นักพรตน้อยจ้องเปลวไฟที่อยู่ใต้เตาหลอมโอสถ ดวงหน้าอ่อนเยาว์ถูกเปลวไฟสาดส่องให้ดูมีชีวิตชีวา เขาเบ้ปากพูดว่า “จะมีประโยชน์กะผายลมอะไร”
หวังหยวนลู่เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยเสียงเบาว่า “ดีกว่าไม่มีประโยชน์กะผายลมมากนัก”
นักพรตน้อยได้ยินก็พลันเดือดดาลอย่างหนัก เข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายกำลังพูดจาเหน็บแนมตน เพียงแต่รอกระทั่งเขาหันหน้าไปมองกลับเห็นสีหน้าจริงจังที่คล้ายจะแฝงไว้ด้วยความเสียใจเล็กน้อยของอีกฝ่าย
ใต้หล้ามืดสลัว มณฑลกานโจว ตำหนักสุ้ยฉู
ในหอชมทัศนียภาพของตำหนักที่ตั้งอยู่ตรงจุดสูงสุดซึ่งถูกสร้างไว้กลางภูเขา คนทั้งสี่นัดหมายกันมาดื่มสุรา
ตอนนี้พวกเขากำลังส่งตำราเล่มหนึ่งที่เจ้าตำหนักเขียนขึ้นด้วยตัวเองเวียนกันอ่าน ในตำราบันทึกด้วยตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวัน บันทึกขนบธรรมเนียมและผู้คนของที่ใต้หล้าห้าสีไว้อย่างละเอียด
อยู่ที่นี่ทั้งสามารถมองเห็นหอกว้านเชวี่ย แล้วก็สามารถมองเห็นเสากลางกระแสน้ำที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำนอกหอกว้านเชวี่ยซึ่งแท้จริงแล้วคือหินพักมังกรก้อนหนึ่งได้ด้วย
พวกเขาทั้งหลายต่างก็เป็น ‘คนเก่าแก่’ ของหอกว้านเชวี่ย โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่ในอดีตไร้ชื่อเสียง เปิดกิจการอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวของใต้หล้าไพศาลมาสองสามร้อยปี โรงเตี๊ยมเล็กๆ กลับเป็นสถานที่พยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบ หนึ่งบินทะยานสองเซียนเหริน บวกกับขอบเขตหยกดิบอีกสองคน นอกจากเถ้าแก่หนุ่มแล้ว พ่อครัวและนักการของโรงเตี๊ยมอีกสี่คน ใช้นามแฝงโดยมีแซ่เป็นแซ่เหนียน อีกทั้งยังอยู่ในรูปลักษณ์ของจิตหยินออกเดินทางไกลไปยังภูเขาห้อยหัวของใต้หล้าไพศาลด้วย ‘เด็กสาว’ คนหนึ่งในนั้นที่ใช้นามแฝงว่าเหนียนชวงฮวาก็ยิ่งเป็นบุตรสาวทายาทของเจ้าตำหนักอู๋ซวงเจี้ยง นางมีฉายาว่า ‘เติงจู๋’
ส่วนเถ้าแก่หนุ่มก็คือป๋ายลั่วที่อู๋ซวงเจี้ยงเรียกชื่อเล่นว่าเสี่ยวป๋าย คือบุคคลสำคัญอันดับสองที่มีอำนาจแท้จริงในการจัดการกิจธุระของตำหนักสุ้ยฉู
เวลานี้นอกจากป๋ายลั่วคนเฝ้าคืนแล้ว อีกสี่คนที่เหลือต่างก็อยู่ที่นี่กันหมด
จางหยวนป๋อเซียนเหรินที่มีฉายาว่าต้งจงหลง คือผู้เฒ่าผมขาวที่ปลายจมูกเป็นสีแดงก่ำ เขาโยนตำราที่อ่านจบแล้วเล่มนั้นไปให้กับคู่รักที่กำลังหยอกเย้ากันซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
นอกจากการฝึกตนแล้ว เวลาอยู่ว่างๆ หากมอบเหล้าให้ผู้เฒ่าคนนี้หนึ่งกา กับแกล้มหนึ่งจาน เขาก็สามารถดื่มได้ตลอดทั้งวัน
ราวกับว่าทุกครั้งที่ยกชามเหล้าดื่มเหล้าหนึ่งอึกก็จะต้องคายกลับไปในชามอีกคำใหญ่
เขาที่นั่งบนโต๊ะสุราสูดเหล้าดังซู้ด หรี่ตาลงด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม ดื่มเหล้าลงคอแล้วก็ตัวสั่นเยือก
