สำหรับเถาถิงแล้ว ชิงเจียแห่งนครจินชุ่ยก็คือแม่นางน้อยคนหนึ่ง ถือเป็นผู้เยาว์ในบ้านตัวเองครึ่งตัว
เพราะหากสืบย้อนไปยังต้นกำเนิด นครจินชุ่ยก็มีสายสืบทอดอยู่สองสาย สายหนึ่งคล้ายคลึงกับระบบสืบทอดดั้งเดิม อีกสายหนึ่งถือเป็นวิชาลับสายนอก และผู้ถ่ายทอดมรรคาบางคนของเถาถิงกับชิงเจียที่สถานะที่ถูกปิดบังไว้ก็มีเรื่องราวความเป็นมา ไม่ถือเป็นคู่บำเพ็ญเพียร แต่หากจะพูดว่าเป็นชู้รักก็ไม่น่าฟังอีก
และผู้ถ่ายทอดมรรคาของชิงเจียที่ไม่ได้รับการบันทึกลงในทำเนียบนครจินชุ่ยก็เคยทิ้งคำสั่งเสียข้อหนึ่งไว้ให้กับนครจินชุ่ย บอกว่าในดวงจันทร์เฮ่าไฉ่มีบุคคลเก่าแก่ที่หากอิงตามลำดับอาวุโสแล้วชิงเจียสามารถเรียกว่าบรรพจารย์ไท่ซ่างได้อยู่คนหนึ่ง แต่จะได้พบกับบรรพจารย์ท่านนี้เมื่อไหร่ เวลาใด กลับไม่ได้บอกแน่ชัด แค่อดทนรอคอยไปก็พอ
เดิมทีชิงเจียนึกว่านครจินชุ่ยจะสามารถมีภูเขาที่พึ่งยิ่งใหญ่โอฬารเพิ่มมาอีกลูกหนึ่ง ผลคือดวงจันทร์ดวงหนึ่งที่อยู่บนฟ้าถูกผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เป็นเหมือนวิญญาณตามติดไม่ยอมไปผุดไปเกิดกลุ่มนั้นร่วมมือกันเคลื่อนย้ายไปไว้ที่ใต้หล้ามืดสลัวโดยตรง นี่ทำให้ชิงเจียไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วจะให้นางนับญาติกลับเข้าตระกูลอย่างไรเล่า? เพียงแต่ว่านอกจากความผิดหวังแล้วนางก็ยังรู้สึกผ่อนคลายได้หลายส่วน เพราะถึงอย่างไรในนครจินชุ่ยก็มีอาจารย์เจิ้งที่ตนยินดีจะฝากความเป็นความตายไว้ให้เขา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว หากจะให้บรรพจารย์ที่อายุขัยในการฝึกตนยาวนานผู้นั้นหวนกลับคืนมายังโลกมนุษย์แล้วมาเยือนนครจินชุ่ย ไม่แน่ว่านั่นกลับจะกลายเป็นหายนะอย่างหนึ่งก็เป็นได้
ในสนามรบของแจกันสมบัติทวีป ราชวงศ์ต้าหลีเคยกว้านริบชุดคลุมอาคมที่มาจากนครจินชุ่ยไปจนหมด น่าเสียดายที่ไม่อาจจับตัวผู้ฝึกตนที่เป็นผู้สืบทอดของนครจินชุ่ยซึ่งเชี่ยวชาญวิชาการหล่อหลอมมาได้สำเร็จ
เมื่อสามปีก่อนยวนหูเจ้านครได้จัดพิธีเฉลิมฉลองเลื่อนขั้นเป็นเซียนเหริน
นอกจากหย่างจื่อที่มาเข้าร่วมงานพิธีด้วยตัวเองแล้ว เถาถิงเองก็เคยแอบดอดออกมาจากภูเขาใหญ่แสนลี้เหมือนกัน
ในเอกสารลับคฤหาสน์หลบร้อน สำหรับเรื่องนี้ต่างก็มีบันทึกระบุไว้อย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดว่าใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็อยู่ในสถานการณ์ที่ลูกธนูขึ้นสายแล้ว สงครามใหญ่จึงสามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และนครจินชุ่ยที่หากไม่ใช่เพราะอาจารย์เจิ้ง อันที่จริงก็ไม่มีทางเลือกใดๆ ให้พูดถึงแล้ว หากไม่เป็นฝ่ายไปขอพึ่งพาภูเขาทัวเยว่ ไม่อย่างนั้นก็จะต้องถูกใต้หล้าไพศาลโจมตี กลายไปเป็นนักโทษของอีกฝ่าย
ชิงเจียสังเกตเห็นว่าดูเหมือนอาจารย์ท่านนี้จะใจลอยไปเล็กน้อย นางไม่กล้ารบกวนการปล่อยดวงจิตท่องไปหมื่นลี้ของอีกฝ่าย เพียงรอคอยประโยคถัดไปอย่างใจเย็น
เพียงครู่เดียวเจิ้งจวีจงก็คืนสติกลับมา เอ่ยแค่ประโยคที่กระชับเรียบง่ายกับนางว่า “ก็หนีไม่พ้นว่าเปลี่ยนซินจวงแห่งภูเขาทัวเยว่เป็นศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง นครจินชุ่ยเป็นฝ่ายลดราคาลงครึ่งหนึ่ง ขอไปตั้งรกรากอยู่ที่ฝูเหยาทวีป แล้วก็เลือกทวีปอื่นอีกสักแห่ง ยกตัวอย่างเช่นธวัลทวีป เลือกให้มาเป็นที่ตั้งของสำนักเบื้องล่าง”
เห็นได้ชัดว่าชิงเจียไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้ ไม่มีสีหน้าตกตะลึงใดๆ สำนักของเปลี่ยวร้างที่สามารถปรับตัวเข้ากับดินและน้ำของไพศาลได้มีจำนวนน้อยนิด บังเอิญที่นครจินชุ่ยเป็นหนึ่งในนั้นพอดี นางถามอย่างระมัดระวังว่า “จะย้ายทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนครจินชุ่ยอย่างไร? แล้วควรจะเลือกผู้ฝึกตนอย่างไร?”
