บทที่ 957.3 มีคนตีกลอง – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 957.3 มีคนตีกลอง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
นักพรตน้อยจ้องเปลวไฟที่อยู่ใต้เตาหลอมโอสถ ดวงหน้าอ่อนเยาว์ถูกเปลวไฟสาดส่องให้ดูมีชีวิตชีวา เขาเบ้ปากพูดว่า “จะมีประโยชน์กะผายลมอะไร”
หวังหยวนลู่เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยเสียงเบาว่า “ดีกว่าไม่มีประโยชน์กะผายลมมากนัก”
นักพรตน้อยได้ยินก็พลันเดือดดาลอย่างหนัก เข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายกำลังพูดจาเหน็บแนมตน เพียงแต่รอกระทั่งเขาหันหน้าไปมองกลับเห็นสีหน้าจริงจังที่คล้ายจะแฝงไว้ด้วยความเสียใจเล็กน้อยของอีกฝ่าย
ใต้หล้ามืดสลัว มณฑลกานโจว ตำหนักสุ้ยฉู
ในหอชมทัศนียภาพของตำหนักที่ตั้งอยู่ตรงจุดสูงสุดซึ่งถูกสร้างไว้กลางภูเขา คนทั้งสี่นัดหมายกันมาดื่มสุรา
ตอนนี้พวกเขากำลังส่งตำราเล่มหนึ่งที่เจ้าตำหนักเขียนขึ้นด้วยตัวเองเวียนกันอ่าน ในตำราบันทึกด้วยตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวัน บันทึกขนบธรรมเนียมและผู้คนของที่ใต้หล้าห้าสีไว้อย่างละเอียด
อยู่ที่นี่ทั้งสามารถมองเห็นหอกว้านเชวี่ย แล้วก็สามารถมองเห็นเสากลางกระแสน้ำที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำนอกหอกว้านเชวี่ยซึ่งแท้จริงแล้วคือหินพักมังกรก้อนหนึ่งได้ด้วย
พวกเขาทั้งหลายต่างก็เป็น ‘คนเก่าแก่’ ของหอกว้านเชวี่ย โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่ในอดีตไร้ชื่อเสียง เปิดกิจการอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวของใต้หล้าไพศาลมาสองสามร้อยปี โรงเตี๊ยมเล็กๆ กลับเป็นสถานที่พยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบ หนึ่งบินทะยานสองเซียนเหริน บวกกับขอบเขตหยกดิบอีกสองคน นอกจากเถ้าแก่หนุ่มแล้ว พ่อครัวและนักการของโรงเตี๊ยมอีกสี่คน ใช้นามแฝงโดยมีแซ่เป็นแซ่เหนียน อีกทั้งยังอยู่ในรูปลักษณ์ของจิตหยินออกเดินทางไกลไปยังภูเขาห้อยหัวของใต้หล้าไพศาลด้วย ‘เด็กสาว’ คนหนึ่งในนั้นที่ใช้นามแฝงว่าเหนียนชวงฮวาก็ยิ่งเป็นบุตรสาวทายาทของเจ้าตำหนักอู๋ซวงเจี้ยง นางมีฉายาว่า ‘เติงจู๋’
ส่วนเถ้าแก่หนุ่มก็คือป๋ายลั่วที่อู๋ซวงเจี้ยงเรียกชื่อเล่นว่าเสี่ยวป๋าย คือบุคคลสำคัญอันดับสองที่มีอำนาจแท้จริงในการจัดการกิจธุระของตำหนักสุ้ยฉู
เวลานี้นอกจากป๋ายลั่วคนเฝ้าคืนแล้ว อีกสี่คนที่เหลือต่างก็อยู่ที่นี่กันหมด
จางหยวนป๋อเซียนเหรินที่มีฉายาว่าต้งจงหลง คือผู้เฒ่าผมขาวที่ปลายจมูกเป็นสีแดงก่ำ เขาโยนตำราที่อ่านจบแล้วเล่มนั้นไปให้กับคู่รักที่กำลังหยอกเย้ากันซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
