บทที่ 941.2 ทะยานฟ้าหมื่นลี้ต้องมีกระบี่ยาว – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 941.2 ทะยานฟ้าหมื่นลี้ต้องมีกระบี่ยาว จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ไหล่ของเฉินหลิงจวินเอียงไปข้างหนึ่ง อยากจะเผ่นให้ว่องไวเหมือนทาน้ำมันใต้ฝ่าเท้า ฝ่ามือข้างนั้นของลู่เฉินกลับเพิ่มแรงกดลงมาอีก ถึงอย่างไรก็อย่าหวังว่าจะหนีไปได้
ลู่เฉินหันหน้ามายิ้มเอ่ย “สหายจิ่งชิง ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน ทำไมถึงทำตัวห่างเหินกับผินเต้าเช่นนี้เล่า ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มให้กันเลยสักครั้ง”
เฉินหลิงจวินที่เรือนกายขึงเกร็งเงยหน้าขึ้นฝืนเค้นรอยยิ้มให้เจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ายอวี้จิงผู้นั้น
ลูกผู้ชายยืดได้หดได้ แค่สองเค่อเท่านั้น อีกอย่างนายท่านบ้านตนก็อยู่ข้างกาย เจ้าลัทธิลู่เจ้าอย่ามากร่างกับข้าเลย
เบาไม้เบามือกับข้าหน่อย ลองเพิ่มน้ำหนักอีกสักสองสามส่วนดูสิ? นายท่านใหญ่เฉินอย่างข้าจะลงไปชักดิ้นชักงอร้องไห้โวยวายให้เจ้าดูเลย
ลู่เฉินยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สหายจิ่งชิง ผินเต้าลืมไปแล้วว่าพวกเราสองคนใจตรงกัน เสียงในใจนั้นของเจ้า ดังเข้าหูผินเต้าก็เหมือนเสียงฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น”
เฉินหลิงจวินยกมือสั่นๆ ขึ้นเช็ดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้า ตะเบ็งเสียงดังลั่น พูดอย่างคนแข็งนอกอ่อนในว่า “เจ้าลัทธิลู่ รังแกคนอื่นก็ต้องมีขอบเขตนะ ทำไมท่านถึงได้ชอบข่มขู่ข้าอยู่เรื่อยเลย ข้าก็มีอารมณ์โมโหได้เหมือนกันนะ…”
ตัวเองนึกว่าเสียงดังปานฟ้าผ่า แต่อันที่จริงกลับดังแค่หวึ่งๆ เหมือนเสียงยุงบิน ลู่เฉินเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง “เจ้าโมโหได้มากแค่ไหนกันล่ะ แสดงออกมาให้ผินเต้าดูหน่อยสิ?”
ลู่เฉินยกมือข้างนั้นขึ้นช้าๆ ตรงกลางฝ่ามือของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงผู้นี้อันที่จริงมีภาพบรรยากาศภูเขาสายน้ำสั่นสะเทือน เมื่อครู่นี้ลองอนุมานดูอ้อมๆ ไปรอบหนึ่ง ทำการทำนายดูก็เริ่มรู้สึกนับถือเด็กชายชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้นิดๆ แล้ว
ไม่พูดถึงคำพูดห้าวเหิมและเรื่องเล่าเทพเซียนร้อยเรียงติดต่อกันที่เฉินหลิงจวินสร้างไว้กับบรรพจารย์สามลัทธิ พูดถึงแค่กับเจ้าอารามผู้เฒ่าคนนั้น ไม่ถูกเจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่า ‘จุดที่ละเว้นคนอื่นได้ไม่ละเว้น’ มานานนับหมื่นปีตบจนกลายเป็นก้อนเนื้อเละๆ ก็ถือว่า…เป็นเรื่องมหัศจรรย์ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว
ท่ามกลางม้วนภาพแห่งกาลเวลาที่พร่าเลือนภาพหนึ่ง เด็กชายชุดเขียวเขย่งปลายเท้าตบเขาวัว บอกว่าบนภูเขามีหญ้าเขียวมากพอให้เล็มกิน
หากเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานอย่างพวกชิงถง คาดว่าเวลานี้คงได้ไปเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว
ภายหลังก็เห็นว่าวัวดำตัวนั้นหันหน้ากลับมา ใบหน้าของเด็กชายชุดเขียวเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม ผลคือเขายังเอ่ยอีกประโยคหนึ่งว่า พอได้ยินคำว่ากินก็เข้าใจได้เลยหรือ เป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าวันหน้าจะสามารถฝึกวิชาเซียนได้จริง
