แน่นอนว่าหวงชงต้องไม่ปฏิเสธความหวังดีนี้
บางทีอีกฝ่ายอาจจะแค่เอ่ยประโยคตามมารยาทหลังจากที่ดื่มเหล้าไปเมามายแล้ว แต่ก็อาจจะไม่ใช่
หลังจากที่หวงชงเดินออกไปได้ระยะทางหนึ่ง พอหันกลับไปมองอีกครั้งก็เห็นว่าเด็กชายชุดเขียวยังคงยืนอยู่ที่เดิม คลี่ยิ้มกว้างโบกมืออำลาตน สุดท้ายสะบัดชายแขนเสื้อสองข้างเดินเข้าไปในประตู
อันที่จริงส่วนลึกในใจของฮ่องเต้พระองค์นี้ คนของภูเขาลั่วพั่วที่หวงชงอยากเจอมากที่สุด นอกจากอิ่นกวานหนุ่มที่ต้องอยู่อันดับหนึ่งแน่นอนอยู่แล้ว คนที่ตามมาด้านหลังติดๆ ก็คือปรมาจารย์ใหญ่หญิงท่านหนึ่ง
ขอแค่ได้พบเจอพวกเขา หวงชงก็สามารถไม่ต้องพูดคุยเรื่องผู้ถวายงานหรือเค่อชิงอะไรก็ได้
……
เฉินผิงอันไม่ได้หลอกชิงถงจริงๆ ในความเป็นจริงแล้วจิตหยินออกเดินทางไกลของลู่เฉินกับเฉินผิงอันคนหนึ่งที่สร้างดินแดนแห่งความฝันขึ้นมาใหม่ เวลานี้อยู่ในโพรงหินแห่งหนึ่งด้วยกัน
เฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวปักปิ่นหยกกับเจ้าลัทธิลู่ที่สวมกวานดอกบัวยืนอยู่ริมขอบของผนังหินด้วยกัน ลู่เฉินยกมือขึ้นก็สามารถเอื้อมไปแตะบนเพดานของถ้ำหินได้แล้ว
ในพื้นที่ที่คับแคบแห่งนี้ ตอนนั้นนักพรตฉุนหยางที่มาสร้างโอสถทองอยู่ที่นี่คล้ายว่าจะไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ เหลือไว้เพียงเบาะรองนั่งเก่าคร่ำคร่าใบหนึ่งที่ถักทอขึ้นมาจากหญ้าชนิดหนึ่งที่ธรรมดาที่สุด
ลู่เฉินเดินวนรอบเบาะรองนั่งใบนั้นไปหนึ่งรอบ ยกมือขึ้นหนึ่งแนบติดกับผนังถ้ำ พอหยุดเดินแล้วก็เอ่ยว่า “เบาะรองนั่งใบนี้ ผินเต้ามองความมหัศจรรย์อะไรไม่ออก”
เฉินผิงอันสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้ออยู่ตลอดเวลา ยืนอยู่ที่เดิม ถามว่า “แม้ว่าหลวี่จู่จะไม่ได้ร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำอะไรเอาไว้ แต่เจ้าว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกคนตัดต้นไม้และคนเก็บสมุนไพรที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงจะไม่มีใครที่เข้ามาในที่แห่งนี้บ้างเลยหรือ?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “เกินครึ่งน่าจะไม่มี”
เฉินผิงอันหันตัวกลับมา เอนกายพิงผนังหิน “เด็กคนนั้น?”