นอกจากการฝึกตนแล้ว เวลาอยู่ว่างๆ หากมอบเหล้าให้ผู้เฒ่าคนนี้หนึ่งกา กับแกล้มหนึ่งจาน เขาก็สามารถดื่มได้ตลอดทั้งวัน
ราวกับว่าทุกครั้งที่ยกชามเหล้าดื่มเหล้าหนึ่งอึกก็จะต้องคายกลับไปในชามอีกคำใหญ่
เขาที่นั่งบนโต๊ะสุราสูดเหล้าดังซู้ด หรี่ตาลงด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม ดื่มเหล้าลงคอแล้วก็ตัวสั่นเยือก
สถานที่ประกอบพิธีกรรมของจางหยวนป๋อในอดีตก็คือบนหินพักมังกรก้อนนั้น ภายหลังมีผู้ฝึกกระบี่เฉิงเฉวียนมาอยู่ จางหยวนป๋อจึงเป็นฝ่ายยกถิ่นของตัวเองให้อีกฝ่าย ไม่ต้องเปิดการประชุมในศาลบรรพจารย์ด้วยซ้ำ หากเรื่องหยุมหยิมแค่นี้ก็ยังต้องรบกวนให้เจ้าตำหนักช่วยตัดสินใจให้ แพร่ออกไปแล้วจะไม่ถูกคนนอกหัวเราะจนฟันร่วงเลยหรอกหรือ
อวี๋โฉว ซานซ่างจวินยื่นมือไปรับสมุดเล่มนั้นมา เปิดตำราอย่างว่องไวราวกับบินด้วยสีหน้าจริงจัง เสียงเปิดหน้าหนังสือดังพั่บๆ แม้ว่าจะอ่านได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่กล้าข้ามตัวอักษรไปแม้แต่ตัวเดียว
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นตำราที่เจ้าตำหนักเขียนขึ้นเองกับมือ
ตอนนั้นเต้ากวานสามพันคนของใต้หล้ามืดสลัวเข้าไปอยู่ใต้หล้าห้าสี ในนามแล้วป๋ายอวี้จิงมีคนแค่พันกว่าคนเท่านั้น ยังขาดจากจำนวนครึ่งหนึ่งอีกถึงสี่ร้อยกว่าคน
แต่ในความเป็นจริงแล้วเทียนจวินเซียนกวานของป๋ายอวี้จิงที่ไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ข้างนอกมีอยู่ไม่น้อย ความสัมพันธ์ที่โยงใยกันหลายชั้น อันที่จริงหากจะคำนวณกันอย่างคร่าวๆ เต้ากวานของป๋ายอวี้จิงก็ยังได้ส่วนแบ่งรายชื่อมาถึงครึ่งหนึ่ง
คนรักบนภูเขาของชายฉกรรจ์คนนี้มีนามว่าเซี่ยชุนเถียว เรือนกายของสตรีแข็งแกร่งกำยำ บุคลิกท่าทาง…ไม่เหมือนเทพธิดาอย่างยิ่ง นางชอบดื่มเหล้าฤทธิ์แรง พูดจาทะลึ่งสัปดน
บนศีรษะของเซี่ยชุนเถียวปักปิ่นไผ่สีเขียวมรกต กำลังดื่มเหล้าเงียบๆ
ส่วนคนรักที่อยู่ข้างกายก็คือคนที่ชอบมือไม้ยุ่มย่าม ราวกับผีบ้าตัณหากลับชาติมาเกิด
สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว การตีกันบนเตียงประเภทนั้นจะไปมีความหมายกะผายลมอะไร แต่ในเมื่อเป็นคนรักกัน ก็จะเล่นพลิกผ้าปูเตียงกับเขาไปแล้วกัน
ชายฉกรรจ์ยื่นส่งตำราเล่มนั้นให้กับคนรักที่อยู่ข้างกาย ยังไม่ลืมบีบข้อมือขาวนวลของสตรีออกเรือนแล้ว ผลคือถูกเซี่ยชุนเถียวที่มือหนึ่งรับตำรามา อีกมือหนึ่งตบเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่าย ตบจนชายฉกรรจ์เกือบจะร่างหมุนติ้วอยู่ที่เดิม
จางหยวนป๋อขมวดคิ้วกล่าว “ทำไมในช่วงเวลาเช่นนี้ถึงมีอันดับรายชื่อของสิบคนในใต้หล้าโผล่มากะทันหัน เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ตั้งเจ็ดแปดปี”