คาดว่าหากเปลี่ยนมาเป็นขอบเขตบินทะยานอย่างพวกนักพรตเนิ่นก็คงจะต้องไปเดินบนเส้นทางสู่น้ำพุเหลืองเป็นเพื่อนชิงถงแน่นอนแล้ว
ในบรรดาผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ พลังพิฆาตของป๋ายเหย่ และการป้องกันของภิกษุเสินชิง หรือก็คือภิกษุน้ำแกงไก่ ต่างก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่ง
ทว่าเฒ่าตาบอดในภูเขาใหญ่แสนลี้ กับเจ้าอารามผู้เฒ่าตงไห่แห่งอารามกวานเต๋า ทั้งเรื่องของการป้องกันและโจมตีก็แค่เพราะเปรียบเทียบกับป๋ายเหย่และเสินชิงเท่านั้น ถึงได้ดูไม่โดดเด่นถึงเพียงนั้น
ในสายตาของซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู บรรพจารย์สามลัทธิ หรือแม้แต่จอมปราชญ์น้อยเอง เต๋าเหล่าเอ้อ ป๋ายเจ๋อ บวกกับอีกสี่คนนี้ พอจะเอามารวมกันให้กลายเป็น ‘สิบผู้กล้าในใต้หล้า’ กลุ่มที่สองของตลอดหมื่นปีได้
กวอจู๋จิ่วคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันถาม “ทำไมหรือ?”
กวอจู๋จิ่วหัวเราะหึหึ “อาจารย์พ่อ ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งคิดเยอะคำพูดยิ่งน้อยลง ประหลาดจริง”
เฉินผิงอันตีหน้าเคร่งพยักหน้ารับ “ดีมาก เหมือนอาจารย์พ่อ”
ชิงถงไม่เคยเห็นอิ่นกวานหนุ่มมีสีหน้าอ่อนโยนขนาดนี้มาก่อน
หลี่ไหวพลันเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ขอปรึกษากับเจ้าสักเรื่องสิ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เดินเข้าไปในห้องพร้อมกับหลี่ไหว
นักพรตเนิ่นที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเป็นเทพทวารบาลตื่นเต้นยิ่งกว่าหลี่ไหวเสียอีก ยืนเพียงครู่เดียว นักพรตเนิ่นกลับรู้สึกว่านั่งลงผ่อนคลายกว่ามากนัก
ก็เหมือนอย่างขุนนางผู้ซื่อสัตย์ที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาเจอกับกษัตริย์ทรราชที่ไม่สนน้ำร้อนน้ำชาใดๆ ยากที่จะแสดงปณิธานออกมา โชคดีที่ถูกทรราชผู้นั้นแต่งตั้งเป็นขุนนางใหญ่คนสำคัญให้ไปอยู่ตำหนักรัชทายาท คอยให้การช่วยเหลือประคับประคองรัชทายาท จากนั้นก็มีวันหนึ่งที่ฮ่องเต้เฒ่าผู้นั้นวางท่าว่าจะสั่งเสียก่อนตาย บอกว่าจะยกทรัพย์สินทั้งหมดในท้องพระคลังให้ตำหนักรัชทายาทดูแล ก็เหมือนพูดจาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่าวันหน้าเจ้าเป็นคนรับผิดชอบ ‘สำเร็จราชการแทน’ และรัชทายาทคนนี้กลับดันมาทำตัวขี้ขลาดในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญเช่นนี้
น่าจะมีความหมายประมาณนี้กระมัง ส่วนความต่างในรายละเอียดอื่นๆ สามารถมองข้ามไปได้
และจะไม่ทำให้นักพรตเนิ่นที่นั่งอยู่ตรงธรณีประตูตื่นเต้นได้อย่างไรไหว
หลักการเหตุผลในใต้หล้าก็หนีไม่พ้นคำว่า เข้ามาอยู่ในกระเป๋าจึงจะสบายใจ ของดีๆ ที่คนอื่นขอร้องก็ยังไม่ได้มา คุณชาย นายท่านหลี่ไหว บรรพบุรุษน้อยหลี่ไหว ขอให้ท่านเอามาไว้ในกระเป๋าให้สบายใจก่อนเถอะนะ
มัลละเกราะทองที่ไม่สนใจความเป็นความตายมากมายขนาดนั้น บวกกับพวกแมลงน่าสงสารบางส่วนที่กลายมาเป็นเซียนผี จากนั้นถูกกักอยู่ใน ‘กรงขังกลางท้อง’ ของมัลละเกราะทอง หากพวกมันล้วนรับหลี่ไหวเป็นเจ้านาย…
อยู่ในใบถงทวีปที่พลังชีวิตเสียหายอย่างหนัก ขอแค่ไม่มีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่มาขวางทางก็มากพอจะเดินกร่างในหนึ่งทวีปได้เลย!
