อ่านสรุป บทที่ 939.2 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (แปด) จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 939.2 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (แปด) คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
หลังจากนั้นหลูเซิงก็ได้รับคำสั่งให้ไปที่สำนักกุยหยก แฝงตัวอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียง เป็นคนพายเรือเฒ่าที่ถ่อเรือข้ามแม่น้ำหาเงินเกล็ดหิมะไม่กี่เหรียญ เฝ้า ‘โอสถทอง’ ที่ซ่อนอยู่ระหว่างหน้าผาของหาดหินหวงเฮ้อเม็ดนั้น
และเจ้าของเก่าของโอสถทองเม็ดนี้ก็เคยเป็นสหายคนหนึ่งในช่วงเวลาอันยาวนานยุคบรรพกาลของเจ้าอารามผู้เฒ่า ฝ่ายหลังมักจะไปเป็นแขกที่หาดลั่วเป่าถ้ำปี้เซียวเป็นประจำเพื่อถกมรรคาพูดคุยกับเจ้าอารามผู้เฒ่า
ลู่เฉินกล่าว “ใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ ‘เติมเต็มมหาสมุทร’ คือผลงานชิ้นแรกของเจ้า ส่วน ‘ตับและถุงน้ำดีสาดส่องเข้าหากัน’ (ตับและถุงน้ำดีเปรียบเปรยถึงหัวใจ ความกล้าหาญ สามารถหมายความว่าปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจได้ด้วย) ก็เป็นวิถีแห่งการหลอมลมปราณที่เจ้าคลำเจอก่อน น่าเสียดายที่สุยโย่วเปียนได้รับการสืบทอดไปจากเจ้า แต่กลับได้แค่รูปลักษณ์ ไม่ได้จิตวิญญาณไป อวี๋เจินอี้ของโลกยุคหลังก็ได้แต่จิตวิญญาณไปอย่างเดียว เพราะตำราพวกนั้นที่เจ้าทิ้งไว้ ปีนั้นสุยโย่วเปียนตั้งใจเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ไม่ได้ทำลายทิ้งไป แต่พอผลัดเปลี่ยนไปอยู่ในมือของอวี๋เจินอี้ ถึงอย่างไรก็มีไม่ถึงครึ่งหนึ่ง”
หลูเซิงจิบเหล้าหนึ่งอึก พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ปีนั้นข้าเปิดอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของทางการและเกร็ดพงศาวดารมาจนถ้วนทั่ว สุดท้ายค้นพบว่าแต่ละยุคแต่ละสมัยเหมือนจะมีเจ๋อเซียนที่เป็นคนต่างถิ่นเยื้องกรายมาจุติอยู่เสมอ คนบางคนนิสัยเปลี่ยนแปลงไปมาก ส่วนบางคนกลับเหมือนโผล่มาจากความว่างเปล่า มาเดินกร่างอยู่ในโลกมนุษย์อย่างไร้ความยำเกรง นี่ทำให้ข้าได้ข้อสรุปว่า ในเมื่อเหนือคนยังมีคน นั่นก็แสดงว่าเหนือฟ้าย่อมมีฟ้า คำว่าบรรลุมรรคาบินทะยานที่กล่าวถึงในตำราโบราณ การเลื่อนอันดับกลายเป็นเซียน บางทีอาจเป็นเรื่องตลก ยกตัวอย่างเช่น ‘ใต้หล้า’ ที่ข้าอยู่นี้อาจเป็นพื้นที่ในป่าเปลี่ยวห่างไกลไร้กลิ่นอายของมนุษย์แห่งหนึ่งก็เป็นได้”
“ปีนั้นข้าไม่รู้ว่าตัวเองคือคนหนึ่งในนั้น จึงกลัดกลุ้มกับเรื่องนี้อย่างมาก อยากจะออกไปข้างนอก แต่ก็ตัดใจทิ้งวรยุทธบนร่างของตัวเองไปกลางคันไม่ได้ จึงได้แต่คลำหาเส้นทาง จากนั้นก็พบเจอกับลูกศิษย์ที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ตัวอ่อนการฝึกตน’ อย่างที่กล่าวถึงในตำรามากที่สุด เพียงแต่ว่าถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นแค่การใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ในฐานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง ฝึกบำเพ็ญตนเรียนรู้จากเซียน เข้าร่วมฌานเรียนรู้พุทธศาสนา ผลคือทั้งสามเรื่องกลับไม่มีอะไรทำได้สำเร็จ”
หาไม่แล้วสุยโย่วเปียนที่คิดจะสละวิถีวรยุทธแล้วหันไปฝึกบำเพ็ญตนก็จะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้ทันทีจริงๆ หรือ?