เจิ้งจวีจงกล่าว “ตามข้าไปก็พอ”
คงเป็นเพราะกังวลว่าอีกฝ่ายจะฟังไม่เข้าใจ เจิ้งจวีจงจึงยิ้มอธิบายว่า “ตลอดทั้งนครจินชุ่ยได้ถูกข้าหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตแล้ว เพื่อปิดบังภูเขาทัวเยว่ ไม่ให้เผยพิรุธจนเดือดร้อนไปถึงสหายยวนหู เรื่องนี้ก็ต้องเสียเวลาข้าไปหลายวันเลยจริงๆ”
เมื่อครู่นี้การที่เจิ้งจวีจงแบ่งสมาธิไปคิดเรื่องอื่นเพราะกำลังพิจารณาเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่เลย
และเรื่องนี้ เจิ้งจวีจงก็เคยพูดคุยกับชุยฉานแค่คนเดียวเท่านั้น
ทัศนคติของทั้งสองฝ่ายไม่ต่างกันสักเท่าไร สรรพชีวิตที่มีสติปัญญา ภายใต้การนำของผู้ฝึกตน ปูถนนสร้างสะพาน เดินไปยังนอกฟ้า คือทางออกเส้นหนึ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องเอาดวงดาวของนอกฟ้าเหล่านั้นมาเป็นสะพานเชื่อมโยง หรือไม่ก็เป็น ‘แดนบินของสำนัก’ ขอแค่กระดานหมากใหญ่มากพอ ก็สามารถหลุดพ้นไปจากการช่วงชิงแพ้ชนะ ลดทอนความเสียหายภายในของฟ้าดินที่กำหนดไว้ บางทีเผ่ามนุษย์อาจเป็นผู้นำ ร่วมมือกับผู้ฝึกตนเผ่าต่างๆ อย่างจริงใจ เลือกสถานที่อยู่อาศัยตามดวงดาวทั้งหลายนอกฟ้า ขยายเผ่าพันธุ์ให้เจริญเติบโต…
แต่ลำพังเพียงแค่ ‘ทางไป’ ใหม่เอี่ยมที่ตอนนี้ยังบอกได้ยากเส้นนี้ หรือเส้นทางเชื่อมโยงที่เป็น ‘ทางมา’ เส้นเก่า ยังอยู่ห่างไกลเกินกว่าจะพอมากนัก เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝันก็ยังต้องใช้เส้นทางบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ‘เดินไปข้างใน’ ให้สรรพชีวิตในฟ้าดินมีวิธีการเอาชีวิตรอดอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือทางถอยที่จำเป็นต้องเตรียมการวางแผนล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ
ซิ่วหู่ชุยฉานศึกษาความรู้จนถึงขีดสุด สุดท้ายสร้างคนกระเบื้องขึ้นมา ก็เพื่อพิสูจน์ให้เจิ้งจวีจง และบรรพจารย์สามลัทธิได้เห็นเรื่องไม่คาดฝันที่น่าหวาดกลัวของ ‘หนึ่งในหมื่น’ นี้
ตัวอย่างในตอนนี้ก็วางอยู่ตรงหน้า พวกท่านทั้งสามคงจะไม่แสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็นหรอกกระมัง
เจิ้งจวีจงมั่นใจเลยว่า หากเผ่ามนุษย์ทั้งไม่อาจหาทางออก แล้วก็ไม่อาจหาทางถอยที่สามารถรักษาตัวรอดอย่างสมบูรณ์ได้เจอ ถ้าอย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งจะต้องถูกตัวเองทำลายลงเป็นแน่
ก็เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคยอยู่สูงเหนือใครที่ทำลายสรรพชีวิตบนพื้นดินที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองกับมือ
ตัวเองทุกคนที่พวกเราไม่กล้ายอมรับ
ก็คือสัตว์ที่ถูกขังที่ได้แต่เดินวนไปวนมาอยู่ในกรง ก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงของตำหนักใหญ่