อวี๋โฉวหัวเราะร่วน “อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็ไม่ได้มีชื่อติดบนกระดาน ก็ไม่เกี่ยวห่าเหวอะไรกับข้าแล้ว”
เซี่ยชุนเถียวอ่านตำราพลางเอ่ยว่า “ประเด็นสำคัญคือทางฝั่งของพรรคเซียนจั้งป่าวประกาศอย่างชัดเจนว่ารายชื่อนี้ไม่ใช่ฝีมือของพวกเรา นี่ก็ชวนให้ขบคิดมากแล้ว”
‘เด็กสาว’ ที่ใช้นามแฝงว่าเหนียนชวงฮวา ในฐานะที่นางเป็นบุตรสาวของอู๋ซวงเจี้ยง ชื่อจริงคืออู๋ฮุ่ย เพียงแต่ว่าชื่อนี้ดูเหมือนว่าจะตั้งอย่างขาดทุนอยู่สักหน่อย
เพราะเสียงที่พ้องกับชื่อนี้ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก อูฮุ่ย (สิ่งสกปรก) อู้ฮุ่ย (เข้าใจผิด) อู่หุ่ย (ไม่เสียใจ) …
ตอนนั้นที่ปล่อยจิตหยินเดินทางไกล พวกเขาต้องข้ามใต้หล้าถึงสองแห่ง ล้วนไม่ใช่จิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบ ร่างจริงและจิตหยางต่างก็อยู่ที่ตำหนักสุ้ยฉู
แน่นอนว่าถูกเจ้าตำหนักอู๋ซวงเจี้ยงใช้เวทลับบางอย่างช่วยพิทักษ์ปกป้อง หาไม่แล้วด้วยขอบเขตของพวกเขา จิตหยินก็ไม่มีทางอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวได้นานขนาดนั้น อีกทั้งต่างคนต่างยังสามารถฝึกตนต่อไปได้
ผู้ฝึกกระบี่หญิงอายุน้อยห้อยกลองป๋องแป๋งขนาดเล็กจิ๋วไว้ที่เอว หน้ากลองวาดภาพสีด้วยฝีมือประณีต หนังกลองเย็บมาจากหนังมังกร ด้ามไม้ท้อห้อยอัญมณีแก้วใสเม็ดหนึ่งที่ผูกไว้ด้วยด้ายสีแดง
ด้วยตบะของเด็กสาว นี่ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตอีกชิ้นหนึ่งที่ถูกนางหล่อหลอม ถึงกับมิอาจบดบังแสงอัญมณีที่ส่องประกายเจิดจ้าเอาไว้ได้ทั้งหมด นี่แสดงให้เห็นว่ากลองเล็กชิ้นนี้ไม่เพียงแต่เป็นสมบัติหนักระดับขั้นของอาวุธเซียน อีกทั้งในบรรดาอาวุธเซียนก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ามันต้องเป็นของชั้นสูง ทางฝั่งของตำหนักสุ้ยฉูนี้ คืนก่อนวันสิ้นปีของทุกๆ ปีจะมีประเพณีเก่าแก่ที่จะต้องจุดตะเกียงทุกดวง เทียนทุกเล่มให้สว่างไสวและตีกลองเพื่อขับไล่ผีแห่งโรคระบาด คนที่รับผิดชอบจัดการสองเรื่องนี้ก็คืออู๋ฮุ่ย
ตอนที่อู๋ฮุ่ยอยู่ในโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ใช้นามแฝงว่าเหนียนชวงฮวา
เพราะตอนที่อายุน้อย มีครั้งหนึ่งที่นางเฝ้าคืนอยู่กับบิดา
อู๋ซวงเจี้ยงชอบอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชอบอ่านบันทึกของนักประพันธ์ที่เกี่ยวกับเกร็ดประวัติต่างๆ อู๋ฮุ่ยจึงเคยได้ยินบิดาพูดถึงประโยคหนึ่งในหนังสือ
คนในหน้าต่างเขียนอักษรแปะดอกไม้บนกระดาษหน้าต่าง ข้าที่อยู่นอกหน้าต่างเห็นแล้วรู้สึกว่างามยิ่ง
บางทีอาจอ่านเจอจากในตำรา หรือไม่ก็เกิดแรงบันดาลใจจึงเอ่ยขึ้นมา ใครจะรู้เล่า
อู๋ฮุ่ยกล่าว “วันหน้าให้ข้าถามบิดาดีไหม?”
