ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นครจินชุ่ย
ศาลาหลังหนึ่งที่หลังคาเป็นยอดแหลมมีกรอบป้ายคำว่า ‘เยว่เหมย’
ฟ้าโปร่งแสงจันทร์อ่อนจาง พื้นดินเปลี่ยวร้างก่อเกิดธรรมเนียมซับซ้อน
ปัญญาชนวัยกลางคนที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว บนศีรษะสวมมงกุฎหยกเขียวกำหมัดเบาๆ ในฝ่ามือกุมหมากสีขาวและสีดำเอาไว้สองเม็ด เมื่อเขากำมือ เม็ดหมากก็กระทบกันดังแกรกกราก
เมื่อความคิดของผู้ฝึกตนที่เป็นเค่อชิงของนครจินชุ่ยผู้นี้บังเกิด ในศาลาแห่งนี้ก็มีภาพปรากฏการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น บรรยากาศแปรเปลี่ยนหลากหลาย แต่กลับไม่มีปราณวิญญาณฟ้าดินแม้สักเสี้ยวที่ไหลเอ่อท้นออกไปนอกศาลา
อันดับแรกมีตัวอักษรสีทองยาวเป็นพรวนลอยกระเพื่อมขึ้นมาก่อน กลายเป็นประโยคที่หนึ่ง ประโยคที่สอง ประโยคที่สาม
เพียงไม่นานในศาลาก็มีเสียงฟ้าร้องครืนครั่นเพราะตัวอักษรสิบกว่าตัวนี้ บนพื้นที่ปูด้วยอิฐเขียวเหมือนกลายมาเป็นพื้นดิน ลายเส้นบนก้อนอิฐเหมือนลายน้ำที่มีคลื่นยักษ์หมื่นจั้งถาโถม
สมกับเป็นตราประทับทางใจลี้ลับของสายนิกายฉานลัทธิพุทธ ขนบธรรมบ้านข้า ประหนึ่งอสนีบาตยามฟ้าสว่างสดใส ดั่งคลื่นถาโถมจากบนพื้นดิน
บนอิฐเขียวก้อนหนึ่งที่เหมือนพื้นดินของทวีปแห่งหนึ่ง คลื่นมรสุมพลันหยุดนิ่ง ในขณะที่ฟ้าใสอากาศปลอดโปร่งก็ดูเหมือนจะมีภิกษุสองคนที่ตัวเล็กเท่าเมล็ดงาเดินขึ้นสู่ที่สูงมา หนึ่งอาจารย์หนึ่งศิษย์เดินขึ้นเขามาด้วย ภิกษุหนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ถามอาจารย์ว่าเมื่อสอนให้คนเดินบนเส้นทางนกบิน ไม่ทราบว่าอะไรคือเส้นทางนกบิน? หลวงจีนเฒ่าก้าวยาวๆ เหมือนดาวตก ฝีเท้าขยับว่องไวราวกับบิน เดินอยู่บนเส้นทางภูเขาที่สูงชันอันตรายเหมือนเดินอยู่บนพื้นที่ราบ พอได้ยินคำถามก็ยิ้มเอ่ยว่า ไม่พบเจอใคร ระหว่างที่เดินขึ้นเขา ภิกษุทั้งสองยังได้ทยอยเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่ที่แกะสลักไว้บนหินผาริมทาง ล้วนมีแค่ตัวอักษรเดียว จู่ ซื่อ ชิน ผู่ เหย้า การทยอยเจอตัวอักษรก็เหมือนการผ่านด่าน ไม่มีการหยุดพักใดๆ ภิกษุหนุ่มพลันถามอีกว่าอะไรคือโฉมหน้าที่แท้จริง? ไม่คิดว่าภิกษุเฒ่าจะตอบว่า ไม่เดินบนเส้นทางของนก ภิกษุหนุ่มเงียบงันไป หลวงจีนเฒ่าพลันตวาดดังลั่น อะไรคือพุทธะ? ภิกษุหนุ่มตอบเนิบช้าว่าเด็กน้อยปิ่งติงขอไฟ หลวงจีนเฒ่าถามเอ่ยอีกว่า กล่าวได้ดี ปิ่งติงล้วนเป็นธาตุไฟ ใช้ไฟขอไฟ น่าเสียดายที่ยังไม่ถึงที่สุด ลองพูดได้อีก ใต้ฝ่าเท้าของภิกษุทั้งสองคือภูเขาลูกหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วกลับเกิดจากการหล่อหลอมตัวอักษรหลายร้อยล้านตัวในคัมภีร์เต๋าเล่มหลักและคัมภีร์เต๋าเล่มชุด และด้านนอกหน้าผาของเส้นทางภูเขาบนภูเขา ‘เต้าซาน’ ลูกนี้ก็มีนกตัวหนึ่งที่พลันบินแหวกอากาศมาถึง สยายปีกบินอ้อมภูเขา ภูเขาสีเขียวลูกนี้ก็เริ่มพลิกหมุน สุดท้ายภูเขาที่หมุนติ้วก็คล้ายจะหยุดลอยนิ่งไปพร้อมกับนกบิน ประหนึ่งลูกธนูที่พุ่งมาอย่างว่องไวก็ต้องมีช่วงเวลาที่หยุดนิ่งเช่นเดียวกัน ภิกษุสองคนที่เดินขึ้นจุดสูงโดยไม่รู้ว่าภูเขาพลิกหมุนเห็นนกที่บินอยู่นอกภูเขาเหมือนลูกธนูดอกหนึ่งที่หยุดลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ภิกษุหนุ่มก็เงียบงันไม่พูดไม่จา หลวงจีนเฒ่าถอนหายใจ น้ำค้างใต้ชายคาหนอ ภิกษุหนุ่มพลันใจตรงกัน ถามเองตอบเองว่าอะไรคือพุทธะ? เด็กน้อยปิ่งติงมาขอไฟ หลวงจีนเฒ่าพยักหน้ารับเบาๆ กระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งที สุดท้ายก็ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า อย่าเผยหลักฐาน…