ลู่เฉินนั่งแปะลงไปบนเบาะรองนั่ง ขยับขานั่งขัดสมาธิ หันฝ่ามือขึ้นด้านบน สองนิ้วทำมุทรา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็แต่เพิ่มทางเดินอีกเส้นหนึ่งให้เด็กคนนั้น จะไม่เป็นการวาดงูเติมขา ฉีเจินทำอะไรรู้หนักเบามากที่สุดแล้ว จะต้องเอาเด็กคนนี้ไปไว้ที่อารามชิวหาว ทั้งไม่ดึงต้นหญ้าช่วยให้เติบโต แล้วก็ไม่ย่ำยีวัตถุดิบสวรรค์ ใช่แล้ว ตอนนี้เด็กคนนั้นชื่อว่าเย่หลาง เย่ที่แปลว่าใบไม้ หลางจากวลีว่ายกตนข่มท่าน”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “เด็กคนนั้นมีคุณสมบัติในการฝึกตนจริงๆ หรือ?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “หากพูดกันในความหมายที่เข้มงวด เขาไม่เหมาะจะฝึกตน ต่อให้ไปโขกหัวขอร้องอยู่ที่หน้าประตูภูเขาของพรรคหวงเหลียงก็ยังขึ้นเขาไปไม่ได้ เป็นเทพเซียนไม่ได้ แต่เด็กคนนี้มีรากแห่งสติปัญญา คุณสมบัติในการฝึกตนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่รากแห่งสติปัญญา บอกว่ามีประโยชน์ก็มีประโยชน์มาก แต่หากจะบอกว่าไร้ประโยชน์เลยก็ไร้ประโยชน์จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นว่า ไม่ว่าจะอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวหรือใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ภิกษุที่ไม่มีชื่อเสียงในวัดวาทั้งหลาย พูดถึงแค่ระดับขั้นความลึกซึ้งของพระธรรมก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะแย่ไปกว่าพวกมังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธที่มีสถานะเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสักเท่าไร แต่เมื่อไม่อาจฝึกตนก็คือไม่อาจฝึกตน โชคดีที่ไม่ถ่วงรั้งการฝึกปฏิบัติธรรมของพวกเขา”
เฉินผิงอันถาม “เด็กคนนั้นรับโชควาสนาส่วนนี้ของเจ้าไว้ได้หรือ?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเห็นยันต์ที่เขาวาดบนพื้นหรือไม่ ไม่ธรรมดาอย่างมากเลยล่ะ น่าเสียดายที่มีแค่จิตวิญญาณ ไม่ได้ในทางรูปลักษณ์ เป็นหอเรือนกลางอากาศ ดังนั้นหากไม่ได้เจอเจ้าและข้า สภาพการณ์ของเขาตลอดชีวิตนี้ก็จะคล้ายคลึงกับหลวงจีนทั้งหลายที่ข้าพูดถึง”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองลู่เฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ในนิยายยุทธภพและนิทานเรื่องเล่าประหลาดต่างก็มีแนวคิดบางอย่างพวกนั้นอยู่ หนึ่งคือถูกศัตรูตามไล่ฆ่า พลัดตกลงไปจากหน้าผา อืม สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างเหมือนนะ จากนั้นก็เจอกับโครงกระดูกของยอดฝีมือหรือไม่ก็ร่องรอยเซียนโดยบังเอิญ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โขกหัวเสียงดัง ไม่แน่ว่าอาจไปสัมผัสโดนกลไกอะไรบางอย่าง ทำให้ได้เคล็ดวิชาลับด้านการฝึกวรยุทธที่พอฝึกสำเร็จแล้วจะไร้ศัตรูทัดเทียมในใต้หล้า เจ้าไม่ลองดูบ้างเล่า ถึงอย่างไรที่แห่งนี้ก็มีแค่พวกเราสองคน ไม่น่าอายหรอก”
ลู่เฉินพยักหน้ารับรัวๆ เหมือนโขลกกระเทียม “ใช่แล้วๆ เจ้าลูกกระต่ายเจียงอวิ๋นเซิงชอบอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดพวกนี้ที่สุด ตอนที่เฝ้าประตูของภูเขาห้อยหัวก็อ่าน พอมาเป็นเจ้านครแล้วก็ยังทำเหมือนเดิม”
เฉินผิงอันมีความทรงจำที่ลึกซึ้งต่อนักพรตน้อยคนนั้นอย่างมาก ทุกครั้งที่เจอกันเขาจะต้องอ่านหนังสืออยู่เสมอ จึงถามว่า “เป็นเจ้านครของนครเสินเซียวหรือว่าเป็นเจ้านครของนครชิงชุ่ยล่ะ?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เป็นเจ้านครชิงชุ่ย ถือว่าได้รับการเลื่อนขั้นอย่างเป็นข้อยกเว้น เป็นเจ้านครของนครหนึ่งในป๋ายอวี้จิงที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน ในประวัติศาสตร์ถือว่าหาได้ยากมาก”