อยู่กับเฉินผิงอัน หลี่ไหวไม่เคยมีข้อห้ามอะไรอยู่แล้ว
ถึงอย่างไรตัวเองเป็นคนอย่างไร เฉินผิงอันก็รู้ดีที่สุดอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้เฒ่าตาบอดที่อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวได้ลากหลี่ไหวและนักพรตเนิ่นเข้าไปในความฝัน หวนกลับไปยังภูเขาใหญ่แสนลี้อีกครั้ง
ผลคือตอนอยู่บนยอดเขาแห่งนั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ยักษ์ตนหนึ่งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนปรากฏตัว ต่อให้อีกฝ่ายอยู่ในท่านั่งคุกเข่าข้างเดียว ศีรษะนั้นก็ยังสูงทัดเทียมกับยอดเขา
เกือบจะทำเอาหลี่ไหวตกใจจนออกมาจากดินแดนแห่งความฝัน ตอนนั้นยังคงเป็นเฒ่าตาบอดที่ช่วยสร้างความสงบให้กับจิตแห่งมรรคาของเขา หลี่ไหวถึงได้ไม่ถอยออกจากฝัน
แน่นอนว่านักพรตเนิ่นยอมรับในตัวหลี่ไหวมาก ขี้ขลาด แต่กลับใจคอกว้างขวางมีน้ำใจ ไม่ใช่เมล็ดพันธ์บัณฑิต แต่มักจะมีความคิดดีๆ ผุดวาบขึ้นมาในหัว มีหลักการเหตุผลดีๆ หลุดออกมาจากปากอยู่เสมอ
สงครามครั้งหนึ่งสิ้นสุดลง อดทนผ่านมันไปไม่ได้ มัลละเกราะทองใต้บัญชาการณ์ของหลี่ไหวก็จะเป็นเหมือนตำราที่วางอยู่บนชั้นหนังสือในห้องวันนี้ที่เป็นได้แค่ของประดับตกแต่งห้อง แต่คนทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลกลับฝากความหวังไว้กับหลี่ไหว เจ้าเป็นนักปราชญ์ของสำนักศึกษาซานหยา คือลูกศิษย์ของฉีจิ้งชุน คือลูกศิษย์ของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง เจ้ามีพลังการสู้รบที่น่าหวาดกลัวซึ่งเป็นกุญแจสำคัญอยู่ในมือ เหตุใดไม่ยินดีพาตัวเข้าสู่สนามรบ?
ต่อให้หลี่ไหวสามารถอดทนผ่านด่านยากทางใจด่านนี้ไปได้ เริ่มบังคับให้ตัวเองยอมรับหลักการเหตุผลบางอย่างบนสนามรบ จำต้องทำเรื่องที่ผิดต่อตำราอริยะปราชญ์ คอยบอกกับตัวเองอย่างต่อเนื่องว่าบนสนามรบดาบและหอกไร้ตา หากใจอ่อนเป็นสตรีก็ไม่สามารถกุมอำนาจทางการทหารได้ สุดท้ายนำทัพใหญ่เกราะทองกรีฑาทัพลงใต้ไปตลอดทาง ถ้าอย่างนั้นชีวิตของหลี่ไหวในอนาคตก็จะเหมือนได้เดินไปบนทางแยกอีกทางหนึ่ง บางทีอาจเติบใหญ่เพราะเหตุนี้ อาจดีได้ยิ่งกว่านี้ หรืออาจถึงขั้นได้กลายเป็นวิญญูชนอย่างสมชื่อคนหนึ่ง แต่ว่ากลับมีความเป็นไปได้มากกว่าว่าจะไม่อาจปล่อยวางได้ลง ต้องมีชีวิตจมอยู่ในความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต ราวกับว่าหลักการเหตุผลอะไรล้วนรู้หมด ก็แค่ว่า…ตัวเองปล่อยวางตัวเองไม่ลงก็เท่านั้น
ทว่าคำพูดเหล่านี้ หลักการเหตุผลพวกนี้ เฉินผิงอันก็ยังไม่คิดจะแจกแจงรายละเอียดปลีกย่อยกับหลี่ไหว ‘ชั่วคราว’ เหมือนกัน
บนเส้นทางของชีวิตคน บางครั้งรับเอาหลักการเหตุผลข้อหนึ่งที่มีน้ำหนักมากมา ต่อให้หลักการเหตุผลข้อนี้จะดีแค่ไหน แต่ก็เป็นแค่การเพิ่มก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งลงไปในตะกร้าสะพายหลังของคนที่เดินขึ้นเขาเท่านั้น
จะทำให้คนเดินโซเซ มิอาจแบกรับน้ำหนักได้ไหว ขมขื่นเกินกว่าจะบรรยาย