ปีนั้นหลังจากที่ในที่สุดก็คิดจนเข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างกระจ่าง ปัญญาชนวัยกลางคนที่ฝึกตนอยู่ในนครจินชุ่ยมานานหลายปีผู้นี้ ความคิดจิตใจส่วนใหญ่ล้วนเอาไปวางไว้บนพระสูตรพระวินัยและพระอภิธรรมแต่ละสายของลัทธิพุทธที่ยิ่งใหญ่ไพศาลเหมือนมหาสมุทรหมดแล้ว
นอกศาลา เจ้านครหญิงของนครจินชุ่ยเดินนวยนาดมาถึง เมื่อนางหยุดเท้าแล้วก็มองอยู่พักหนึ่ง เนื่องจาก ‘อาจารย์’ ท่านนั้นไม่ได้อำพรางภาพบรรยากาศ นางถึงได้มองเห็นภาพประหลาดที่ปรากฏขึ้นในศาลา รอกระทั่ง ‘อาจารย์’ ท่านนั้นหันหน้ามามองตน นางถึงได้ยอบกายคารวะด้วยท่วงท่าสุภาพเรียบร้อย คลี่ยิ้มหวาน ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาจารย์ ท่านทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”
เจ้านครชิงเจีย ฉายาว่า ‘ยวนหู’ คือผู้ฝึกตนหญิงเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหริน อันที่จริงนางได้ครอบครอง ‘สุ่ยเลี่ยน’ ชุดคลุมอาคมระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้ที่อยู่ในนครจินชุ่ย หากไม่ต้องจัดงานพิธีต่างๆ นางก็จะสวม ‘เจียวเย่’ ชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกตลักษณะเรียบง่ายที่อยู่บนร่างตัวนี้แล้วประทินโฉมอ่อนๆ เท่านั้น
แขกที่คอยช่วยออกหัวคิดให้กับนครจินชุ่ยซึ่งถูกชิงเจียเรียกขานว่า ‘อาจารย์’ ด้วยความเคารพผู้นี้ลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็เลยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พูดคุยกันแก้เบื่อเท่านั้น”
แซ่ก่ายนามเจิ้ง คือผู้ฝึกตนของต่างถิ่นคนหนึ่ง
เขามาเป็นเค่อชิงอยู่ในนครจินชุ่ยเกือบร้อยปีแล้ว ส่วนใหญ่มักจะเก็บตัวสันโดษไม่ค่อยออกไปไหน แทบจะไม่เคยเผยตัวให้คนเห็น ต่อให้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของชิงเจียกลุ่มนั้นต่างก็ไม่เคยรู้ว่านครจิงชุ่ยมีบุคคลประหลาดผู้นี้อยู่ด้วย
บางครั้งก่ายเจิ้งก็จะออกเดินทางไกลอย่างเงียบเชียบบ้าง ไม่เคยบอกกล่าวกับชิงเจีย และนางเองก็ไม่เคยถามให้มากความ
สีหน้าของชิงเจียจริงใจ “อาจารย์ไม่จำเป็นต้องสนใจพิธีรีตองพวกนี้ กฎเกณฑ์ในใต้หล้าก็คือกรอบที่สร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ ด้วยความรู้ที่เลิศล้ำเทียมฟ้าของอาจารย์ ไม่จำเป็นต้องสนใจหรอก”
ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มกล่าว “เข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ไม่ควรละทิ้งมารยาท”
ชิงเจียเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “อาจารย์มีข้อเรียกร้องต่อตัวเองอย่างเข้มงวดดุจสายลมสารทที่พัดใบไม้ร่วงอย่างไร้ปราณี”
ปัญญาชนวัยกลางคนส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าบัณฑิตที่เคยเปิดอ่านหนังสือแค่ไม่กี่เล่มมาก่อน ก็สามารถถูกเรียกว่าอาจารย์ได้แล้ว”
คำเรียกขานว่าอาจารย์นี้ อันที่จริงมีมาก่อน ‘บัณฑิต’ ของยุคบรรพกาลเสียอีก ความหมายใหญ่ยิ่งกว่า มากพอจะทัดเทียมกับคำว่า ‘นักพรต’ ได้
ชิงเจียยืนอยู่ที่เชิงบันไดของศาลาอย่างว่าง่ายตลอดเวลา ถามหยั่งเชิงว่า “อันที่จริงวันนี้ไม่มีเรื่องอยากจะขอความรู้จากอาจารย์ สามารถเข้าไปนั่งในศาลาได้หรือไม่?”