แน่นอนว่ามีสาเหตุมาจากลู่เฉินพยายามอย่างสุดความสามารถอันน้อยนิดที่มี เพียงแต่ว่าขณะเดียวกันเจียงอวิ๋นเซิงก็ต้องเผชิญหน้ากับหายนะเป็นตายครั้งหนึ่ง นั่นต่างหากจึงจะเป็นการทดสอบใหญ่ที่แท้จริง มีชีวิตอยู่ต่อก็ได้เป็นเจ้านครชิงชุ่ยอย่างถูกต้องชอบธรรม ไม่ได้ถูกมองเป็นแค่คนเฝ้าประตูที่มีแค่ยศของเจ้านครอย่างว่างเปล่าเท่านั้น หากทำไม่สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยว่ากันใหม่ชาติหน้าก็แล้วกัน
เพราะปีนั้นตอนที่ลู่เฉินกลับจากฟ้านอกฟ้ามายังป๋ายอวี้จิงได้กักตัวเทวบุตรมารนอกโลกที่มีขนาดเท่าเมล็ดงามาด้วยตนหนึ่ง จากนั้นก็โยนมันเข้าไปในดวงจิตแห่งมรรคาของเจียงอวิ๋นเซิงต่อหน้าต่อตาศิษย์พี่อวี๋โต้ว
ธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “สามารถถอนภาพฝันอีกอันหนึ่งออกได้แล้วหรือไม่?”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ลู่เฉินถอนหายใจ เพราะใน ‘ซากปรักศาลหลวี่กง’ แห่งนั้น ดินแดนความฝันก็จะมีการจำแลงบนมหามรรคาเช่นนี้ต่อไป
ตอนนี้ที่นั่น ลู่เฉิน หลูเซิง เด็กสาวภูตดอกโบตั๋น ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนั้น เทพใหญ่ศาลเถื่อนสองคน…ยังคงพูดคุยกันอยู่ที่เดิม
ราวกับว่าเฉินผิงอันไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน ลู่เฉินผู้นั้นไม่ได้เปิดเผยตัวตนของเด็กสาวโบตั๋น ยังคงดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับหลูเซิง สองฝ่ายในลานบ้านที่ไม่โรมรันกันอีกต่อไปยังคงยืนรอฟังคำสั่ง…
เฉินผิงอันกล่าว “ถึงอย่างไรประคับประคองตนได้อีกไม่นานก็จะสลายหายไปเองอยู่แล้ว”
ก็เหมือนน้ำหมึกเข้มข้นที่ใช้เขียนตัวอักษรแบบหวัดเสร็จในรวดเดียว ต่อให้ตัวอักษรมีมากแค่ไหน รอยน้ำหมึกบนกระดาษก็ย่อมต้องเจือจางและแห้งไปอยู่ดี
ลู่เฉินเองก็ไม่มัวถกเถียงในเรื่องเล็กน้อยเรื่องนี้อีก อยู่ดีๆ ก็พูดอย่างปลงอนิจจังขึ้นมาว่า “สรุปแล้วใต้หล้านี้มีคนที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่อย่างสันโดษหรือไม่”
เฉินผิงอันไม่มีความคิดจะพูดคุยด้วย เห็นว่าลู่เฉินไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นก็นั่งไปริมขอบของช่องโพรงหิน เท้าสองข้างห้อยอยู่นอกหน้าผา ทอดสายตามองไปยังทิศไกลเงียบๆ
“เฉินผิงอัน เจ้าว่าหากยุคเสื่อมมาถึงจริงๆ ผู้คนในเวลานั้นจะคิดไม่ตก จะถกเถียงกันเรื่องปัญหาข้อหนึ่งว่าสรุปแล้วบนโลกมีผู้ฝึกบำเพ็ญตนอยู่หรือไม่?”
ลู่เฉินถามเองตอบเอง “ปัญหาใหญ่เทียมฟ้า ดูเหมือนว่าจะมีแค่ข้อเดียวก็พอแล้ว”
“ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างก็เคยชินกับการที่ฟ้าร้องฝนตก แดดส่องเหงื่อออก มนุษย์ธรรมดาล่างภูเขามีเกิดแก่เจ็บตาย พืชหญ้าในฟ้าดินมีแห้งเหี่ยวงอกงงาม…เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าเรื่องที่ถูกพวกเรายอมรับว่าถูกต้องตามหลักฟ้าดิน เส้นสายที่ถูกเรียกรวมว่าเป็นความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผลเช่นนี้ เมื่อสืบสาวไปถึงต้นกำเนิดแล้ว ใครจะสามารถรับผิดชอบเส้นสายนี้ได้? หากจะบอกว่าชีวิตคนคือการติดหนี้และใช้หนี้ครั้งหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นคนรับประกันที่อยู่ตรงกลาง สรุปแล้วจะเป็นใคร แล้วจะเป็นบุคคลแบบใด? ข้าเคยถามคำถามเช่นนี้กับศิษย์พี่มาก่อน ศิษย์พี่ตอบไม่ตรงคำถาม บอกกับข้าว่านี่เป็นแค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น ข้าจึงถามว่า ถ้าอย่างนั้นในความเห็นของศิษย์พี่ ปัญหาใหญ่ที่แท้จริงล่ะคืออะไร?”
“ศิษย์พี่ยิ้มตอบคำถาม บอกว่าถ้าหากมองฟ้าดินทั้งแห่งเป็นหนึ่งอย่างหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกตนอย่างเราๆ จะมีวิชาอภินิหารที่จะเพิ่มหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่แปรเปลี่ยนมานับแต่โบราณนี้มากขึ้นอีกนิด หรือลดมันให้น้อยลงอีกหน่อยได้หรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!