ลู่เฉินพยักหน้า
เรื่องของการผสานรวมของสามลัทธิ คนแรกสุดที่คิดถึงเส้นทางสายนี้ได้ก็คือโค่วหมิง เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง ศิษย์พี่ของลู่เฉิน
และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขากลุ่มเล็กของใต้หล้ามืดสลัวรู้สึกว่ามรรคกถาของเจ้าลัทธิใหญ่มีความคล้ายคลึงกับพระธรรมของลัทธิพุทธ
เจิ้งจวีจง อู๋ซวงเจี้ยง หลูเซิงที่อยู่ตรงหน้า หลวี่เหยียนที่มีฉายาว่า ‘ฉุนหยาง’ และยังมีเฉินผิงอันในทุกวันนี้…
อันที่จริงบนมหามรรคาเส้นนี้ แต่ละคนต่างก็มีการทดลองกันมาก่อน
แน่นอนว่ายังมีฉีจิ้งชุนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูหกสิบปีที่เดินไปได้ไกลที่สุด เดินไปได้สูงที่สุด
ลู่เฉินวางตะเกียบลง นวดคลึงปลายคาง เหลือบตามองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าประตู สุดท้ายก็ปอกลิ้นจี่แห้งเม็ดหนึ่งโยนเข้าปาก
ก่อนหน้านี้อยู่ที่ศูนย์ตัดต้นไม้ ได้พูดคุยอย่างเปิดใจกับหลินเจิ้งเฉิงที่รับหน้าที่เป็น ‘หุนเจ่อ’ ของถ้ำสวรรค์หลีจู
ปีนั้นฉีจิ้งชุนปกป้องถ้ำสวรรค์หลีจู เลือกที่จะใช้กำลังของตัวเองคนเดียวแบกรับทัณฑ์สวรรค์เอาไว้
เรื่องนี้เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแล้วก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการที่ป๋ายเหย่พกกระบี่ออกเดินทางไกลไปเยือนฝูเหยาทวีปในภายหลัง โดยภาพรวมแล้วสามารถโน้มน้าวได้ แต่มิอาจขัดขวางได้
ต่อให้เป็นฝั่งของลัทธิพุทธ ท่ามกลางทัณฑ์ใหญ่ครานั้น ท่าทางที่มีต่อฉีจิ้งชุนก็ไม่ได้ใช้พลังอำนาจบีบคั้นอย่างเซียนเหรินแห่งหอจื่อชี่ของป๋ายอวี้จิง
ตอนนั้นสามลัทธิหนึ่งสำนักที่ลงมือขัดขวางไม่ให้ฉีจิ้งชุนแบกรับผลกรรมทั้งหมดไว้ อันที่จริงมีเพียงทางฝ่ายของป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัวเท่านั้น หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือ เป็นสองเจ้าลัทธิแห่งป๋ายอวี้จิงอย่างอวี๋โต้วและลู่เฉิน ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่นิสัยใจคอและลักษณะการกระทำเรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคู่นั้นที่กลายเป็นว่าท่าทีและจุดยืนของทั้งสองฝ่ายในเรื่องนี้กลับเหมือนกันอย่างที่หาได้ยาก เรียกได้ว่าชัดเจนอย่างถึงที่สุด ไม่มีพื้นที่ว่างใดๆ ให้ปรึกษาอยู่
เพราะพวกเขากังวลว่านี่คือการทำลายก่อนแล้วค่อยหยัดยืนขึ้นมาใหม่ของฉีจิ้งชุน หากทำสำเร็จก็จะเป็นการกระทำที่พิสูจน์มรรคาอย่างหนึ่งซึ่งมากพอจะให้เขาก่อตั้งลัทธิเรียกตัวเองเป็นบรรพบุรุษได้
ลู่เฉินไม่ได้กังวลว่าขอบเขตของฉีจิ้งชุนจะสูงยิ่งกว่าเดิม สำหรับลู่เฉินแล้ว อย่าว่าแต่ขอบเขตสิบสี่อะไรเลย ต่อให้เป็นขอบเขตสิบห้า จะเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย?