บ่าสองข้างแต่ละด้านของผู้ฝึกตนหญิงมีนกฮว่าเหวยตัวหนึ่งและภูตพันธ์ไม้ที่มีชื่อว่าสาวทอผ้าเกาะอยู่ ในทางส่วนตัวแล้ว ชิงเจียเรียกเค่อชิงที่มีนามแฝงว่าก่ายเจิ้งผู้นี้ด้วยความเคารพว่า ‘อาจารย์’ โดยที่ไม่เพิ่มแซ่มาโดยตลอด
แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าของนครจินชุ่ยตัวจริงก็ไม่ใช่นางมานานแล้ว
เพียงแต่ว่าความจริงบางอย่างที่ทำให้ชิงเจียรู้สึกว่า ‘น่าสนุก’ ที่สุด ไม่ใช่น่าหวาดกลัว ก็คือนางได้เห็นอาจารย์ในศาลาท่านนี้กับตาตัวเอง หาไม่แล้วความทรงจำทั้งหมดของนางที่เกี่ยวกับคนผู้นี้ก็เหมือนถูกขังใส่กลอนไว้ในห้องแห่งหนึ่ง นางที่เป็นเจ้าของกลับไม่มีกุญแจห้อง กุญแจห้องดอกนั้นกลับกลายเป็นว่าไปอยู่ในมือของอาจารย์ท่านนี้แทน
นี่จึงเป็นเหตุให้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ใครเล่าจะสามารถรู้ความจริงข้อนี้ได้?
ชิงเจียรู้สึกว่าน่าสนใจมาก ก็เหมือนแม่นางน้อยคนหนึ่งที่เริ่มมีรักแล้วต้องแอบซุกซ่อนความลับอย่างหนึ่งที่ไม่ยินดีจะแบ่งปันให้คนอื่นรู้
สามารถกุมจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งไว้ในมือกำเล่นได้ตามใจชอบ เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองต้องทำได้แน่นอน หากจะบอกว่าให้อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้แล้วก็ยังยินยอมพร้อมใจอยู่เหมือนเดิม นั่นก็ยิ่งน่าเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่ และ ‘ยวนหู’ เซียนหญิงแห่งนครจินชุ่ยก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนิ่มอะไร อาศัยแค่ขอบเขตเซียนเหรินคนเดียวที่ไม่มีบรรพจารย์ให้พึ่งพิง อีกทั้งนางเกิดมาก็ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า แต่กลับสามารถปกป้องนครจินชุ่ยทั้งแห่งและผู้ฝึกตนหญิงหลายร้อยคนเอาไว้ได้ ก็รู้ได้แล้วว่าจิตแห่งมรรคาของยวนหูต้องแข็งแกร่งถึงเพียงใด
ปัญญาชนวัยกลางคนไม่ได้สลายภาพเหตุการณ์ผิดปกติในศาลาทิ้งไป ยิ้มเอ่ยว่า “แน่นอนว่าแขกต้องตามใจเจ้าบ้าน”
ชิงเจียได้ยินแล้วก็ขบริมฝีปาก ดวงตาเรียวยาวคลอประกายน้ำงดงามคู่นั้นมีทั้งความแง่งอน ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหล นางเดินขึ้นบันไดมา ยกชายกระโปรงขึ้น เดินเข้ามาในศาลาแล้วถึงสัมผัสได้ถึงระดับความกว้างขวางของศาลาเล็กๆ หลักนี้ นางเดินอ้อมผ่านอิฐเขียวบนพื้นบางก้อนที่มีกลิ่นอายมรรคาล้อมเวียนวนไปอย่างระมัดระวัง สุดท้ายไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอาจารย์
เซียนเหรินหญิงคนหนึ่งที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า เวลานี้นั่งตัวตรงอย่างสำรวมเหมือนเผชิญหน้ากับอาจารย์ที่สอนหนังสือในโรงเรียนท่านหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!