อวี๋โฉวรีบส่ายหน้า “อู๋ฮุ่ย ควบคุมตัวเอง ต้องควบคุมตัวเองนะ อย่าเดือดร้อนให้พวกเราต้องโดนเจ้าตำหนักอบรมเด็ดขาด”
สามร้อยปีที่ผ่านมา คนสิบคนของใต้หล้ามืดสลัวมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ทุกคนล้วนเป็นคนแก่แทบทั้งสิ้น
ทางฝั่งของป๋ายอวี้จิง คนที่ติดสามอันดับแรก ไม่มีความเห็นต่างใดๆ เจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิง เจ้าลัทธิรองอวี๋โต้ว เจ้าลัทธิสามลู่เฉิน
อันดับที่สี่คือเจินเหรินผู้เฒ่าเจ้าประมุขของตำหนักหัวหยางแห่งภูเขาตี้เฝ่ย เกากูผู้มีฉายาว่า ‘จวี้เยว่’
อันดับที่ห้า ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู อันดับที่หก หลินเจียงเซียนแห่งยาซาน คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนเดียวที่ติดอันดับ
อีกไม่กี่คนต่อจากนั้นก็คือคนใบหน้าเก่าๆ ที่แต่ละคนชื่อเสียงและฉายาเหมือนเสียงฟ้าผ่าที่ดังอยู่ข้างหู
เซี่ยชุนเถียวเอ่ยปลงอนิจจังอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ยังไม่อยากเชื่อเลยว่า เด็กหนุ่มคนนั้นจะสามารถเป็นอิ่นกวาน สามารถแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองได้”
ดวงตาที่ใสกระจ่างของเด็กหนุ่มที่สะพายกระบี่ในปีนั้นทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้งจริงๆ
อดีตเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ อิ่นกวานหนุ่มในภายหลัง คือลูกค้าเก่าของโรงเตี๊ยมแล้ว
สองครั้งที่เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวต่างก็มาเข้าพักที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยซึ่งตั้งอยู่สุดตรอกของตรอกเล็ก ให้การสนับสนุนกันดีมาก
จางหยวนป๋อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม มองอู๋ฮุ่ยแวบหนึ่ง “ข้ารู้สึกว่าต่งฮว่าฝู มองดูแล้วไม่เลว”
อู๋ฮุ่ยทำเป็นว่าฟังความนัยในประโยคนี้ของอีกฝ่ายไม่ออก
ปีนั้นภูเขาห้อยหัวได้กลับคืนสู่ใต้หล้ามืดสลัว ต่งฮว่าฝูเคยมาเยือนตำหนักสุ้ยฉูพร้อมกับเยี่ยนจั๋วและเฉิงเฉวียน มาเที่ยวชมทัศนียภาพของตำหนักสุ้ยฉูด้วยกัน ทัศนียภาพที่งดงามยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่เดินดูก็มาเสียเที่ยวเปล่าน่ะสิ ไม่ต้องให้เขาจ่ายเงินสักเหรียญเกล็ดหิมะเสียหน่อย ระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้เจอกับ ‘นังหนู’ ที่มีฉายาว่าเติงจู๋ผู้นี้ ฝึกตนประสบความสำเร็จ มองดูแล้วอายุไม่มากก็เท่านั้น แล้วยังพูดจาเหน็บแนมพวกเขาสองสามประโยค
น่าเสียดายที่ดันมาเจอกับบรรพจารย์
อู๋ฮุ่ยด่าต่งถ่านดำผู้นั้นไม่ชนะจริงๆ
การโต้เถียงกลัวว่าอีกฝ่ายจะฟังไม่เข้าใจที่สุดว่าพูดถึงเรื่องอะไร
โชคดีที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้ลงไม้ลงมือ แค่นัดต่อสู้กันเท่านั้น