หลี่ไหวเอ่ยอย่างกังขา “นี่เรียกว่าไม่น่าฟังแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่น่าฟังก็คือ เจ้าหลี่ไหวคือลูกศิษย์ของสายเหวินเซิ่งพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายแล้ว นับตั้งแต่เหวินเซิ่งอาจารย์ปู่ของเจ้า มาจนถึงอาจารย์ฉีผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้เจ้า ไปจนถึงอาจารย์ลุงใหญ่ชุยฉาน อาจารย์ลุงรองจั่วโย่ว อาจารย์ลุงสามหลิวสือลิ่ว จนมาถึงอาจารย์อาน้อยเฉินผิงอัน พวกเราที่อยู่ท่ามกลางสงครามใหญ่ที่หอบม้วนสองใต้หล้าเข้าไว้ด้วยกันคราวนั้น ต่างก็ออกแรงกันไปไม่หน่อย หากเอาเรื่องผลงานทางการสู้รบมาคุยกัน พวกเราทุกคนเฉลี่ยให้เจ้าคนละนิดคนละหน่อย ก็ไม่ถือว่าน้อยแล้ว”
หลี่ไหวทำหน้าอึ้งตะลึง จากนั้นก็เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “นี่ยังสู้คำพูดที่ไม่น่าฟังไม่ได้เลยนะ”
นักพรตเนิ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่ชอบใจทันใด เจ้าคนแซ่เฉินผู้นี้ ทำไมเจ้าถึงได้ชั่วร้ายขนาดนี้ล่ะ
ไม่เห็นหัวข้านักพรตเนิ่นเลยใช่ไหม ถึงได้กล้ารังแกคุณชายบ้านข้าอย่างเปิดเผยเช่นนี้?
พวกเราสองคนมาขีดเส้นแบ่งกันเลย หากแน่จริงก็อย่านับที่พึ่งของใครของมัน จากนั้นถอดยศที่เป็นสิ่งลวงตาจับต้องไม่ได้พวกนั้นทิ้งไป รวมไปถึงหลังจบเรื่องใครก็ห้ามอาฆาตแค้น มาฝึกปรือฝีมือกัน มาประลองมรรคกถากันดีไหมล่ะ?
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “หลี่ไหว ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง นอกสนามรบ วันหน้าเจ้าสามารถทำเรื่องต่างๆ ได้อีกมากมาย ศึกษาหาความรู้ในห้องหนังสือ และยังมีเรื่องที่นอกเหนือจากการศึกษาหาความรู้ บางทีเรื่องส่วนใหญ่ในบรรดาเรื่องพวกนั้นคนอื่นก็อาจทำได้ แต่ก็จะต้องมีบางเรื่องที่มีแค่หลี่ไหวเท่านั้นที่ถึงจะทำได้ ไม่ว่าจะในฐานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อหรือการอยู่ร่วมกับสังคมของตัวเอง ความมั่นใจน้อยนิดแค่นี้ก็ควรยังต้องมี”
หลี่ไหวเงยหน้าขึ้น “ข้าไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเองสักเท่าไร แต่ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า”
เฉินผิงอันยิ้มพร้อมกับปรบมือ “แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
หลี่ไหวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็หยิบตำราเล่มนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ถามชวนคุยว่า “เฉินผิงอัน เจ้ารู้จักหลวี่เหยียนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ไม่เพียงแค่รู้จัก ข้ายังเคยเจอหลวี่จู่ผู้นี้มาก่อนด้วย ฉายาของเขาคือฉุนหยาง คือเกาเจินผู้บรรลุมรรคาที่มีความรู้มากคนหนึ่ง หลวี่จู่ก็เหมือนอาจารย์ฉีที่เดินไปบนเส้นทางของการผสานรวมสามลัทธิได้สูงมากไกลมาก”
เฉินผิงอันกวาดตามองชั้นหนังสือ พอมั่นใจในตำแหน่งเดิมของตำราเล่มนี้แล้วก็อดทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ว่า ขนาดนี้ก็ยังถูกหลี่ไหวพลิกหาออกมาได้นะ?
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!