ทว่าลู่เฉินกลับไม่อาจทนมองให้เรื่องเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นได้ นั่นก็คือศิษย์พี่ใหญ่ที่จะต้องเกิดการช่วงชิงบนมหามรรคากับฉีจิ้งชุน มหามรรคาจะต้องขาดสะบั้นไปนับแต่นั้น
นี่หมายความว่าเรื่องที่ลู่เฉินหวังให้ศิษย์พี่ใหญ่มาช่วยตนพิสูจน์กลับกลายเป็นคว้าน้ำเหลว
และในสายตาของศิษย์พี่อวี๋โต้วแล้ว หากฉีจิ้งชุนชิงเดินนำหน้าไปได้ก่อน ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ ก็เท่ากับว่าป๋ายอวี้จิงไม่มีเจ้าลัทธิใหญ่ โลกมนุษย์ก็ยิ่งไม่มีศิษย์พี่แล้ว
และศิษย์พี่โค่วหมิง สำหรับเขาอวี๋โต้วแล้วก็คือผู้มีพระคุณที่รับลูกศิษย์แทนอาจารย์และถ่ายทอดวิชาแทนอาจารย์
ดังนั้นก่อนที่ลู่เฉินจะออกไปจากป๋ายอวี้จิง อวี๋โต้วจึงได้ใช้น้ำเสียงที่แทบจะเรียกว่าเป็นการตักเตือนบอกกล่าวกับศิษย์น้องว่า
‘ลู่เฉิน หากเจ้ากล้ามีความลังเลในช่วงเวลาสุดท้ายที่เป็นกุญแจสำคัญ’
‘ข้าจะลงมือเอง’
ภายหลังลู่เฉินเอ่ยประโยคหนึ่งว่า เห็นๆ กันอยู่ว่าผินเต้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เคยปั่นหัวคนอื่น แต่จะหลอกหลินเจิ้งเฉิงที่เป็นหุนเจ่อคนเฝ้าประตูได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลอกเฉินผิงอันเลย
ลู่เฉินรู้สึกเพียงความกลัดกลุ้ม หยิบตะเกียบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “เรื่องของการฝึกตน พูดกันอย่างหมดเปลือกแล้ว ก็คือการ ‘เปลี่ยนแขกมาเป็นเจ้าบ้าน’ นั่นเอง”
เหล่ตามองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าประตู ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เด็กสาวหลุดหัวเราะพรืด “ใต้หล้านี้มีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะพูดจาวางโตเช่นนี้ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าผินเต้าพูดแทนพวกศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าอารามซุนและจ้าวเทียนซือก็แล้วกัน”
ลู่เฉินหัวเราะหึหึ “ใช่ไหม ใต้เท้าอิ่นกวาน?”
ต่อให้ลู่เฉินอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ได้แต่ใช้ขอบเขตบินทะยานเดินท่องไปทั่วใต้หล้าเท่านั้น
แต่ลู่เฉินก็ยังคงเป็นลู่เฉินนะ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ซานจวินห้าขุนเขาใหญ่ซึ่งรวมถึงโจวโหยวแห่งภูเขาสุ้ยซาน และยังมีสุ่ยจวินหลี่เย่โหวซึ่งเป็นบุคคลที่ก่อนหน้านี้แทบจะสัมผัสได้ถึงดินแดนแห่งฝันในชั่วพริบตา หลี่เย่โหวยังเคยยืนอยู่บนริมขอบของดินแดนแห่งฝันที่ก้ำกึ่งระหว่างจริงเท็จ โจวโหยวก็ยิงกระชากภาพฝันจนแหลกสลายได้อย่างง่ายๆ
หรือว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันไปเยี่ยมเยือนสุ่ยจวินหลี่เย่โหว รวมไปถึงแวะไปเยี่ยมเยือนห้ามหาบรรพตของแผ่นดินกลาง ได้มีการกระทำแสดงความเคารพอย่างลับๆ ที่มิให้คนอื่นล่วงรู้ไปก่อนแล้ว?
เพียงแต่ว่ายิ่งคิดชิงถงก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
ไม่พูดถึงเจ้าลัทธิลู่ พูดถึงแค่หลูเซิง จะดีจะชั่วก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง พูดถึงแค่หลูเซิงตอนที่อยู่พื้นที่มงคลดอกบัว เดิมทีก็เป็นบัณฑิตที่มีความรู้สูงเทียมฟ้า หลังจากที่หลูเซิง ‘จับผลัดจับผลูเข้าจวน’ มา กวาดตาง่ายๆ หนึ่งที ต่อให้เป็นการสอดส่ายสายตาอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ก็ยังเห็นทุกอย่างกระจ่างชัด จดจำได้อย่างลึกซึ้ง หากมีอะไรผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็จะสัมผัสเบาะแสได้ทันที
