”
บัณฑิตเฒ่าได้ยินแล้วก็ยิ้มอย่างรู้ทัน เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนี้เคยเขียนบท ‘ปรมาจารย์ใหญ่’ จริง เพียงแต่ว่าเวลาผันผ่าน สุดท้ายก็กลายมาเป็นคำเรียกขานอย่างให้ความเคารพต่อผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไปแล้ว
บัณฑิตเฒ่าเดินเข้าไปในห้องครัว นั่งลงตรงข้ามกับลู่เฉิน บนโต๊ะมีตะเกียบและชามอีกชุดหนึ่งเพิ่มมาไว้นานแล้ว แม้แต่กาเหล้าก็ยังมีอยู่สองกา เห็นได้ชัดว่าเอาไว้รับรองคนรู้จักเก่าที่ได้มาพบเจอกันอีกครั้งในต่างบ้านต่างเมืองผู้นี้
ลู่เฉินถามอย่างใคร่รู้ “อดีตเจ้าสำนักเจียงตัดใจปล่อยให้เจ้าออกมาจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้อย่างไร?”
หลูเซิงรินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชาม ยิ้มเอ่ยว่า “เคยมีข้อตกลงกับเจียงซ่างเจิน หลังจากที่ข้าสะสางความปรารถนาเดิมเรื่องหนึ่งสำเร็จแล้วก็ยังต้องกลับไปเป็นคนพายเรือต่ออีกครั้ง”
ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาแห่งนั้นใช้นามแฝงว่าหนีหยวนจาน ถ่อเรือประทังชีพ
ในประวัติศาสตร์ หาดหินหวงเฮ้อหนึ่งในสิบแปดทัศนียภาพของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เคยมีเซียนกระบี่บรรพกาลไม่ทราบนามคนหนึ่งมาร่ำสุราอยู่ในศาลา
สุดท้ายขณะที่กำลังเมามายก็ส่งเสียงเรอดังลั่น เม็ดกระบี่เม็ดหนึ่งถูกพ่นออกจากปาก แสงกระบี่เหมือนสายรุ้งที่พุ่งไปฟันยุงเหนือแม่น้ำ
ตอนนั้นชุยตงซานกับคนพายเรือเฒ่าอยู่บนเรือลำเล็กข้ามแม่น้ำด้วยกัน บทสนทนาของทั้งสองฝ่ายเหมือนเป็นการเล่นทายปริศนาธรรมกันไม่หยุดหย่อน ล้วนเป็นการเปิดโปง ‘สถานะ’ ส่วนหนึ่งของอีกฝ่ายทั้งสิ้น
คนหนึ่งคือ ‘วัวดำไปเยี่ยมเยือนตำหนักหยกเพียงลำพัง แต่กลับทิ้งกระเรียนเหลือง (หวงเฮ้อ) ให้เฝ้าโอสถทอง’ เนื้อหนังเคยเป็นคราบร่างนกกระเรียนเหลืองแห่งยุคบรรพกาลที่ ‘ในอดีตชื่อเสียงสูงเหนือดวงดาว’
ส่วนอีกคนหนึ่งคือมังกรเฒ่าแคว้นสู่โบราณที่ ‘ราชันแห่งดาวตักเหล้าเลิศรส โน้มน้าวให้เหล่ามังกรดื่มกันให้เต็มคราบ’ เจ้าของเนื้อหนังมังสาเคยเดินทางไกลท่องไปในทางช้างเผือก ถูกเซียนจวินแห่งดาวเป่ยโต้วโน้มน้าวให้ดื่มเหล้า
คนพายเรือเฒ่าที่ใช้นามแฝงว่าหนีหยวนจาน ปีนั้นหลังจากเมามายก็ได้สังหารปีศาจ ร่างจริงคือเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบที่แม้แต่เจียงซ่างเจินตอนที่เป็นขอบเขตหยกดิบก็ยังทำอะไรไม่ได้ กินปราณวิญญาณฟ้าดินเป็นอาหาร ไปมาไร้ร่องรอย ยากที่จะจับตัวได้ คนพายเรือเฒ่ากลับสามารถอาศัยเวทกระบี่ที่ลี้ลับและวิชาอภินิหารเฉพาะสยบกำราบปีศาจตนนั้นเอาไว้ได้ สุดท้ายใช้กระบี่สังหารมันทิ้ง เท่ากับช่วยกำจัดภัยร้ายให้กับสกุลเจียงแห่งถ้ำเมฆาไปได้
ลู่เฉินถาม “อาจารย์ซีโจวไม่เคยได้เจอกับแม่นางสุยที่เดินออกมาจากภาพวาดเลยหรือ? หากผินเต้าจำไม่ผิด ก่อนที่แม่นางสุยจะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักเจินจิ้งเคยไปฝึกตนอยู่ที่ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักกุยหยกอยู่นานหลายปี นางกับอาจารย์ซีโจวห่างกันแค่ก้าวเดียว เหตุใดอาจารย์และศิษย์อย่างพวกเจ้าถึงไม่ยอมมาพบเจอกัน? หากว่าได้กลับมาสานต่อวาสนาเดิมอยู่ในใต้หล้าไพศาล กลับคืนมามีสถานะเป็นอาจารย์และศิษย์กันอีกครั้ง ก็จะไม่กลายเป็นเรื่องเล่าขานงดงามบนภูเขาหรอกหรือ?”