ผู้ฝึกตนผู้บรรลุมรรคาส่วนใหญ่ไม่รู้สักนิดเลยว่าคำว่าก่อสำนักตั้งตัวเป็นบรรพจารย์ รากฐานของการก่อสำนักนั้นต้องทำอะไร ตั้งตัวเป็นบรรพจารย์ไปเพื่ออะไร
ดวงตาไม่สูงพอ มือก็ย่อมต่ำยิ่งกว่า ถูกกำหนดมาแล้วว่ายื่นมือไปไม่โดน ‘ผ้าม่านผืนนั้น’
ในศาลา คนผู้หนึ่งคิดถึงความเป็นความตายของนครจินชุ่ย
คนผู้หนึ่งพิจารณาถึงความเป็นความตายของสรรพชีวิตทั้งหมด
นี่ก็คงจะเป็นความต่างของพวกเขา
มิน่าเล่านักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูถึงได้ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ความต่างระหว่างคนกับคน มากยิ่งกว่าความต่างระหว่างคนกับหมู
เจิ้งจวีจงโบกชายแขนเสื้อเก็บภาพเหตุการณ์ผิดปกติในศาลาส่วนนั้นมา งอสองนิ้วเคาะลงบนเสาศาลาเบาๆ
งานไม้ในโลกมนุษย์ รูบากและเดือยคือกุญแจสำคัญ
อยู่ในบ้าน อยู่ในโรงเรียนด้านนอก ฝึกตนอยู่บนภูเขา
อาศัยสิ่งใดมาเชื่อมโยงใจคน?
เจิ้งจวีจงลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พวกเราต่างก็เป็นตะเกียงดวงหนึ่งที่เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวหม่นแสงอยู่ในฟ้าดิน”
คำพูดและการกระทำคือรูบากและเดือย จิตใจของมนุษย์ร่วมกันสร้างตะเกียง
สร้างบ้านก่อเรือน รวมกลุ่มกันเพื่อหาความอบอุ่น
จากนั้นเจิ้งจวีจงก็เดินนำออกไปจากศาลาเยว่เหมยก่อน พาชิงเจียเดินเล่นไปในนครจินชุ่ย ฤดูหนาวที่หิมะตกโปรยปราย ตำหนักหอเรือนของนครจินชุ่ยโอ่อ่างามตระการตา สวยงามประดุจดินแดนแห่งแก้วใส
ชิงเจียที่ติดตามอยู่ข้างกายเจิ้งจวีจิงมิอาจร่ายเวทคาถาได้ จึงอำพรางตัวตนไปด้วยเลย ในตำหนักใหญ่ที่ลักษณะคล้ายตำหนักในวังหลวงแห่งหนึ่งมีเด็กสาวที่มวยผมทรงวิญญาณงู นางกำลังเขย่งปลายเท้า เอวบางจึงยืดตาม ในมือถือท่อนไม้ยาวทุบตีแผ่นน้ำแข็ง ยามที่แผ่นน้ำแข็งหล่นกระทบพื้นก็เกิดเสียงดังเหมือนเสียงหยกแตกเป็นระลอก เสียงหัวเราะของพวกเด็กสาวแว่วหวานดุจเสียงสกุณาขับร้อง
เดินออกไปจากตำหนัก เจิ้งจวีจงพาชิงเจียมาถึงลำคลองสายหนึ่งที่โอบล้อมนครจินชุ่ยอยู่ด้านนอก พื้นผิวของลำคลองกว้างขวาง น้ำใต้สะพานเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง มีเด็กน้อยหลายคนกำลังวิ่งไล่จับกันอยู่บนแผ่นน้ำแข็งอย่างสนุกสนาน
เจิ้งจวีจงเดินเลียบกระแสน้ำตอนบนของลำคลองไปเรื่อยๆ กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงทำนบกั้นริมลำคลอง ใต้ฝ่าเท้าคือก้อนหินลักษณะเรียวยาวที่ถูกก่อขึ้นมา เกาะกลุ่มกันอยู่ทั่วพื้นที่ ระหว่างร่องหินราดน้ำแป้งข้าวเหนียวลงไป จากนั้นใช้ตะปูก้ามหนีบที่ทำจากเหล็กและเดือยยึดไว้ให้แน่นหนา เหมือนเกล็ดปลาที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ แล้วก็เหมือนกระดูกสันหลังที่โค้งโก่งของคนแก่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!