ก่อนหน้านี้จับมือกับเฉินผิงอันปล่อยดวงจิตไปเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งฝันตามจวนวารีและภูเขาในแต่ละสถานที่ เพียงแค่ดึงเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำของแต่ละฝ่ายเข้ามาในความฝันเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมเข้ามาสักอย่างเดียว
ทว่าใน ‘ซากปรักศาลหลวีกง’ นอกจากเฉินผิงอันจะจัดวางผีสาว ผู้ฝึกตนและเซียนใหญ่จากศาลเถื่อนสองท่าน รวมไปถึงทหารสวมเสื้อเกราะที่ยืนถือง้าวถือกระบี่เฉียบคมเรียงรายอยู่ในระเบียงสองฝากฝั่งแล้ว…ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาต้องพูดคุยกัน ต่างคนต่างพูดบทของตัวเอง…อีกทั้งทุกครั้งที่เปิดปาก ทุกๆ การกระทำ หรือแม้กระทั่งเสียงในใจทุกครั้งล้วนสอดคล้องกับสถานะ ขอบเขตหรือแม้แต่นิสัยใจคอของพวกเขา…นอกจากนี้สิ่งปลูกสร้างที่โผล่มาจากความว่างเปล่าพวกนั้น ทัศนียภาพทุกอย่าง ล้วนจำเป็นต้องมีการแกะสลักในจุดที่เล็กละเอียดอย่างระมัดระวัง ส่วนในภาพรวมก็ต้องสอดคล้องกับลักษณะชัยภูมิ…
นี่หมายความว่านอกจากเฉินผิงอันจะเป็นนักเล่านิทานที่เชี่ยวชาญการแต่งเรื่องแล้ว ยังต้องเป็นปรมาจารย์ผู้สร้างที่เชี่ยวชาญงานการซ่อมแซม งานไม้และดิน เป็นจิตรกร เป็นนักเขียนพู่กันจีน ถึงขั้นที่ว่ายังต้องชำนาญเรื่องเสื้อผ้าเครื่องประดับแต่ละแบบของสตรีด้วย…
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าภาพที่เจ้าเห็นในสระน้ำล้วนเกิดขึ้นตอนนี้หรือ? ‘ต่อให้’ หลอกเจ้าได้? อีกอย่างเจ้าคิดว่าที่หลอกเจ้าไปมีแค่ภาพในน้ำเท่านั้นหรือ? ไม่สู้เจ้าลองหันกลับไปมองในศาลเทพลำคลองเฝินเหออีกสักครั้งดีไหม”
ชิงถงหันกลับไปมองศาลแห่งนั้น สีหน้าก็เผยความหวาดผวาพรั่นพรึงขึ้นมาทันใด พอหันมามองข้างกายก็ไม่มีคนนั่งตกปลาอยู่แล้ว
ชิงถงนั่งลงอย่างห่อเหี่ยว
เพราะเก้าอี้ไม้ไผ่ที่เฉินผิงอันยื่นส่งให้ก่อนหน้านี้…ก็เป็นของปลอม
เฉินผิงอันตัวจริงยืนสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้ออยู่ในระเบียงของตำหนักใหญ่ ข้างกายก็คือนักพรตน้อยทั้งหลายที่เล่นโยนเหรียญทองแดงกัน เพียงแต่นักพรตน้อยกับเหรียญทองแดงล้วนเป็นภาพที่หยุดนิ่ง
เรื่องที่ทำให้ชิงถงรู้สึกหวาดกลัวที่สุดยังไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นม้วนภาพม้วนหนึ่งที่เหมือนเริ่มถูกคลี่กางออกช้าๆ แม่น้ำแห่งกาลเวลาคล้ายกับไหลรินใหม่อีกครั้ง ทางฝั่งของประตูวงเดือนของศาลมีเสียงเครื่องประดับใสกังวานดังขึ้น ‘อีกครั้ง’ มีสตรีเดินออกมาสองคน สตรีวัยกลางคนยังคงมวยผมทรงเมฆา เด็กสาวยังคงสวมเสื้อสีขาวรากบัวสวมกระโปรงสีเขียวต้นหอม สวมรองเท้าปักลายดอกไม้ที่ค่อนข้างเก้า หญิงชราคนเฝ้าศาลสวมชุดคลุมเต๋าสาบเสื้อประกบคู่สีเขียวใบไผ่ พวกนางเดินออกมาจากประตูวงเดือนด้วยกัน เด็กสาวยังคงใช้หางตามองประเมินใครบ้างคน…สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือเป็นลู่เฉินที่มาแทนที่เฉินผิงอัน ยืนอยู่ข้างกาย ‘อดีตชิงถง’ เห็นเพียงว่านักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวบนศีรษะผู้นั้น สองขาเหมือนตะปูที่ถูกตอกไว้แน่น สายตากวาดล่อกแล่กไปมา กว่าจะสงบจิตสงบใจได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วถึงได้ขยับเท้าหลบวูบไปด้านข้าง หลีกทางให้สตรีทั้งสามเดินผ่านไป สายตาของเขายังคงติดตามสตรีวัยกลางคนและเด็กสาวที่รูปโฉมมีความงามแตกต่างกันไป ปากนักพรตท่องพึมพำว่า มองเหมือนดอกหลีแต่ไม่ใช่ดอกหลี มองเหมือนดอกซิ่งแต่ไม่ใช่ดอกซิ่ง สีแดงและสีขาว สายลมวสันต์พัดพาบรรยากาศและความงามแตกต่างกันไป…
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!