หลูเซิงส่ายหน้า “เรื่องของเมื่อชาติก่อนและวาสนาของเมื่อชาติก่อน หากหยุดในชาตินี้ได้ก็ควรหยุด ไม่อย่างนั้นชาติหน้าจะต้องเจอกับบัญชีเลอะเลือนอีกบัญชีหนึ่ง แล้วเมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดเสียที”
ลู่เฉินทอดถอนใจ ตบโต๊ะร้องดัง “ฟังคำบรรยายของท่านหนึ่งครั้งเหมือนได้กรอกเทสติปัญญา ปลุกให้คนบนภูเขาที่อยู่ในความฝันไม่รู้กี่มากน้อยสะดุ้งตื่นขึ้นมา”
หลูเซิงส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไยเจ้าลัทธิลู่ต้องจงใจพูดเยินยอด้วยเล่า”
โจวจื่อพูดถึงฟ้า ลู่เฉินพูดถึงฝัน ล้วนมีเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียว
ลู่เฉินยกชามเหล้าขึ้นแกว่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม สายตาฉายแววไม่พอใจ “ในเรื่องของการรับลูกศิษย์ ผินเต้าละอายใจที่สู้ไม่ได้ พวกลูกศิษย์ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายพวกนั้น จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครที่ได้ครอบครองคำเรียกขานว่า ‘บุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ เลย ทำเอาคนที่เป็นอาจารย์อย่างข้า เดินไปที่ไหนก็ล้วนไม่เป็นที่นิยม ดูอย่างซิ่วไฉเฒ่าสิ ต่อให้ไปถึงใต้หล้ามืดสลัว อยู่ในอารามเสวียนตูแห่งนั้นก็ยังทำเหมือนอยู่ในบ้านของตัวเองได้”
หลูเซิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัวจะเอามาทัดเทียมกับใต้หล้าไพศาลได้อย่างไร หมวกสูงใบนี้ของเจ้าลัทธิลู่ หลูเซิงไม่กล้าเอามาสวมลงบนศีรษะของตัวเองจริงๆ
พวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลู่เฉิน มีใครบ้างที่ไม่มีมรรคกถามีความสำเร็จยิ่งใหญ่ พูดถึงแค่เฉาหรง เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่ต่อในใต้หล้าไพศาลก็เป็นขอบเขตเซียนเหรินที่มีหวังจะเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว
พื้นที่มงคลดอกบัว ในอารามกวานเต๋า นอกจากเจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวที่เป็นเจ้าบ้านแล้ว บางครั้งก็จะมีแขกผู้สูงศักดิ์อย่างเช่นพวกนักพรตฉุนหยาง และยังมีพวก ‘เจ๋อเซียน’ แห่งใบถงทวีปที่ไปฝึกประสบการณ์ในโลกโลกีย์ขัดเกลาจิตแห่งมรรคาในพื้นที่มงคล นอกจากนี้เดิมทีพื้นที่มงคลเองก็ไม่เคยขาดบุคคลผู้มีคุณสมบัติโดดเด่น หากไม่เป็นเพราะเจ้าอารามผู้เฒ่าจงใจเก็บรวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินมาไว้ ไม่อนุญาตให้คนธรรมดาฝึกตน คาดว่าคงจะต้องเป็นเหมือนพื้นที่มงคลหลิงส่วงแห่งฝูเหยาทวีปหรือไม่ก็พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของเจียงซ่างเจินที่ต้องมีเซียนดินกลุ่มใหญ่ปรากฎตัวนานแล้ว และในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ผู้คนให้การยอมรับว่าขยับเข้าใกล้ ‘วิถีฟ้า’ มากที่สุด แท้จริงแล้วก็คือสตรีคนหนึ่ง
สุยโย่วเปียน
นางคือ ‘ผู้อาวุโส’ แห่งยุทธภพคนหนึ่งที่สามารถทำให้อวี๋เจินอี้แห่งพรรคหูซานเลื่อมใสบูชาอย่างยิ่ง
วนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ ถูกเรียกขานเป็นผู้กล้าในยุทธภพ ได้ครองตำแหน่งบุคคลอันดับหนึ่ง วกวนไปมา ตามความเห็นของอวี๋เจินอี้ที่จิตใจทะเยอทะยานเห่อเหิมแล้วก็เป็นแค่ผีบังตาเท่านั้น สุดท้ายก็ยากจะหนีพ้นกฎตายตัวของ ‘โลกีย์’ ไปได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!