ไหล่ของเฉินหลิงจวินเอียงไปข้างหนึ่ง อยากจะเผ่นให้ว่องไวเหมือนทาน้ำมันใต้ฝ่าเท้า ฝ่ามือข้างนั้นของลู่เฉินกลับเพิ่มแรงกดลงมาอีก ถึงอย่างไรก็อย่าหวังว่าจะหนีไปได้
ลู่เฉินหันหน้ามายิ้มเอ่ย “สหายจิ่งชิง ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน ทำไมถึงทำตัวห่างเหินกับผินเต้าเช่นนี้เล่า ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มให้กันเลยสักครั้ง”
เฉินหลิงจวินที่เรือนกายขึงเกร็งเงยหน้าขึ้นฝืนเค้นรอยยิ้มให้เจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ายอวี้จิงผู้นั้น
ลูกผู้ชายยืดได้หดได้ แค่สองเค่อเท่านั้น อีกอย่างนายท่านบ้านตนก็อยู่ข้างกาย เจ้าลัทธิลู่เจ้าอย่ามากร่างกับข้าเลย
เบาไม้เบามือกับข้าหน่อย ลองเพิ่มน้ำหนักอีกสักสองสามส่วนดูสิ? นายท่านใหญ่เฉินอย่างข้าจะลงไปชักดิ้นชักงอร้องไห้โวยวายให้เจ้าดูเลย
ลู่เฉินยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สหายจิ่งชิง ผินเต้าลืมไปแล้วว่าพวกเราสองคนใจตรงกัน เสียงในใจนั้นของเจ้า ดังเข้าหูผินเต้าก็เหมือนเสียงฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น”
เฉินหลิงจวินยกมือสั่นๆ ขึ้นเช็ดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้า ตะเบ็งเสียงดังลั่น พูดอย่างคนแข็งนอกอ่อนในว่า “เจ้าลัทธิลู่ รังแกคนอื่นก็ต้องมีขอบเขตนะ ทำไมท่านถึงได้ชอบข่มขู่ข้าอยู่เรื่อยเลย ข้าก็มีอารมณ์โมโหได้เหมือนกันนะ…”
ตัวเองนึกว่าเสียงดังปานฟ้าผ่า แต่อันที่จริงกลับดังแค่หวึ่งๆ เหมือนเสียงยุงบิน ลู่เฉินเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง “เจ้าโมโหได้มากแค่ไหนกันล่ะ แสดงออกมาให้ผินเต้าดูหน่อยสิ?”
ลู่เฉินยกมือข้างนั้นขึ้นช้าๆ ตรงกลางฝ่ามือของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงผู้นี้อันที่จริงมีภาพบรรยากาศภูเขาสายน้ำสั่นสะเทือน เมื่อครู่นี้ลองอนุมานดูอ้อมๆ ไปรอบหนึ่ง ทำการทำนายดูก็เริ่มรู้สึกนับถือเด็กชายชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้นิดๆ แล้ว
ไม่พูดถึงคำพูดห้าวเหิมและเรื่องเล่าเทพเซียนร้อยเรียงติดต่อกันที่เฉินหลิงจวินสร้างไว้กับบรรพจารย์สามลัทธิ พูดถึงแค่กับเจ้าอารามผู้เฒ่าคนนั้น ไม่ถูกเจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่า ‘จุดที่ละเว้นคนอื่นได้ไม่ละเว้น’ มานานนับหมื่นปีตบจนกลายเป็นก้อนเนื้อเละๆ ก็ถือว่า…เป็นเรื่องมหัศจรรย์ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว
ท่ามกลางม้วนภาพแห่งกาลเวลาที่พร่าเลือนภาพหนึ่ง เด็กชายชุดเขียวเขย่งปลายเท้าตบเขาวัว บอกว่าบนภูเขามีหญ้าเขียวมากพอให้เล็มกิน
หากเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานอย่างพวกชิงถง คาดว่าเวลานี้คงได้ไปเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว
ภายหลังก็เห็นว่าวัวดำตัวนั้นหันหน้ากลับมา ใบหน้าของเด็กชายชุดเขียวเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม ผลคือเขายังเอ่ยอีกประโยคหนึ่งว่า พอได้ยินคำว่ากินก็เข้าใจได้เลยหรือ เป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าวันหน้าจะสามารถฝึกวิชาเซียนได้จริง
คาดว่าหากเปลี่ยนมาเป็นขอบเขตบินทะยานอย่างพวกนักพรตเนิ่นก็คงจะต้องไปเดินบนเส้นทางสู่น้ำพุเหลืองเป็นเพื่อนชิงถงแน่นอนแล้ว
ในบรรดาผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ พลังพิฆาตของป๋ายเหย่ และการป้องกันของภิกษุเสินชิง หรือก็คือภิกษุน้ำแกงไก่ ต่างก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่ง
ทว่าเฒ่าตาบอดในภูเขาใหญ่แสนลี้ กับเจ้าอารามผู้เฒ่าตงไห่แห่งอารามกวานเต๋า ทั้งเรื่องของการป้องกันและโจมตีก็แค่เพราะเปรียบเทียบกับป๋ายเหย่และเสินชิงเท่านั้น ถึงได้ดูไม่โดดเด่นถึงเพียงนั้น
ในสายตาของซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู บรรพจารย์สามลัทธิ หรือแม้แต่จอมปราชญ์น้อยเอง เต๋าเหล่าเอ้อ ป๋ายเจ๋อ บวกกับอีกสี่คนนี้ พอจะเอามารวมกันให้กลายเป็น ‘สิบผู้กล้าในใต้หล้า’ กลุ่มที่สองของตลอดหมื่นปีได้
กวอจู๋จิ่วคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันถาม “ทำไมหรือ?”