สถานที่ประกอบพิธีกรรมของจางหยวนป๋อในอดีตก็คือบนหินพักมังกรก้อนนั้น ภายหลังมีผู้ฝึกกระบี่เฉิงเฉวียนมาอยู่ จางหยวนป๋อจึงเป็นฝ่ายยกถิ่นของตัวเองให้อีกฝ่าย ไม่ต้องเปิดการประชุมในศาลบรรพจารย์ด้วยซ้ำ หากเรื่องหยุมหยิมแค่นี้ก็ยังต้องรบกวนให้เจ้าตำหนักช่วยตัดสินใจให้ แพร่ออกไปแล้วจะไม่ถูกคนนอกหัวเราะจนฟันร่วงเลยหรอกหรือ
อวี๋โฉว ซานซ่างจวินยื่นมือไปรับสมุดเล่มนั้นมา เปิดตำราอย่างว่องไวราวกับบินด้วยสีหน้าจริงจัง เสียงเปิดหน้าหนังสือดังพั่บๆ แม้ว่าจะอ่านได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่กล้าข้ามตัวอักษรไปแม้แต่ตัวเดียว
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นตำราที่เจ้าตำหนักเขียนขึ้นเองกับมือ
ตอนนั้นเต้ากวานสามพันคนของใต้หล้ามืดสลัวเข้าไปอยู่ใต้หล้าห้าสี ในนามแล้วป๋ายอวี้จิงมีคนแค่พันกว่าคนเท่านั้น ยังขาดจากจำนวนครึ่งหนึ่งอีกถึงสี่ร้อยกว่าคน
แต่ในความเป็นจริงแล้วเทียนจวินเซียนกวานของป๋ายอวี้จิงที่ไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ข้างนอกมีอยู่ไม่น้อย ความสัมพันธ์ที่โยงใยกันหลายชั้น อันที่จริงหากจะคำนวณกันอย่างคร่าวๆ เต้ากวานของป๋ายอวี้จิงก็ยังได้ส่วนแบ่งรายชื่อมาถึงครึ่งหนึ่ง
คนรักบนภูเขาของชายฉกรรจ์คนนี้มีนามว่าเซี่ยชุนเถียว เรือนกายของสตรีแข็งแกร่งกำยำ บุคลิกท่าทาง…ไม่เหมือนเทพธิดาอย่างยิ่ง นางชอบดื่มเหล้าฤทธิ์แรง พูดจาทะลึ่งสัปดน
บนศีรษะของเซี่ยชุนเถียวปักปิ่นไผ่สีเขียวมรกต กำลังดื่มเหล้าเงียบๆ
ส่วนคนรักที่อยู่ข้างกายก็คือคนที่ชอบมือไม้ยุ่มย่าม ราวกับผีบ้าตัณหากลับชาติมาเกิด
สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว การตีกันบนเตียงประเภทนั้นจะไปมีความหมายกะผายลมอะไร แต่ในเมื่อเป็นคนรักกัน ก็จะเล่นพลิกผ้าปูเตียงกับเขาไปแล้วกัน
ชายฉกรรจ์ยื่นส่งตำราเล่มนั้นให้กับคนรักที่อยู่ข้างกาย ยังไม่ลืมบีบข้อมือขาวนวลของสตรีออกเรือนแล้ว ผลคือถูกเซี่ยชุนเถียวที่มือหนึ่งรับตำรามา อีกมือหนึ่งตบเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่าย ตบจนชายฉกรรจ์เกือบจะร่างหมุนติ้วอยู่ที่เดิม
จางหยวนป๋อขมวดคิ้วกล่าว “ทำไมในช่วงเวลาเช่นนี้ถึงมีอันดับรายชื่อของสิบคนในใต้หล้าโผล่มากะทันหัน เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ตั้งเจ็ดแปดปี”
อวี๋โฉวหัวเราะร่วน “อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็ไม่ได้มีชื่อติดบนกระดาน ก็ไม่เกี่ยวห่าเหวอะไรกับข้าแล้ว”
เซี่ยชุนเถียวอ่านตำราพลางเอ่ยว่า “ประเด็นสำคัญคือทางฝั่งของพรรคเซียนจั้งป่าวประกาศอย่างชัดเจนว่ารายชื่อนี้ไม่ใช่ฝีมือของพวกเรา นี่ก็ชวนให้ขบคิดมากแล้ว”
‘เด็กสาว’ ที่ใช้นามแฝงว่าเหนียนชวงฮวา ในฐานะที่นางเป็นบุตรสาวของอู๋ซวงเจี้ยง ชื่อจริงคืออู๋ฮุ่ย เพียงแต่ว่าชื่อนี้ดูเหมือนว่าจะตั้งอย่างขาดทุนอยู่สักหน่อย
เพราะเสียงที่พ้องกับชื่อนี้ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก อูฮุ่ย (สิ่งสกปรก) อู้ฮุ่ย (เข้าใจผิด) อู่หุ่ย (ไม่เสียใจ) …