นางรังเกียจที่ขอบเขตของคนต่างถิ่นทั้งสองไม่สูง อีกทั้งยังเป็นแขกของตำหนักสุ้ยฉู จึงไม่ถือสาพวกเขา
แต่จนถึงทุกวันนี้อู๋ฮุ่ยก็ยังไม่เข้าใจว่า นั่นเป็นการต่อสู้ที่ต่งฮว่าฝูช่วยนัดไว้แทนเฉินผิงอัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาต่งฮว่าฝูเลย
บนหินพักมังกร อู๋ซวงเจี้ยงมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง
อู๋ซวงเจี้ยงพูดคุยเรื่องการฝึกตนกับน่าหลันเซาเหว่ยที่มีใบหน้าเป็นเด็กหนุ่มสองสามประโยค สุดท้ายก็เหลือแค่เฉิงเฉวียนที่เดินเล่นริมน้ำไปเป็นเพื่อนเจ้าตำหนัก
ในฐานะผู้ที่นำพาผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่หกสิบคนออกเดินทางไกล ก่อกำเนิดเฒ่าเฉิงเฉวียนสะพายกล่องกระบี่ที่ห่อด้วยผ้าฝ้ายไว้ใบหนึ่ง บรรจุตะเกียงแห่งชะตาชีวิตของน่าหลันเซาเหว่ยเอาไว้หนึ่งดวง
เฉิงเฉวียนได้อยู่ในทำเนียบขุนเขาสายน้ำของศาลบรรพจารย์ตำหนักสุ้ยฉู แต่กลับไม่ได้รับธรรมโองการ ไม่เคยได้รับทำเนียบเต๋าอย่างเป็นทางการ นี่หมายความว่าจนถึงทุกวันนี้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็ยังไม่ใช่เต้ากวาน
หินพักมังกรใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองเวลานี้ เดิมทีเคลื่อนย้ายมาตามกระแสน้ำ จะไม่หยั่งรากปักหลักอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานเกินไป แต่กลับถูกอู๋ซวงเจี้ยงร่ายตราผนึกหนาชั้นไว้ด้วยตัวเอง ฝืนบังคับกักมันไว้ที่นี่
อันที่จริงนอกจากมูลค่าควรเมืองของตัวหินพักมังกรเองแล้ว การกระทำเช่นนี้ของอู๋ซวงเจี้ยงก็ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ถือเป็นการค้าขายที่ขาดทุนครั้งหนึ่ง หากเป็นสำนักหรืออารามเต๋าแห่งอื่น บางทีอาจจะขุดเจาะคูคลองโอบล้อมไว้เส้นหนึ่ง ให้หินพักมังกรที่ไหลไปตามสายน้ำเพิ่มพูนโชคชะตาน้ำให้อย่างต่อเนื่อง นี่ก็จะเป็นผลประโยชน์ก้อนหนึ่งที่ต้นกำเนิดน้ำไหลยาวได้แล้ว เพียงแต่ว่ารากฐานของตำหนักสุ้ยฉูลึกล้ำ การกระทำที่เป็นการย่ำยีทรัพยากรสวรรค์ของอู๋ซวงเจี้ยงมีถมเถไป เพิ่มเรื่องนี้มาอีกเรื่องก็ไม่เห็นจะเป็นไร
ในประวัติศาสตร์ หินพักมังกรมีทั้งหมดสี่แห่ง แห่งหนึ่งถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงท่ามกลางสงครามของศึกน้ำและไฟ อีกแห่งหนึ่งถูกเซียนเหรินบรรพกาลคนหนึ่งหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต นอกจากนี้ก็คือหินยักษ์ที่อยู่กลางทะเลซึ่งถูกตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่มองเป็นของรักของหวงของตัวเองแล้ว สุดท้ายก็คือพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของตำหนักสุ้ยฉูแห่งนี้
เรื่องเล่าลือก็เป็นได้แค่เรื่องเล่าลือเท่านั้น
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!