กวอจู๋จิ่วหัวเราะหึหึ “อาจารย์พ่อ ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งคิดเยอะคำพูดยิ่งน้อยลง ประหลาดจริง”
เฉินผิงอันตีหน้าเคร่งพยักหน้ารับ “ดีมาก เหมือนอาจารย์พ่อ”
ชิงถงไม่เคยเห็นอิ่นกวานหนุ่มมีสีหน้าอ่อนโยนขนาดนี้มาก่อน
หลี่ไหวพลันเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ขอปรึกษากับเจ้าสักเรื่องสิ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เดินเข้าไปในห้องพร้อมกับหลี่ไหว
นักพรตเนิ่นที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเป็นเทพทวารบาลตื่นเต้นยิ่งกว่าหลี่ไหวเสียอีก ยืนเพียงครู่เดียว นักพรตเนิ่นกลับรู้สึกว่านั่งลงผ่อนคลายกว่ามากนัก
ก็เหมือนอย่างขุนนางผู้ซื่อสัตย์ที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาเจอกับกษัตริย์ทรราชที่ไม่สนน้ำร้อนน้ำชาใดๆ ยากที่จะแสดงปณิธานออกมา โชคดีที่ถูกทรราชผู้นั้นแต่งตั้งเป็นขุนนางใหญ่คนสำคัญให้ไปอยู่ตำหนักรัชทายาท คอยให้การช่วยเหลือประคับประคองรัชทายาท จากนั้นก็มีวันหนึ่งที่ฮ่องเต้เฒ่าผู้นั้นวางท่าว่าจะสั่งเสียก่อนตาย บอกว่าจะยกทรัพย์สินทั้งหมดในท้องพระคลังให้ตำหนักรัชทายาทดูแล ก็เหมือนพูดจาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่าวันหน้าเจ้าเป็นคนรับผิดชอบ ‘สำเร็จราชการแทน’ และรัชทายาทคนนี้กลับดันมาทำตัวขี้ขลาดในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญเช่นนี้
น่าจะมีความหมายประมาณนี้กระมัง ส่วนความต่างในรายละเอียดอื่นๆ สามารถมองข้ามไปได้
และจะไม่ทำให้นักพรตเนิ่นที่นั่งอยู่ตรงธรณีประตูตื่นเต้นได้อย่างไรไหว
หลักการเหตุผลในใต้หล้าก็หนีไม่พ้นคำว่า เข้ามาอยู่ในกระเป๋าจึงจะสบายใจ ของดีๆ ที่คนอื่นขอร้องก็ยังไม่ได้มา คุณชาย นายท่านหลี่ไหว บรรพบุรุษน้อยหลี่ไหว ขอให้ท่านเอามาไว้ในกระเป๋าให้สบายใจก่อนเถอะนะ
มัลละเกราะทองที่ไม่สนใจความเป็นความตายมากมายขนาดนั้น บวกกับพวกแมลงน่าสงสารบางส่วนที่กลายมาเป็นเซียนผี จากนั้นถูกกักอยู่ใน ‘กรงขังกลางท้อง’ ของมัลละเกราะทอง หากพวกมันล้วนรับหลี่ไหวเป็นเจ้านาย…
อยู่ในใบถงทวีปที่พลังชีวิตเสียหายอย่างหนัก ขอแค่ไม่มีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่มาขวางทางก็มากพอจะเดินกร่างในหนึ่งทวีปได้เลย!
อยู่กับเฉินผิงอัน หลี่ไหวไม่เคยมีข้อห้ามอะไรอยู่แล้ว
ถึงอย่างไรตัวเองเป็นคนอย่างไร เฉินผิงอันก็รู้ดีที่สุดอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้เฒ่าตาบอดที่อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวได้ลากหลี่ไหวและนักพรตเนิ่นเข้าไปในความฝัน หวนกลับไปยังภูเขาใหญ่แสนลี้อีกครั้ง
ผลคือตอนอยู่บนยอดเขาแห่งนั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ยักษ์ตนหนึ่งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนปรากฏตัว ต่อให้อีกฝ่ายอยู่ในท่านั่งคุกเข่าข้างเดียว ศีรษะนั้นก็ยังสูงทัดเทียมกับยอดเขา
เกือบจะทำเอาหลี่ไหวตกใจจนออกมาจากดินแดนแห่งความฝัน ตอนนั้นยังคงเป็นเฒ่าตาบอดที่ช่วยสร้างความสงบให้กับจิตแห่งมรรคาของเขา หลี่ไหวถึงได้ไม่ถอยออกจากฝัน
แน่นอนว่านักพรตเนิ่นยอมรับในตัวหลี่ไหวมาก ขี้ขลาด แต่กลับใจคอกว้างขวางมีน้ำใจ ไม่ใช่เมล็ดพันธ์บัณฑิต แต่มักจะมีความคิดดีๆ ผุดวาบขึ้นมาในหัว มีหลักการเหตุผลดีๆ หลุดออกมาจากปากอยู่เสมอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!