ตอนนั้นที่ปล่อยจิตหยินเดินทางไกล พวกเขาต้องข้ามใต้หล้าถึงสองแห่ง ล้วนไม่ใช่จิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบ ร่างจริงและจิตหยางต่างก็อยู่ที่ตำหนักสุ้ยฉู
แน่นอนว่าถูกเจ้าตำหนักอู๋ซวงเจี้ยงใช้เวทลับบางอย่างช่วยพิทักษ์ปกป้อง หาไม่แล้วด้วยขอบเขตของพวกเขา จิตหยินก็ไม่มีทางอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวได้นานขนาดนั้น อีกทั้งต่างคนต่างยังสามารถฝึกตนต่อไปได้
ผู้ฝึกกระบี่หญิงอายุน้อยห้อยกลองป๋องแป๋งขนาดเล็กจิ๋วไว้ที่เอว หน้ากลองวาดภาพสีด้วยฝีมือประณีต หนังกลองเย็บมาจากหนังมังกร ด้ามไม้ท้อห้อยอัญมณีแก้วใสเม็ดหนึ่งที่ผูกไว้ด้วยด้ายสีแดง
ด้วยตบะของเด็กสาว นี่ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตอีกชิ้นหนึ่งที่ถูกนางหล่อหลอม ถึงกับมิอาจบดบังแสงอัญมณีที่ส่องประกายเจิดจ้าเอาไว้ได้ทั้งหมด นี่แสดงให้เห็นว่ากลองเล็กชิ้นนี้ไม่เพียงแต่เป็นสมบัติหนักระดับขั้นของอาวุธเซียน อีกทั้งในบรรดาอาวุธเซียนก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ามันต้องเป็นของชั้นสูง ทางฝั่งของตำหนักสุ้ยฉูนี้ คืนก่อนวันสิ้นปีของทุกๆ ปีจะมีประเพณีเก่าแก่ที่จะต้องจุดตะเกียงทุกดวง เทียนทุกเล่มให้สว่างไสวและตีกลองเพื่อขับไล่ผีแห่งโรคระบาด คนที่รับผิดชอบจัดการสองเรื่องนี้ก็คืออู๋ฮุ่ย
ตอนที่อู๋ฮุ่ยอยู่ในโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ใช้นามแฝงว่าเหนียนชวงฮวา
เพราะตอนที่อายุน้อย มีครั้งหนึ่งที่นางเฝ้าคืนอยู่กับบิดา
อู๋ซวงเจี้ยงชอบอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชอบอ่านบันทึกของนักประพันธ์ที่เกี่ยวกับเกร็ดประวัติต่างๆ อู๋ฮุ่ยจึงเคยได้ยินบิดาพูดถึงประโยคหนึ่งในหนังสือ
คนในหน้าต่างเขียนอักษรแปะดอกไม้บนกระดาษหน้าต่าง ข้าที่อยู่นอกหน้าต่างเห็นแล้วรู้สึกว่างามยิ่ง
บางทีอาจอ่านเจอจากในตำรา หรือไม่ก็เกิดแรงบันดาลใจจึงเอ่ยขึ้นมา ใครจะรู้เล่า
อู๋ฮุ่ยกล่าว “วันหน้าให้ข้าถามบิดาดีไหม?”
อวี๋โฉวรีบส่ายหน้า “อู๋ฮุ่ย ควบคุมตัวเอง ต้องควบคุมตัวเองนะ อย่าเดือดร้อนให้พวกเราต้องโดนเจ้าตำหนักอบรมเด็ดขาด”
สามร้อยปีที่ผ่านมา คนสิบคนของใต้หล้ามืดสลัวมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ทุกคนล้วนเป็นคนแก่แทบทั้งสิ้น
ทางฝั่งของป๋ายอวี้จิง คนที่ติดสามอันดับแรก ไม่มีความเห็นต่างใดๆ เจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิง เจ้าลัทธิรองอวี๋โต้ว เจ้าลัทธิสามลู่เฉิน
อันดับที่สี่คือเจินเหรินผู้เฒ่าเจ้าประมุขของตำหนักหัวหยางแห่งภูเขาตี้เฝ่ย เกากูผู้มีฉายาว่า ‘จวี้เยว่’
อันดับที่ห้า ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู อันดับที่หก หลินเจียงเซียนแห่งยาซาน คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนเดียวที่ติดอันดับ
อีกไม่กี่คนต่อจากนั้นก็คือคนใบหน้าเก่าๆ ที่แต่ละคนชื่อเสียงและฉายาเหมือนเสียงฟ้าผ่าที่ดังอยู่ข้างหู
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!